ผู้จัดการรายวัน 360 - ครม.เห็นชอบมาตรการเอาผิด ข้าราชการล่วงละเมิดทางเพศ นายกฯ ลั่นจอมหื่นต้องให้ออกจากราชการ พร้อมอนุมัติบรรจุลูกจ้างประจำ สธ. เป็นข้าราชการประจำ 3,179 อัตรา และอนุมัติคุ้มครองค่ารักษาโควิด-19 ให้กับพนักงานรัฐวิสาหกิจ
วานนี้ (16 มี.ค.) น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า จากการที่เป็นข่าวอยู่บ่อยครั้ง ถึงการกระทำที่ไม่เหมาะสม การกระทำผิดของข้าราชการ กรณีชู้สาว ล่วงละเมิดทางเพศ คุกคามทางเพศ และการใช้สื่อออนไลน์ในการล่วงละเมิดทางเพศหรือคุกคามทางเพศ ซึ่งถือเป็นความผิดทางวินัยและจริยธรรมร้ายแรง แต่ในทางปฏิบัติพบว่ามาตรฐานการดำเนินการทางวินัยและจริยธรรมของข้าราชการประเภทต่างๆ ยังมีความแตกต่างกัน ทำให้การดำเนินการขาดประสิทธิภาพ และไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของการดำเนินการทางวินัย
ที่ประชุม ครม. จึงมีมติเห็นชอบมาตรการทางการบริหารเพื่อประสิทธิภาพในการดำเนินการทางวินัยและจริยธรรม ตามที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เสนอ เพื่อให้การดำเนินการทางวินัยและจริยธรรมข้าราชการเป็นมาตรฐานเดียว และเกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยให้องค์กรการบริหารงานบุคคลประเภทต่างๆ นำมาตรการทางการบริหารที่เกี่ยวข้องกับวินัยและจริยธรรมร้ายแรง มาใช้ในการดำเนินการทางวินัยกับข้าราชการในกรณีดังกล่าว นอกจากนี้ ให้สำนักงาน ก.พ. จัดประชุมร่วมกันระหว่างองค์กรการบริหารงานบุคคลของข้าราชการประเภทต่างๆ เพื่อศึกษาวิเคราะห์กฎหมายว่าด้วยการบริหารงานบุคคล เพื่อกำหนดมาตรฐานหรือหลักเกณฑ์กลาง ตามมาตรา 10 พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก หากพบข้าราชการกระทำผิดวินัยและจริยธรรมร้ายแรง โดยมีหลักฐานชั้นต้นเพียงพอ ก็ควรให้ออกจากราชการไว้ก่อน
ด้านน.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ครม. ได้ อนุมัติการบรรจุลูกจ้างประจำของกระทรวงสาธารณสุขในตำแหน่งอัตราข้าราชการตั้งใหม่ เพื่อรองรับภาวะฉุกเฉินในสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ซึ่งตามมติเดิมของครม.เมื่อวันที่ 15 เม.ย. 63 เห็นชอบให้จัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่รวม 38,105 อัตรา โดยทางกระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการคัดเลือกและบรรจุบุคคลเข้ารับราชการได้จำนวน 34,926 อัตรา คงเหลือ 3,179 อัตรา เนื่องจากมีปัญหาอุปสรรคที่ทำให้ไม่สามารถบรรจุบุคคลเข้ารับราชการในอัตราข้าราชการตั้งใหม่ได้ครบ
กระทรวงสาธารณสุขจึงเสนอคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ(คปร.)เพื่อขอนำอัตราที่คงเหลือไปบรรจุลูกจ้างประจำของกระทรวงสาธารณสุขในอัตราข้าราชการตั้งใหม่ อย่างไรก็ตามหากดำเนินการข้างต้นแล้วยังมีตำแหน่งว่างคงเหลือ อาจพิจารณาบรรจุบุคลากรกระทรวงสาธารณสุขที่ปฏิบัติงานในสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ได้ตามเหตุผลความจำเป็น
ครม. ยังเห็นชอบในหลักการร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง หลักเกณฑ์และอัตราค่ารักษาพยาบาลกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ซึ่งมีสาระสำคัญเช่น กำหนดให้ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าใช้จ่ายจากการตรวจทางห้องปฏิบัติการและค่าใช้จ่ายอื่นสำหรับตนเอง คู่สมรส หรือบุตร ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ทางกระทรวงสาธารณสุขกำหนด เป็นต้น
ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานได้จัดทำประมาณการการสูญเสียรายได้และประโยชน์ที่จะได้รับแล้วพบว่า ตามที่ได้ประมาณการรายจ่ายค่ารักษาพยาบาลกรณีโควิด-19 ของแต่ละรัฐวิสาหกิจไว้ในปี 2564 จำนวน 6,230 ล้านบาทนั้น คาดว่าจะไม่เพิ่มขึ้นจากเดิม และร่างประกาศฉบับนี้จะส่งผลให้พนักงานรัฐวิสาหกิจทั้งหมดรวมกว่า 285,598 คน ได้รับการคุ้มครอง และทำให้สถานพยาบาลได้รับค่าใช้จ่ายโดยเร็วจากรัฐวิสาหกิจ
