ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พรสรรค์ วัฒนางกูร
ราชบัณฑิต สำนักศิลปกรรม
ในการศึกษาแนวคิดของเผด็จการชาตินิยมฟาสซิสม์ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพบว่า อุดมการณ์ฟาสซิสม์เน้นเรื่องการศึกษาของชาติว่า สำคัญที่สุด และต้องเป็นหนึ่งเดียว สำหรับระบอบเผด็จการชาตินิยมฟาสซิสม์ในอิตาลี รัฐบาลดูแลการศึกษาอย่างใกล้ชิดให้มีประสทธิภาพ สำหรับประเทศสยาม ในต้น ค.ศ. 1932/พ.ศ. 2475 (หรือในปลายพ.ศ. 2474 ตามปฏิทินจันทรคติของไทย) นายเรย์มอนด์ บี. สตีเวนส์ ที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศและพระยาศรีวิสารวาจา ปลัดทูลฉลองกระทรวงการต่างประเทศ ได้ร่างเค้าโครงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองเสร็จ (ชื่อว่า An Outline of Changes in the Form of the Government) ตามเค้าโครงนี้ ระบุว่าอำนาจสูงสุดยังคงอยู่ที่พระมหากษัตริย์ทั้งในทางบริหาร การตรากฎหมาย และการศาลอย่างสมบูรณ์ โดยให้มีองค์ประกอบอื่นรองรับพระราชกรณียกิจ 3 ส่วน คือ อภิรัฐมนตรีสภา (Supreme Council) อัครมหาเสนาบดี และคณะเสนาบดี (Prime Minister and Cabinet) และสภานิติบัญญัติ (Legislative Council) ทั้งผู้ร่างทั้งสองคนคือนาเรย์มอนด์ บี. สตีเวนส์ และพระยาศรีวิสารวาจาได้มีบันทึก (ลงวันที่ 9 มีนาคม ค.ศ. 1932/พ.ศ.2475) ต่อท้ายเค้าโครงดังกล่าวมาคนละฉบับเนื้อความพ้องกันว่า ไม่เห็นด้วยเลยที่ประเทศสยามจะมีการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวในขณะนั้น
ต่อมา ในเดือนมีนาคมและเมษายน พ.ศ. 2475 มีข่าวหนาหูเรื่องการพระราชทานกฎหมายพระธรรมนูญลายลักษณ์ (สุวดี, 2519:161-165) และแม้จะไม่ปรากฏหลักฐานว่าได้พิจารณาเค้าโครงร่างนี้ในที่ประชุมอภิรัฐมนตรีสภาหรืออาจมีการเวียนหนังสือนี้ให้อภิรัฐมนตรีสภาพิจารณา ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ทรงเล่าในภายหลังว่า เหตุเพราะมีเจ้านายหลายพระองค์ทรงคัดค้าน (รำไพพรรณี, 2516: 7) รวมทั้งสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต แม้จะมิได้ทรงคัดค้านแรงดังปรากฏในบันทึกของพระราชธิดาว่า “พ่อ” ได้กราบบังคมทูลว่าทรงเห็นว่าราษฎรยังไม่มีการศึกษาดีพอที่อ่านหนังสือไม่ออกก็ยังมีอีกมาก ... ตามความเห็นของท่านเห็นว่าควรค่อยเป็นค่อยไป...” (ศิริรัตนบุษบง, 2524: 59) จึงไม่มีการ “พระราชทานรัฐธรรมนูญ” ทั้งพระยาศรีวิสารวาจาก็เห็นพ้องกันกับมิสเตอร์สตีเวนส์ที่ปรึกษาว่า “ยังไม่ถึงเวลาจัดการเรื่องนี้” (หจช. สบ. 2.52/335 และมปป.) [9]
พระราชวินิจฉัยเรื่องความสำคัญของการศึกษาสำหรับการปกครองระบอบประชาธิปไตยตลอดจนการศึกษาวิเคราะห์และทดลองเรื่องระบอบการปกครองที่เหมาะสมกับสยามดำเนินอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ก่อนพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวยังมิได้เสด็จประพาสยุโรปในค.ศ. 1934 และก่อนที่จะมีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎรเพียงราวเดือนเดียว พระองค์เจ้าธานีนิวัต ได้ทูลเกล้าถวายพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นข้อความซึ่งเป็นความเห็นของมุสโซลินี [10] แสดงนโยบายและอุปสรรคของการศึกษาในประเทศอิตาลี ดังนี้
“การศึกษา (ในประเทศ: ผู้วิจัย) ต้องเป็นหนึ่งเดียว ต้องไม่มีหลายแบบและไม่มีความเห็นที่แตกต่างขัดแย้งในการศึกษา ทุกสิ่งทุกอย่างมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยทั้งสิ้นตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงระดับมหาวิทยาลัย บรรดาครูผู้สอนจะได้รับความไว้วางใจให้สั่งสอนเยาวชนของชาติ ตั้งแต่ช่วงปีแรกๆ ที่ยังเด็กจนกระทั่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ที่จะต้องร่วมมีความรับผิดชอบด้วยกันทั้งด้านศีลธรรมและสติปัญญา และมุ่งสู่จุดมุ่งหมายเดียวกัน
ข้าพเจ้าตั้งใจว่า ระบบการศึกษาในโรงเรียนทั้งหมดจะต้องเน้นด้านการให้ความรู้การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญเหนือสิ่งอื่นและการมีจริยธรรม ไม่ใช่เรื่องจำเป็นนักที่จะให้เด็กเรียนรู้ด้วยการอัดเนื้อหาเรื่องทั้งในอดีตและปัจจุบัน การเล่าเรียนไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากเป็นการฝึกความแข็งแรงของร่างกายแบบสวีดิช ซึ่งจำเป็นสำหรับการฝึกฝนจิตใจ และยิ่งแบบฝึกหัดนี้มีประโยชน์มากขึ้นเท่าไร เราก็จะลืมรายละเอียดส่วนเกินที่ไร้ประโยชน์ของมันเร็วขึ้นเท่านั้น มันเป็นเรื่องจำเป็นยิ่งกว่าที่โรงเรียนทั้งหลายจะฟอร์มคุณลักษณะของชาติอิตาลี”
เห็นได้ชัดว่า มุสโซลินีให้ความสำคัญกับการศึกษาสำหรับเยาวชนอิตาลีเป็นอันดับแรก และหลักการศึกษาของชาติจะต้องเป็นหนึ่งเดียวไม่มีหลายแบบหลายแนวซึ่งจะทำให้ประชาชนอิตาลีมีคุณลักษณะเป็นหนึ่งเดียว ไม่แตกต่าง การศึกษาสำหรับเยาวชนต้องเน้นความพร้อมและความสมดุลทั้งของทั้งร่างกายที่แข็งแรงและจิตใจที่เข้มแข็งที่จะได้มาด้วยการเน้นด้านพลศึกษา ใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือของจิตใจที่แข็งแกร่งและเยาวชนต้องมีจริยธรรมด้วย การเรียนท่องจำเนื้อหาไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่สุดสำหรับการศึกษาที่จะทำคนอิตาเลียนให้เป็นอิตาเลียนตามแนวฟาสซิสม์/เผด็จการชาตินิยม)
เห็นได้ชัดว่า มุสโซลินีเน้นเรื่องชาตินิยมเหนือสิ่งอื่น
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยเรื่องความเห็นของมุสโซลินีด้านการศึกษาตามระบอบฟาสซิสม์ และทรงโยงหลักการศึกษาแบบอิตาลีฟาสซิสม์ของมุสโซลินีเข้ากับการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ทันทีว่า
“...เขาสอนให้เด็กของเขานิยมการปกครองอย่างวิธีของ Fascism ได้ แต่เราจะสอนคนไทยให้นิยมการปกครองอย่าง absolute monarchy ได้หรือไม่? ฉันสงสัยมาก เพราะถ้าทำเดี๋ยวนี้ (คือ ในค.ศ. 1932/พ.ศ. 2475) มันช้าเกินไปเสียแล้ว ความนิยมและนับถือในพระองค์สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินอย่างที่เคยเป็นมาแต่ก่อน ฉันเห็นว่าจะกลับให้ฟื้นขึ้นอย่างแต่ก่อนไม่ได้อีกแล้ว เพราะคนที่เป็นบิดาของเด็ก ๆ ที่กำลังเรียนอยู่เดี๋ยวนี้ เคยชินและชอบการนินทาพระเจ้าแผ่นดินเสียจนติดตัวแล้ว...”
ทั้งยังทรงชี้ให้เห็นสภาที่เป็นจริงในเมืองสยามว่า สยามทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ และกลัวถูกวิจารณ์ว่าไม่ศิวิไลซ์ ต่างจากอิตาลีที่เขาไม่ต้องกลัวใคร ใครด่าก็ช่าง ทั้งยังทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยว่า
“...เมืองเราจะต้องตก between two tools เพราะลังเลใจ ที่จริงถ้าเอาแบบ Fascist ทีเดียว และมี Fascist Party ขึ้น บางทีจะดีและจะเป็น way out ที่ดีที่สุด แต่จะทำได้หรือ? ถ้าทำไม่ได้ก็ควรเตรียมการที่จะเปลี่ยนเป็น constitutional Monarchy โดยเร็วที่สุดที่จะทำได้และต้องให้การศึกษาไปในทางนั้นละมัง” [11]
ประชาธิปก
นั่นคือ การทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ ไม่ใช่เรื่องดีเลย ในเมื่อสยามไม่สามารถจะเป็นฟาสซิสม์เต็มรูปแบบได้ คือมีทั้งการศึกษาแบบฟาสซิสม์และมีพรรคการเมืองฟาสซิสม์ด้วย แต่ทรงสงสัยว่า จะทำได้หรือ นั่นคือน่าจะทำไม่ได้ในสยาม
ดังนั้น ทางออกและคำตอบของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวคือ การปกครองแบบรัฐสภาโดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
กระนั้นก็ตาม ตลอดเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวประทับอยู่ในอิตาลี ได้ทรงมีโอกาสมาถึงสถานที่จริง พบบุคคลต่างๆ และสามารถทรงมีประสบการณ์ตรงให้ประจักษ์ด้วยพระองค์เองได้ “ได้ทรงพระราชอุตสาหะอย่างมากในการเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรกิจการของคณะฟาสซิสม์ทั้งเช้า กลางวัน และเย็น ทุกวันมิได้เว้น และได้ทรงพบและวิสาสะกับคนสำคัญต่างๆ ในราชการเป็นอันมาก” [12]
ไม่เพียงแนวคิดเผด็จการชาตินิยม (ฟาสซิสม์) แบบอิตาลีที่พระมหากษัตริย์แห่งสยามทรงสนพระทัยและศึกษาทั้งหลักการและการปฏิบัติจริง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวยังได้ทรงศึกษาในเชิงทฤษฎีโดยการอ่านงานประพันธ์ของฮิตเลอร์ฉบับแปลภาษาอังกฤษและหนังสือเกี่ยวกับแนวคิดเผด็จการชาตินิยมอื่นอีก กับทั้งได้ทรงพระราชอุสาหะเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรกิจการของคณะฟาสซิสม์นาซีในเยอรมนีกับกิจการอุตสาหกรรม เกษตรกรรม เทคโนโลยีอันทันสมัยอื่นๆ ของเยอรมนีอย่างไม่ทรงย่อท้ออีกด้วย มีภาพรวบรวมที่หอจดหมายเหตุของสหพันธ์ หอจดหมายเหตุภาพ (Bundesarchiv / Bildarchiv) เมืองโคเบลนซ์ (Koblenz) และที่หอจดหมายเหตุของสหพันธ์เมืองอื่นๆ มากมาย
หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีพระบรมราชวินิจฉัยแล้วว่าประเทศสยามนั้นน่าจะเหมาะกับระบอบ Constitutional Monarchy มากที่สุด และการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ซึ่งดูเหมือนจะเป็นประเด็นที่ทุกฝ่ายไม่ว่าจะนิยมแนวคิดการเมืองลัทธิใดเห็นพ้องตรงกัน พระมหากษัตริย์แห่งสยามได้เสด็จทอดพระเนตรห้องประชุมสภามนตรี (House of Lords) และที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร (House of Commons) ณ กรุงลอนดอนในวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1934 ก่อนการรับการถวายการผ่าตัดพระทนต์และพระเนตร ศึกษาเรื่องการจัดการประชุมสภาและคอยทอดพระเนตรนายกรัฐมนตรีเข้าที่ประชุม มีแขกอื่นๆ มาคอยดูด้วยหลายสิบคน แล้วเสด็จขึ้นไปประทับฟังที่ประชุมปรึกษาข้อราชการต่างๆ ตามระเบียบวาระ นับเป็นการสังเกตการณ์ในเหตุการณ์จริง ซึ่งคงจะมิได้มีโอกาสได้ทอดพระเนตรเมื่อครั้งยังทรงศึกษาเป็นนักเรียนอยู่ที่โรงเรียนอีตัน และโรงเรียนทหารวูลลิช
ในโลกสมัยต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ยังมีระบอบการปกครองของลัทธิการเมืองอย่างใหม่อีกลัทธิหนึ่ง คือ ลัทธิสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ เริ่มที่ประเทศรัสเซีย หลังการปฏิวัติบอลเชวิค เมื่อรัสเซียเปลี่ยนเป็นสหภาพโซเวียตหลังการปฏิวัติ สหภาพโซเวียตมีนโยบายเผยแพร่ลัทธิสังคมนิยมคอมมิวนิสต์อย่างเป็นระบบไปทั่วโลก ทั้งได้จัดตั้งองค์กร International เพื่อดำเนินการ การเผยแผ่แนวคิดลัทธิคอมมิวนิสต์ในประเทศในเอเชียที่เคยเป็นอาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตกโดยเฉพาะของฝรั่งเศส เช่น ประเทศเวียดนามดูจะได้ผลดีเป็นพิเศษ เพราะเป็นประเด็นหลักของการโฆษณาชวนเชื่อคือ คอมมิวนิสต์จะช่วยปลดปล่อยประเทศนั้นๆ ให้เป็นอิสระจากเจ้าอาณานิคม แต่ไม่ค่อยได้ผลนักในประเทศสยามเพราะประเทศสยามไม่เคยเป็นอาณานิคมของตะวันตก สำหรับประเทศจีนซึ่งมีพื้นที่มหาศาลมีความซับซ้อนเป็นพิเศษทั้งในด้านการเมือง การปกครอง สังคมและวัฒนธรรมจึงทำให้บอลเชวิคสามารถพิชิตประเทศจีนให้ปกครองแบบคอมมิวนิสต์ได้ แต่จีนก็ได้ปลดปล่อยตนเองและกลายเป็นคอมมิวนิสต์ที่มีรูปแบบของตนเองแบบจีน เป็นอิสระจากโซเวียตในที่สุด
แม้หลักการของลัทธิสังคมนิยมคอมมิวนิสต์จะมุ่งให้ประชาชนเท่าเทียมกัน ไม่เหลื่อมล้ำมีชนชั้นทางสังคม และพลเมืองกินดีอยู่ดี ซึ่งในต้นคริสตศตวรรษที่ 20 ยังต้องพิสูจน์กันด้วยเวลาว่าทำได้จริงหรือไม่ แต่คอมมิวนิสม์มีวิธีการรุนแรงตามแนวคิดดั้งเดิมของทฤษฎีไดอาเล็กติคของคาร์ล มาร์กซ์ที่ต้องทำลายระบอบการปกครองเก่าให้สิ้นโดยใช้กำลัง เพื่อที่จะสร้างระบอบใหม่และสังคมใหม่ ทำให้หลายชาติต่างขยาดและหวาดกลัวในลัทธิการเมืองที่เริ่มด้วยการปฏิวัตินองเลือด และมักตามด้วยการชิงอำนาจกันเอง เข่นