เมื่อวาน...ต้องนัดไปทำฟัน ครอบฟัน กับ “หมอฟัน” เลยไม่ได้มีโอกาสมาพบปะกับทั่นๆ ได้ตามปกติ คือด้วยเหตุเพราะความแก่ ความชรา อีกนั่นแหละ แค่ “เคี้ยวถั่ว” ไม่กี่เม็ด ขนาด “ฟันกราม” ที่น่าจะเป็นอะไรที่แข็งแกร่ง แข็งแรง เอามากๆ ดันมาบิ่น มาแตก เอาดื้อๆ!!! มาถึงวันนี้ ปิดท้ายสัปดาห์นี้ เลยคงต้องขออนุญาตไปว่ากันเรื่อง “เบาๆ” แบบชนิดอาจจะเบาโหวง เบาเหวง อยู่พอสมควร แต่ก็อาจน่าคิด น่าสะกิดใจ อยู่บ้างเหมือนกัน...
คือเรื่องของผู้นำโลก ผู้นำประเทศอเมริการายใหม่ อย่าง “โจ ไบเดน” หรือ “ผู้เฒ่าโจ” นั่นแหละทั่น ที่จะด้วยอายุ-อานาม ซึ่งปาเข้าไปในระดับ “ใกล้แง้มฝาโลง” เต็มที หรือโดยวัตรปฏิบัติ โดยพฤติกรรมก่อนหน้านั้น ก่อนที่จะผงาดขึ้นเป็นประธานาธิบดี อะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ เลยทำให้ค่อนข้างจะมี “ชื่อ-ฉายา” เยอะแยะ ตาแป๊ะไก๋ มิใช่น้อย โดยเฉพาะในช่วงที่กำลังเบียดบี้ ไล่เฉือน ไล่ชิง ตำแหน่งประธานาธิบดีกับ “ทรัมป์บ้า” ระหว่างการเลือกตั้งครั้งล่าสุดที่ผ่านมา ความพยายามลดความน่าเชื่อ น่าไว้วางใจ ของท่านผู้เฒ่ารายนี้ เลยทำให้เกิดการตั้งชื่อ ฉายา กันไปต่างๆ นานา เช่น “โจ วิตถาร” หรือ “Creepy Joe” อันเนื่องมาจากบุคลิกลักษณะของความพันพัว นัวเนีย ชอบจับโน่น จับนี่ แตะโน่น แตะนี่ ไปตามอวัยวะส่วนต่างๆ ในร่างกาย ของผู้ที่ตัวเองได้พบปะเจอะเจอ คล้ายๆ ประเภทแต๊ะอ๋ง แต๊ะอั๋ง อะไรทำนองนั้น...
แต่นั่น...ก็อาจถือเป็นความแปลก ความวิปริตพิสดารเพียงแค่เล็กๆ น้อยๆ ไม่ถึงกับสามารถปลุกเร้า กล่าวหา ให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องโต สมญานาม “Creepy Joe” หรือ “โจ วิตถาร” ก็เลยไม่ถึงกับ “ติดตลาด” ไม่ถึงกับเป็นที่ติดอก ติดใจ ต่อบรรดาอเมริกันชนทั้งหลายมากมายเกินไปนัก ผู้ไม่ประสงค์ดีและไม่คิดประสงค์จะออกนามบางกลุ่ม บางราย เลยหันไปใช้สมญานามใหม่ๆ เช่น “โจ เมืองจีน” หรือ “China Joe” กันแทนที่ โดยเฉพาะเมื่อ “ลูกชาย” ของผู้สมัครแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีรายนี้ ดันถูกกล่าวหาว่ามีสายใยทางธุรกิจ ผูกพัน เชื่อมโยงกับประเทศจีน แบบออกจะลึกซึ้งถึงกึ๋นจนเกินไป แต่หลังจากผ่านการ “เคลียร์” ผ่านการแสดงออกถึงความโปร่งใสพอสมควรแล้ว ความพยายามที่จะทำให้ผู้เข้าชิงตำแหน่งผู้นำอเมริกันรายนี้ ต้องถูกบรรดาชาวอเมริกันที่ชักจะเกลียดจีน กลัวจีน แบบชนิดแทบติดเชื้อโรคระบาดที่เรียกๆ กันว่า “Sino-Phobia” ไปทั้งประเทศ ก็ไม่ถึงกับต้องกลายเป็น “เหยื่อ” ของนักตั้งชื่อ ฉายา ในลักษณะดังกล่าว มากมายสักเท่าไหร่...
แต่สำหรับสมญานาม ที่ออกจะใช้ได้ หรือ “ได้ผล” มาโดยตลอด คงหนีไม่พ้นไปจากชื่อ ฉายา ที่เรียกๆ กันว่า “โจ ซึมเซา” หรือ “Sleepy Joe” นั่นแหละทั่น คือไม่ใช่แค่เพราะอายุ-อานามที่ปาเข้าไปถึง 78 ปี ไม่ว่าจะเคี้ยวถั่ว หรือเคี้ยวอะไรก็แล้วแต่ โอกาสฟันบิ่น ฟันแตก หรือฟันหักเอาง่ายๆ ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ แต่อาจด้วยเหตุเพราะอาการหลงๆ ลืมๆ เฟอะๆ ฟะๆ ที่ผู้นำโลก ผู้นำอเมริการายนี้ ชักแสดงให้เห็นแบบซ้ำๆ เดิมๆ หนักยิ่งเข้าไปทุกที เรียกว่า...ตั้งแต่ยังไม่ทันได้เป็นประธานาธิบดี จนแม้กระทั่งผงาดขึ้นเป็นประธานาธิบดีมาไม่รู้กี่เดือนต่อกี่เดือนเข้าไปแล้ว อากัปกิริยาในลักษณะที่ว่า ก็ยังคงปรากฏให้เห็นแบบถี่ๆ แบบซ้ำๆ เดิมๆ จนถึงขั้นสำนักโพล หรือสำนักวิจัยชื่อดังของอเมริกา อย่าง “Rasmussen Poll” ที่ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003 โน่นเลย เรียกว่า...พอๆ กับ “นิด้าโพล” บ้านเราอะไรทำนองนั้น ไม่ถึงกับ “ซูเปอร์โพล” หรือ “สวนดุสิตโพล” มากมายเกินไปนัก ต้องหยิบเอาไปเป็นประเด็น เป็นหัวข้อ คำถามต่อบรรดาผู้ตอบแบบสำรวจวิจัยกว่า 1,000 ราย โดยเฉพาะคำถามที่ว่า “คุณมั่นใจขนาดไหน ต่อสภาวะร่างกายและจิตใจของโจ ไบเดน ในการเข้ามารับหน้าที่เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ”...
และที่น่าตกใจ หรือน่าจะ “ผงะ” อยู่พอสมควรทีเดียว...ก็คือผลสำรวจได้ถูกสรุปออกมาแบบชัดเจนจะจะ จังๆ ว่าอเมริกันชนถึง 52 เปอร์เซ็นต์ หรือกว่าครึ่งหนึ่งของชาวอเมริกันทั้งหลาย ออกจะหวาดเสียว สยดสยองพองขนเอามากๆ ต่อปัญหา “สุขภาพร่างกาย” และ “สุขภาพจิต” ของประธานาธิบดีตัวเอง หรือแสดงความ “ไม่มั่นใจ” ต่อสิ่งเหล่านี้ มีเพียงแค่ 48 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง ที่ยังพออยู่ๆ กันไปได้ หรือยังคงเชื่อมั่น ยังคงไว้วางใจต่อ “ความเป็นประธานาธิบดีอเมริกัน” อันย่อมมีองค์ประกอบอื่นๆ คอยช่วยค้ำยันไว้อีกเยอะ แต่เหตุที่ “ผลสำรวจ” ดันออกมาในแนวนี้ อาจเนื่องมาจากความเฟอะๆ ฟะๆ ที่ปรากฏต่อสายตาอเมริกันชน ชักเป็นไปในแบบเต็มตา เต็มตีน ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในระหว่างการพบปะ การแถลงข่าว ของประธานาธิบดีต่อสื่อมวลชนในแต่ละครั้ง แต่ละครา...
เช่น เมื่อวัน-สองวันนี้...ก็เอาอีกแล้ว!!! คือถึงขั้น “จำชื่อ” ของ “รัฐมนตรีกลาโหม” ที่ตัวเองแต่งตั้งมากับมือยังไม่ได้ เอาเลยถึงขั้นนั้น แทนที่จะเอ่ยชื่อ เอ่ยนาม เอ่ยตำแหน่งแห่งที่ ของ “พล.อ.ลอยด์ ออสติน” (Lloyd Austin) รัฐมนตรีกลาโหมผิวสีรายแรก ที่ตัวเองส่งให้ไปควบคุม ดูแล กิจการความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งแผ่สยายอำนาจไปในระดับทั่วทั้งโลก หรือไปควบคุม ดูแล “เพนตากอน” ที่เข้าไปพันพัว นัวเนีย กับกิจการทหารของ 83 ประเทศทั่วโลก ตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา แต่ขณะยืนอยู่ต่อหน้าสื่อมวลชนระหว่างการแถลงข่าว ผู้เฒ่าวัย 75 ปี อย่าง “โจ ไบเดน” นึกยังไง...ก็นึกไม่ออก!!! ว่า “หมอนี่” ชื่ออะไรกันแน่??? หลังจากหลับตา ขยี้ตา นึกไป-นึกมา อยู่สักพัก สุดท้าย...เลยต้องหันไปใช้คำว่า... “The guy who runs that outfit over there” หรือ... “หมอนั่น...ที่ถูกส่งไปคุมทีมอยู่แถวๆ นั้น” อะไรประมาณนั้น...นั่นแล...
อันนี้นี่แหละ...ที่ทำให้บรรดาอเมริกันชนจำนวนไม่น้อย ชักเริ่ม “ผงะ” หรือเริ่มเห็นพ้องต้องกันกับชื่อและฉายา ที่ถูกขนานนามเอาไว้ก่อนล่วงหน้าว่า “Sleepy Joe” หรือ “โจ ซึมเซา” ไปด้วยประการละฉะนี้ เพราะจะด้วยความหลงๆ ลืมๆ ตามประสาคนแก่ หรือความเฟอะๆ ฟะๆ ใดๆ ก็แล้วแต่ ที่ทำให้ประธานาธิบดีรายนี้ ชักเริ่มแสดงอาการ “หลบหน้าสื่อมวลชน” อย่างเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นทุกที อย่างเมื่อวัน-สองวันก่อน...ที่ไปเยี่ยมเยียนบริษัทธุรกิจซึ่งได้รับเงินเยียวยาจากวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด แทนที่จะออกมาแถลงข่าวแสดงความภูมิอก ภูมิใจ ตามกำหนดการที่ได้นัดหมายเอาไว้กับสื่อฯ ล่วงหน้า แต่ผู้เฒ่าโจ หรือ “โจ ซึมเซา” ดันแวบหนีออกไปทางประตูหลังไปซะนี่...
อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้...เลยทำให้เกิดการหันไปให้ความสนใจ ให้ “ความสำคัญ” ต่อบทบาทของผู้ที่มีฐานะเป็น “มือรอง” อย่างรองประธานาธิบดี ซึ่งเคยมีแค่เอาไว้อวด เอาไว้โชว์ อย่าง “นางกมลา แฮร์ริส” (Kamala Harris) อย่างเป็นระบบและเป็นกิจการยิ่งเข้าไปทุกที ที่ในช่วงไม่กี่เดือนผ่านมา ก็ดูจะเพิ่มความสำคัญของตัวเองให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าการต่อสาย การพบปะโดยตรงกับผู้นำโลกรายสำคัญๆ ไล่มาตั้งแต่ผู้นำแคนาดา ออสเตรเลีย ไปจนถึงเมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมา ก็ยกหู คุยโทรศัพท์กับผู้นำอิสราเอล นายกรัฐมนตรี “เบนจามิน เนทันยาฮู” ไปเมื่อวันพฤหัสฯ ที่แล้ว (4 มี.ค.) พร้อมกับข้อสรุปว่า รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ รายนี้ ไม่เพียงแต่แสดงความยินดีต่อการฉีดวัคซีนต้านเชื้อโควิดในอิสราเอล ที่เป็นไปอย่างเบ็ดเสร็จ เรียบร้อย แต่ยังหันไปตำหนิติติงองค์กรระหว่างประเทศ อย่าง “ICC” หรือ “International Criminal Court” ที่คิดจะดำเนินการสืบสวน สอบสวน ประเทศอิสราเอล ในข้อหา “อาชญากรสงคราม” หรือต่อการแสดงออกถึงความเหี้ยม ความโหด ที่มีต่อบรรดาชาวปาเลสไตน์อีกด้วยต่างหาก...
อันนี้นี่แหละ...ที่ทำให้สิ่งที่เรียกว่า “Deep State” หรือรัฐตัวจริง เสียงจริง ที่ซ้อนรัฐ หรือซ้อนอยู่เบื้องหลังความเป็นประธานาธิบดีอเมริกันในทุกยุค ทุกสมัย จึงเป็นอะไรที่ไม่น่าจะใช่แค่การคิดๆ กันไปเอง หรือไม่ใช่ “ทฤษฎีสมคบคิด” แต่เพียงเท่านั้น แต่เป็น “ของจริง-ของแท้” ที่คอยกำกับ คอย “เชิดหุ่น” ใครก็ตาม ที่ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีอเมริกัน เป็นผู้นำโลก ในแทบทุกย่างก้าว จนมิอาจผันแปรไปเป็นอื่น นอกเสียจากต้องคอยเล่นบท แสดงบท ไปตามความปรารถนาและต้องการของกลุ่มคนเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นอดีตนักแสดง อย่าง “โรนัลด์ เรแกน” นักธุรกิจที่ดินที่บ๊องส์ส์ส์ๆ บวมๆ อย่าง “ทรัมป์บ้า” ไปจนถึงผู้ที่ขี้หลง ขี้ลืม ผู้ที่หมดสภาพไปแล้ว อย่าง “โจ ซึมเซา” ฯลฯ ที่คงหนีไม่พ้นต้องเฟอะๆ ฟะๆ ไปตามบท ตามสคริปต์ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธเป็นอันขาด...