ไม่ได้แวะไปแถวละตินอเมริกานานแล้ว...วันนี้เลยลองเปลี่ยนบรรยากาศขออนุญาตแวะเยี่ยมประเทศเวเนซุเอลาสักหน่อย เพราะช่วงเมื่อวันเสาร์ (20 มี.ค.) ที่ผ่านมา เห็นว่าเกิดรายการตูมๆ ตามๆ หรือเกิดเหตุระเบิดขึ้นที่โรงงานผลิตแก๊สธรรมชาติ “El Tejero” ชนิดฉิบหายวอดวายไปพอสมควร โดยถ้าว่ากันตามคำพูด คำให้สัมภาษณ์รัฐมนตรีปิโตรเลียมเวเนซุเอลา “นายTareck El Aissami” คงหนีไม่พ้นไปจากฝีมือของ...ผู้ไม่ประสงค์จะออกนามแต่ประสงค์ร้ายอยู่แล้วแน่ๆ หรือฝีมือของพวก “ผู้ก่อการร้าย” ที่ดอดเข้ามาวินาศกรรมโรงงานแห่งนี้พังพินาศไปเป็นแถบๆ...
แต่เรื่องของการก่อการร้าย การวินาศกรรม อะไรต่อมิอะไรในเวเนซุเอลานั้น...คงต้องถือเป็นเรื่องชิลๆ หรือเรื่องที่โดนกันมาจนชักจะชินๆ ซะแล้ว...ประมาณนั้น เพราะช่วง 2 ปีที่แล้ว หรือ ค.ศ. 2019 ระหว่างที่โดนรัฐบาลอเมริกันเปิดฉาก “แซงชั่น” กันหนักๆ พร้อมกับหันไป “เชิดหุ่น” อย่าง “นายฮวน กุยโด” หรือ “ฆวยโต” (Juan Guaido) ด้วยการรับรองความเป็นผู้นำ เป็นประธานาธิบดีเวเนซุเอลา โดยไม่สนใจประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้งครั้งแล้ว ครั้งเล่า อย่าง “นายนิโคลัส มาดูโร” เอาเลยแม้แต่น้อย ช่วงนั้นโรงงานแก๊ส “Ocumare del Tuy” ก็ถูกตูมๆ ตามๆ ด้วยฝีมือพวกผู้ก่อการร้ายจนปั่นป่วนวุ่นวายไปทั้งประเทศมาแล้วคราวหนึ่ง หรือช่วงปีที่แล้วนี่เอง โรงกลั่นน้ำมัน “Amuay” ก็ถูกวินาศกรรม ถูกวางระเบิด ไม่ต่างไปจากคราวนี้มากมายสักเท่าไหร่ หรือชนิดถึงขั้นส่ง “ทหารรับจ้าง” บุกเข้าไปลอบสังหาร ไปยึดอำนาจรัฐบาล “มาดูโร” เมื่อช่วงยุคปลายๆ “ทรัมป์บ้า” ก็เคยมาแล้ว...
พูดง่ายๆ ว่า...เรื่องของการก่อการร้าย ก่อวินาศกรรม การจุดชนวนประท้วง ไปจนการเล่นงานรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ด้วยกรรมวิธีทางการเมือง การทหาร ในรูปแบบต่างๆ เป็นสิ่งที่รัฐบาลเวเนซุเอลาน่าจะโดนกันมาจน “ชินซะแล้ว” หรือคงไม่ถึงกับหนักหนาสาหัส เท่ากับ “การเศรษฐกิจ” ที่เริ่มจากปัญหา “ราคาน้ำมันตกต่ำ” ตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 2014 แล้วดันมาถูกกระหน่ำซ้ำ กระทืบซ้ำ ด้วยการ “แซงชั่น” ของคุณพ่ออเมริกาอย่างเป็นระบบและเป็นกิจการ ยึดเงิน ยึดทอง ยึดกิจการรัฐวิสาหกิจด้านพลังงาน อย่าง “PDVSA” หรือ “Petroleos de Venezuela” เอาไว้ชนิดขยับไม่ได้ ไปไม่เป็น อันเป็นเหตุให้ประเทศเล็กๆ แต่ร่ำรวยไปด้วยทรัพยากรน้ำมัน หรือถือเป็นประเทศที่มี “แหล่งสำรองน้ำมัน” สูงที่สุดในโลก มีปริมาณแหล่งน้ำมันสำรองไม่ต่ำกว่า 300,000 ล้านบาร์เรล หรือ 17.5 เปอร์เซ็นต์ของแหล่งสำรองน้ำมันทั่วทั้งโลก เป็นอย่างน้อย เลยต้องแห้งเหี่ยวหัวโตมาตั้งแต่บัดนั้น...