วานนี้ (16 มี.ค.) น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า จากการที่เป็นข่าวอยู่บ่อยครั้ง ถึงการกระทำที่ไม่เหมาะสม การกระทำผิดของข้าราชการ กรณีชู้สาว ล่วงละเมิดทางเพศ คุกคามทางเพศ และการใช้สื่อออนไลน์ในการล่วงละเมิดทางเพศหรือคุกคามทางเพศ ซึ่งถือเป็นความผิดทางวินัยและจริยธรรมร้ายแรง แต่ในทางปฏิบัติพบว่ามาตรฐานการดำเนินการทางวินัยและจริยธรรมของข้าราชการประเภทต่างๆ ยังมีความแตกต่างกัน ทำให้การดำเนินการขาดประสิทธิภาพ และไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของการดำเนินการทางวินัย
ที่ประชุม ครม. จึงมีมติเห็นชอบมาตรการทางการบริหารเพื่อประสิทธิภาพในการดำเนินการทางวินัยและจริยธรรม ตามที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เสนอ เพื่อให้การดำเนินการทางวินัยและจริยธรรมข้าราชการเป็นมาตรฐานเดียว และเกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยให้องค์กรการบริหารงานบุคคลประเภทต่างๆ นำมาตรการทางการบริหารที่เกี่ยวข้องกับวินัยและจริยธรรมร้ายแรง มาใช้ในการดำเนินการทางวินัยกับข้าราชการในกรณีดังกล่าว นอกจากนี้ ให้สำนักงาน ก.พ. จัดประชุมร่วมกันระหว่างองค์กรการบริหารงานบุคคลของข้าราชการประเภทต่างๆ เพื่อศึกษาวิเคราะห์กฎหมายว่าด้วยการบริหารงานบุคคล เพื่อกำหนดมาตรฐานหรือหลักเกณฑ์กลาง ตามมาตรา 10 พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก หากพบข้าราชการกระทำผิดวินัยและจริยธรรมร้ายแรง โดยมีหลักฐานชั้นต้นเพียงพอ ก็ควรให้ออกจากราชการไว้ก่อน
ด้านน.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ครม. ได้ อนุมัติการบรรจุลูกจ้างประจำของกระทรวงสาธารณสุขในตำแหน่งอัตราข้าราชการตั้งใหม่ เพื่อรองรับภาวะฉุกเฉินในสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ซึ่งตามมติเดิมของครม.เมื่อวันที่ 15 เม.ย. 63 เห็นชอบให้จัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่รวม 38,105 อัตรา โดยทางกระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการคัดเลือกและบรรจุบุคคลเข้ารับราชการได้จำนวน 34,926 อัตรา คงเหลือ 3,179 อัตรา เนื่องจากมีปัญหาอุปสรรคที่ทำให้ไม่สามารถบรรจุบุคคลเข้ารับราชการในอัตราข้าราชการตั้งใหม่ได้ครบ
กระทรวงสาธารณสุขจึงเสนอคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ(คปร.)เพื่อขอนำอัตราที่คงเหลือไปบรรจุลูกจ้างประจำของกระทรวงสาธารณสุขในอัตราข้าราชการตั้งใหม่ อย่างไรก็ตามหากดำเนินการข้างต้นแล้วยังมีตำแหน่งว่างคงเหลือ อาจพิจารณาบรรจุบุคลากรกระทรวงสาธารณสุขที่ปฏิบัติงานในสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ได้ตามเหตุผลความจำเป็น
ครม. ยังเห็นชอบในหลักการร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง หลักเกณฑ์และอัตราค่ารักษาพยาบาลกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ซึ่งมีสาระสำคัญเช่น กำหนดให้ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าใช้จ่ายจากการตรวจทางห้องปฏิบัติการและค่าใช้จ่ายอื่นสำหรับตนเอง คู่สมรส หรือบุตร ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ทางกระทรวงสาธารณสุขกำหนด เป็นต้น
ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานได้จัดทำประมาณการการสูญเสียรายได้และประโยชน์ที่จะได้รับแล้วพบว่า ตามที่ได้ประมาณการรายจ่ายค่ารักษาพยาบาลกรณีโควิด-19 ของแต่ละรัฐวิสาหกิจไว้ในปี 2564 จำนวน 6,230 ล้านบาทนั้น คาดว่าจะไม่เพิ่มขึ้นจากเดิม และร่างประกาศฉบับนี้จะส่งผลให้พนักงานรัฐวิสาหกิจทั้งหมดรวมกว่า 285,598 คน ได้รับการคุ้มครอง และทำให้สถานพยาบาลได้รับค่าใช้จ่ายโดยเร็วจากรัฐวิสาหกิจ