หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีวรรรณ
ไม่ว่าการชุมนุมของม็อบหรือสีเสื้อไหนสุดท้ายแล้วต้องจบลงที่คดีความ กลายเป็นนักโทษที่ต้องคำพิพากษากระทำความผิดแตกต่างกันไป แม้จะมีหลายคดีจบลงไปแล้ว แต่ยังมีคดีของพันธมิตรฯ กปปส. นปช. อีกหลายคดีที่ยังค้าคางอยู่ แล้วทยอยเดินไปสู่ขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม เช่นเดียวกับคดีของม็อบ3นิ้วที่สะสมคดีกันจำนวนมากก็คงจะทยอยพิจารณาคดีกันไป
สรุปแล้วรางวัลของคนลุกขึ้นสู้ในทางการเมืองไม่ว่าจะมีอุดมการณ์แบบไหน สุดท้ายแล้วไม่มีเหรียญตรารองรับ และจบลงด้วยคุกด้วยตารางเสมอ
แต่ที่น่าสนใจคือกรณีของม็อบสามนิ้วนั้น สิ่งที่พวกเขาภาคภูมิใจก็คือ การสามารถทะลุทะลวงเพดานของสังคมไทยในการเอาสถาบันพระมหากษัตริย์มาวิพากษ์วิจารณ์อย่างคะนองปากเมามัน ทั้งการเยาะเย้ยถากถางเสียดสีด่าทอกันอย่างสนุกสนานบนท้องถนน บนโซเชียลมีเดีย โดยการให้ท้ายของผู้ใหญ่หลายคนที่ตัวเองมีความคิดและความปรารถนาแบบนั้นอยู่แล้ว แต่ตัวเองไม่กล้าแสดงออกมาก่อน เพราะรู้ว่าเป็นความผิดตามกฎหมายและจะตามมาด้วยคุกตะราง
พูดง่ายๆ ว่า ผู้ใหญ่ได้หลอกใช้ความบริสุทธิ์ ความไร้เดียงสา ที่ยังขาดวุฒิภาวะและสติไต่ตรองว่า การกระทำการนั้นจะสุ่มเสี่ยงต่อความผิดตามกฎหมายหรือไม่ และหวังว่าหากเด็กถูกดำเนินคดีก็จะใช้ความเป็นเด็กมาเป็นเครื่องป้องกันและโจมตีรัฐว่า กำลังบังคับใช้กฎหมายกับเด็กเพื่อส่งเสียงเรียกร้องต่อชาวโลก
รุ้ง ปนัสยา จากเด็กหญิงที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่คนหนึ่ง ต้องออกมาอ่านแถลงการณ์ 10 ข้อของสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล เพราะไม่มีใครกล้าอ่าน จนทำให้เธอกลายมาเป็นแกนนำของผู้ชุมนุมในชั่วข้ามคืนจนกลายเป็นหนึ่งในผู้หญิงทรงอิทธิพลของบีบีซี
รุ้งเล่าว่า จริงๆ มันแอบเป็นอุบัติเหตุเล็กๆ เพราะว่า 10 ข้อเสนอนั้นอาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้ เราคุยกันในกลุ่มถึงแถลงการณ์เรื่องการปฏิรูปสถาบัน แต่สิ่งที่เพื่อนๆ ร่างให้ ก็คือ 10 ข้อเสนอนั้นเลย “เอาแบบนี้แหละมึง คิดมาแล้ว” เพื่อนส่งต้นฉบับมาให้หนูอ่านตอนตีหนึ่งกว่าของวันที่ 10 สิงหา ยังไม่ได้นอน หนูกำลังเขียนบทปราศรัยอยู่ เพื่อนมันส่งมาบอกว่า “รุ้ง แรงนะ จะอ่านจริงไหม” ตอนนั้นเรายังคิดว่าแรงเลย ทีมงานก็ไม่รู้เลยนะว่าจะมี 10 ข้อนี้ มีคนที่รู้เรื่อง 10 ข้อเสนอ ประมาณ 5 คน จากทีมงานที่มีทั้งหมด 20 กว่าคน เราก็สับขาหลอกเพื่อนเหมือนกัน เพื่อนก็ไม่รู้ มันก็แอบเป็นอุบัติเหตุว่า ถ้าเราไม่เร่ง มันก็อาจจะไม่มี 10 ข้อนั้นขึ้นมาในวันนั้น
เรามารู้ตัวตนจริงๆ ของรุ้งเมื่อเธอมาออกรายการดีเบตกับอาจารย์อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ว่า จริงๆแล้วเธอหาได้มีความรู้ความเข้าใจกับสิ่งที่เธอพูดบนเวทีเลย เป็นเพียงหุ่นเชิดที่เขาชักปากให้พูดตัวหนึ่งเท่านั้นเอง
ไม่รู้หรอกว่า คนที่ส่งข้อเสนอปฏิรูปสถาบัน 10 ข้อผ่านไปให้รุ้งนั้นเป็นใคร แต่คนทั่วไปที่ติดตามการเมืองรู้ว่า เคยเห็นข้อเสนอนี้จากสมศักดิ์ เจียมธีรสกุลมาก่อน ไม่รู้ว่าคนที่รับมาส่งต่อให้รุ้งรับมาจากสมศักดิ์หรือไม่ เอามาจากไหน หรือคัดลอกความเห็นของสมศักดิ์มาเพิ่มเติมดัดแปลงก็ตาม แต่คนนั้นต้องรู้อยู่แล้วว่า ข้อเสนอ 10 ข้อนั้นต้องเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายมาตรา 112 คนที่อาสาพูดจะต้องถูกดำเนินคดี