ความกรอบเป็นข้าวเกรียบ หนักซะยิ่งกว่าข้าวเกรียบว่าว ข้าวเกรียบเมืองเพชรฯ ของเวเนซุเอลานั้น ถือได้ว่าเป็นศัตรูหลัก ศัตรูตัวสำคัญ ยิ่งกว่าศัตรูทางการเมืองอย่าง “นายฮวน กุยโด” ไม่รู้กี่ร้อย กี่พันเท่า คือส่งผลให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของเวเนซุเอลาทุกวันนี้ ต้องหาทางประคับประคองภาวะเศรษฐกิจในประเทศ แบบชนิดหาทางออก ทางไปแทบไม่เจอ ไม่ว่าคิดจะหันไปขายทองคำสำรองให้กับรัสเซีย กับตุรกี ไม่เพียงแต่ขายยาก ขายเย็น เพราะถูกบล็อก ถูกกัน โดยคุณพ่ออเมริกามาโดยตลอด ทองคำที่เก็บไว้ในอังกฤษ ก็โดน “สุนัขพูเดิล” ของอเมริกา เบี้ยวซะดื้อๆ!!! จนทุกวันนี้ถึงขั้นต้องออกธนบัตรมูลค่า 1 ล้านโบลิวาร์ 5 แสน 2 แสน 5 หมื่น 1 หมื่นโบลิวาร์ ออกมาจับจ่ายใช้สอย แบบแทบไม่ต่างอะไรไปจาก “กระดาษชำระ” เอาเลยถึงขั้นนั้น เพราะเงินเวเนซุเอลามูลค่าประมาณ 1 ล้านโบลิวาร์นั้น แลกเป็นเงินดอลลาร์อเมริกันได้เพียงแค่ 52 เซนต์ หรือประมาณ 16 บาทไทย ไม่เกินไปกว่านั้น เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อภายในประเทศมันพุ่งทะลุเพดาน ทะลุหลังคา ไปถึงโลกพระจันทร์ โลกพระอังคาร ไปแล้วก็ว่าได้ คือเฟ้อไปถึงระดับ 2,665 เปอร์เซ็นต์เป็นอย่างน้อย...
อันนี้นี่แหละ...ที่ถือเป็นศัตรูหลัก เป็นศัตรูตัวสำคัญ ยิ่งกว่าศัตรูรายใดต่อรายใดก็ตาม และอาจด้วยเหตุนี้หรือไม่ อย่างไร ก็แล้วแต่จะคิด เลยทำให้เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา ถ้าว่ากันตามรายงานข่าวของสำนักข่าว “Bloomberg” รัฐบาลภายใต้การนำของ “นายนิโคลัส มาดูโร” ได้เริ่มแสดงทีท่าว่าอาจต้องหันมาทบทวนแนวคิดแบบ “สังคมนิยมโบร่ำโบราณ” หรือแนวคิดการยึดกิจการต่างๆ ของบรรดาชาวต่างประเทศ เข้ามาเป็น “รัฐวิสาหกิจ” ภายใต้แนวทางเดิมๆ ของอดีตประธานาธิบดี “ฮูโก ชาเวซ” ผู้วายชนม์ไปแล้ว อันเป็นแนวทางที่บรรดาประเทศในละตินอเมริกาจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะประเภทที่ไม่เอากับคุณพ่ออเมริกา เคยคิดว่าน่าจะเป็นทางออก ทางไป ที่เหมาะสมสอดคล้องกับอำนาจอธิปไตยและความเป็นเอกราชของบรรดาประเทศในละตินอเมริกาทั้งหลาย...
คือสำหรับประเทศละตินอเมริกา ที่เป็นเสมือน “สวนหลังบ้าน” ของคุณพ่ออเมริกามาโดยตลอด...คงต้องยอมรับว่า ต่างได้ลองผิด-ลองถูก ได้พยายามหาทางออก ทางไป เพื่อให้หลุดพ้นจากการครอบงำ ครอบครองของ “จักรวรรดินิยมยุคใหม่” อย่างอเมริกามาโดยตลอด พยายามนำเอาทฤษฎีคอมมิวนิสต์ สังคมนิยม มาปรับใช้ ปรับสภาพ แปลความ ตีความกันใหม่เพื่อให้พอเข้ากันได้กับความเป็นชาวละตินอเมริกา จนบางครั้ง บางครา ไปไกลถึงขั้นพยายามผนวกความเป็นสังคมนิยมเข้ากับลัทธิความเชื่อทางศาสนา กลายไปเป็น “เทววิทยาแห่งการปลดปล่อย” ไปโน่นเลย ไม่ใช่แค่เฉพาะคิดยึดบริษัทโน่น บริษัทนี่มา “เป็นของรัฐ” เท่านั้น แต่ถึงกระนั้น...ก็ยังไปไม่ได้ ไปไม่เป็นอีกเช่นเคย ไม่ใช่แต่เฉพาะเวเนซุเอลาที่ถือเป็นมรดกตกทอดมาจากอดีตประธานาธิบดี “ฮูโก ชาเวซ” เท่านั้น กระทั่งโบลิเวียภายใต้การนำของนักสังคมนิยมพื้นบ้าน อย่างอดีตประธานาธิบดี “อีโบ โมราเลส” (Juan Evo Morales) เพียงแค่คิดจะยกแหล่งแร่ “ลิเธียม” ให้กับบริษัทจีน ยังโดนประท้วงถึงขั้นต้องเผ่นไปตั้งหลักอยู่แถวๆ เม็กซิโก กว่าจะกลับบ้านเกิด-เมืองนอนได้อีกครั้ง ก็ต้องรอจนกว่าทายาททางการเมือง อย่าง “นายลุยส์ อาร์เซ” (Luis Arce) ผงาดขึ้นเป็นประธานาธิบดีได้แบบถล่มทลายนั่นเอง...
ดังนั้น...สิ่งที่ผู้นำเวเนซุเอลา อย่าง “นิโคลัส มาดูโร” เลยต้องออกมาป่าวประกาศทางสถานีโทรทัศน์เมื่อวัน-สองวันมานี้ ด้วยคำพูดที่ว่า “ผมต้องการบอกกับนักลงทุนจากสหรัฐอเมริกาและทั่วทั้งโลก ว่าขณะนี้...ประเทศเวเนซุเอลากำลังเปิดกว้างสำหรับนักลงทุนรายใดก็ตามในด้านพลังงานและน้ำมัน” ก็น่าจะหมายถึงความพยายามที่จะ “ปฏิรูป” นโยบายและกฎหมายเดิมๆ เพื่อให้เกิดช่อง เกิดโอกาส สำหรับบรรษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย ชนิดอาจไม่ต่างไปจากการ “Privatization” หรือ “การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ” ก็เป็นได้ ด้วยเหตุนี้ถ้าว่ากันตาม “ข่าวล่า-มาเรือ” หรือตามรายงานของสำนักข่าว “Bloomberg” บรรดาตัวแทนบริษัทน้ำมันยักษ์ๆ ไม่ว่า “Chevron” ของอเมริกา “Total” ของฝรั่งเศส ไปจน “Eni” ของอิตาลี ฯลฯ ฯลฯ ชักจะเริ่ม “วิ่งกันตีนขวิด” มั่งแล้ว!!! หรือทำท่าว่าชักอยากกลับไป “ลงทุน” ด้านกิจการน้ำมันในประเทศที่ได้ชื่อว่ามีแหล่งสำรองน้ำมันสูงที่สุดในโลก อย่างเวเนซุเอลากันเป็นแถวๆ...
อันนี้นี่แหละ...เลยเป็นอะไรที่น่าจับตา น่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง เพราะภายใต้ความกระหาย ความกระเหี้ยนกระหือรือของบรรดา “บรรษัทข้ามชาติ” ด้านพลังงานเหล่านี้ โอกาสที่จะก่อให้เกิดการเกลี้ยกล่อม โน้มน้าว หรือกระทั่งบีบบังคับให้รัฐบาล “ทุนนิยมเสรี” อย่างรัฐบาลอเมริกัน เลิกไล่เหยียบ ไล่กระทืบ ประเทศเวเนซุเอลาและชาวเวเนซุเอลา ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย แต่ก็นั่นแหละ...การ “เปิดกว้าง” ให้กับการลงทุน หรือการทำกำไร ของบรรดาบรรษัทข้ามชาติทั้งหลาย อาจไม่ถึงกับทำให้รัฐบาลเวเนซุเอลาจำต้องหวนกลับไปซบตีนรัฐบาลอเมริกันไปซะทั้งหมด เพราะอย่างน้อย...ตัวอย่าง หรือแบบอย่างแนวทางที่บรรดาประเทศในละตินอเมริกา หันมาให้ความสนใจมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ หลังจากลองผิด-ลองถูกกับทฤษฎีสังคมนิยมแต่ละประเภทมาโดยตลอด นั่นก็คือ “ทฤษฎีสังคมนิยมที่มีลักษณะเฉพาะ” หรือ “ทุนนิยมเผด็จการ” ของพญามังกรจีนเขานั่นแหละ ที่ไม่เพียงแต่ช่วยให้ประเทศที่เคยอยู่หลังเขาอย่างจีน สามารถอยู่ร่วมโลกกับบรรดาบรรษัททุนนิยมทั้งหลายได้เป็นอย่างดี มิหนำซ้ำยังกลับใกล้ผงาดขึ้นเป็น “มหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับ 1 ของโลก” อีกไม่ใกล้-ไม่ไกล อันเนื่องมาจากความ “เข้าถึง” และ “เข้าใจ” ต่อวาสนาและสันดานของพวกพ่อค้า นักธุรกิจ อย่างถึงแก่น ถึงกึ๋น ชนิดส่งผลให้บรรดาพวก “นายทุน” ในแต่ละราย ต้องหันมาศิโรราบให้กับ “เผด็จการคอมมิวนิสต์” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้...