มาตรา 112 มันอยู่ของมันไม่ได้อยู่ดีๆ ลุกขึ้นมาดำเนินคดีกับใคร ถ้าไม่มีคนเดินเข้าไปอยู่ในแดนของตัวบทกฎหมายที่เขากำหนดขอบเขตไว้อยู่แล้ว เหมือนกับตอนนี้มีคนพูดว่า รัฐใช้กฎหมายมาตรา 112 มากขึ้น แต่ที่มากขึ้นก็เพราะมันมีคนทำความผิดเข้าข่ายมาตรา 112 มากขึ้นนั่นเอง
วันนี้สมศักดิ์ เจียม หรือปวิณ ชัชวาลพงษ์พันธ์ จะพูดหมิ่นแคลนสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไรก็ได้ไม่ต้องเกรงกลัวมาตรา 112 เพราะหลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ แต่เด็กหนุ่มสาวที่ถูกเชิดให้เป็นวีรบุรุษวีรสตรีในการท้าทายสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นล้วนแล้วแต่ยืนอยู่บนแผ่นดินไทย
ผมไม่อยากกล่าวหาว่า ก่อนที่รุ้งจะพูดบนเวทีอาจารย์ธรรมศาสตร์บางคน โดยเฉพาะปริญญา เทวานฤมิตรกุล ซึ่งเป็นอาจารย์คณะนิติศาสตร์ รับรู้แต่ต้นหรือไม่ แต่หลังจากที่พูดแล้ว อาจารย์ได้เตือนนักศึกษาของตัวเองหรือไม่ว่า การกระทำเช่นนั้นมันขัดต่อกฎหมายอย่างไร แต่คิดว่าคงไม่ได้เตือนกัน เพราะหลังจากนั้นรุ้งก็ติดลมบนออกมาพูดวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยข้อกล่าวหาในเชิงลบอีกหลายครั้งหลายหนร่วมกับเพื่อนๆ อย่างทนายอานนท์ และเพนกวิน จนถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 กันคนละหลายคดี
พูดได้ว่า รุ้งมีอาจารย์และผู้ใหญ่หลายคนคอยให้ท้าย เพราะชื่นชมในความกล้าหาญของเธอนั่นเอง สำหรับเด็กหญิงคนหนึ่งแม้จะบรรลุนิติภาวะอายุเกิน 20 ปีมาแล้ว แต่ก็ยังนับว่ายังอ่อนต่อโลกมาก ความป้อยอชื่นชมก็ทำให้เธอยิ่งมีความฝันที่ฟุ้งเฟ้อบรรเจิดไปได้ไกลมาก ยิ่งได้รับการยกย่องระดับโลกว่าเป็นสตรีผู้ทรงอิทธิพลด้วยแล้วก็ยิ่งกลายเป็นลิฟต์ของความลำพอง กระทั่งบอกว่าแม้จะต้องแลกด้วยชีวิตก็ยอม
ผมจึงรู้สึกตลกมากที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพิ่งจะมาออกแถลงการณ์ว่า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในฐานะสถาบันการศึกษาซึ่งมีพันธกิจในการสร้างองค์ความรู้ การจัดการเรียนการสอน และการดูแลกิจการนักศึกษา จึงมีความกังวลและความห่วงใยในสวัสดิภาพและความปลอดภัยของผู้ถูกจับกุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักศึกษาของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งควรมีโอกาสในการศึกษาเล่าเรียนและการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง
เพิ่งจะมาห่วงใยสวัสดิภาพและโอกาสในการศึกษาเล่าเรียนอะไรของลูกศิษย์ตอนนี้ จากวันที่รุ้งอ่านแถลงการณ์ 10ข้อ บนดินแดนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จนกระทั่งแสดงออกอย่างห้าวหาญหลังจากนั้น ทำไมมหาวิทยาลัยจึงไม่ตักเตือนหากมีความห่วงใยอย่างที่ว่าจริง
และถามว่า แถลงการณ์ที่อ้างว่าออกในนามของมหาวิทยาลัยนั้น เป็นความเห็นของใครบ้างมีการหารือกันในหมู่ประชาคมธรรมศาสตร์ไหม หรือสภามหาวิทยาลัยเห็นชอบด้วยไหม และทำไมไม่มีการลงนามผู้ที่ออกแถลงการณ์ฉบับนี้มา
วันนี้เห็นชัดแล้วขบวนการที่เกิดขึ้นนั้นมันโยงใยกัน เพื่อใช้เด็กมาเป็นเครื่องมือ ตั้งแต่การใช้สำนักฟ้าเดียวกันของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในการสร้างประวัติศาสตร์บางด้านของ 2475 มาลดทอนบทบาทและสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยการเชื่อมโยงกันของอาจารย์มหาวิทยาลัยตั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่หลายคน ไม่ว่าจะเป็นสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ธงชัย วินิจจะกูล เกษียร เตชะพีระ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ นิธิ เอียวศรีวงศ์ ประจักษ์ ก้องกิรติ พวงทอง ภวัครพันธุ์ ยุกติ มุกดาวิจิตร สมชาย ศิลปะปรีชากุล ณัฐพล ใจจริง ฯลฯ
คนเหล่านี้มีความคั่งแค้นอยู่แล้วตั้งแต่ทักษิณซึ่งพวกเขาสนับสนุนเพราะมองว่าเป็นตัวแทนของเขาที่เป็นนักการเมืองที่ท้าทายต่อพระราชอำนาจและสถาบันพระมหากษัตริย์มากที่สุดถูกทำลายลงไป แน่นอนพวกเขาเชื่อมโยงกับฝ่ายซ้ายใต้ปีกของทักษิณอย่างภูมิธรรม เวชยะชัย พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี จาตุรนต์ ฉายแสง ฯลฯ
พวกนี้ใช้แรงปะทุจากการยุบพรรคอนาคตใหม่ของธนาธรมาเป็นเครื่องมือในการจุดพลุทางการเมืองได้สำเร็จ เพราะคนรุ่นใหม่เชื่อว่า ธนาธรและพรรคอนาคตใหม่เป็นพรรคของคนรุ่นเขา ไม่ใช่พรรคอย่างพลังประชารัฐ หรือคนอย่างพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เป็นพวกเผด็จการที่สืบทอดอำนาจ สายใยของคนเสื้อแดงจึงถูกคนเหล่านี้จับโยงให้เป็นอุดมการณ์เดียวกับคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคารพและเทิดทูลต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะได้รับข้อมูลประวัติศาสตร์ 2475จากสำนักฟ้าเดียวกันและจากอาจารย์มหาวิทยาลัยเหล่านั้น
สิ่งที่วันนี้พวกเขาทำได้สำเร็จคือ ทำให้คนเสื้อแดงเชื่อมโยงเป็นเนื้อเดียวกับคนรุ่นใหม่
วันนี้คนรุ่นใหม่เหยียดหยามดูแคลนสถาบันพระมหากษัตริย์ อย่างที่ไม่เคยรับรู้และสนใจว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ดำรงอยู่และตั้งมั่นในสังคมไทย เพราะได้บำเพ็ญประโยชน์ต่อประเทศชาติและสังคมอย่างไรเมื่อเทียบกับนักการเมืองที่พวกเขาเทิดทูลบูชา และความคิดนี้ทำให้คนรุ่นใหม่จำนวนมากเหยียดแคลนพ่อแม่ของตัวเองที่เคยออกมาต่อสู้กับระบอบทักษิณที่ใช้อำนาจอย่างฉ้อฉล เพราะถูกสอนว่า ทักษิณมาจากการเลือกตั้งแต่ถูกอำมาตย์ศักดินาซึ่งหมายถึงสถาบันพระมหากษัตริย์นั่นแหละกลั่นแกล้งและให้ร้ายจนต้องออกจากแผ่นดินไทยไปอยู่ต่างประเทศ และธนาธรก็กำลังถูกกระทำแบบเดียวกัน
ผมเห็นอาจารย์หลายคนไปแสดงตัวที่ศาลเพื่อให้กำลังใจลูกศิษย์ หลายคนสะอึกสะอื้นร่ำไห้บีบน้ำตาที่ลูกศิษย์ต้องเข้าคุกเข้าตาราง ถามว่ามันไม่ใช่เพราะอาจารย์หรอกหรือที่นอกจากไม่เตือนสติแล้วยังผลักดันให้เขาออกมาต่อสู้เพื่อสนองตัณหาของตัวเอง
เมื่อวันนี้เด็กๆ ทยอยกันเข้าคุกไปแล้ว อาจารย์คิดบ้างหรือไม่ว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องเดินออกมานำหน้ามวลชน เพื่อเรียกร้องสังคมที่อาจารย์อยากจะให้เป็นหรือว่าแท้จริงแล้วก็กลัวคุกตารางนั่นแหละ.
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan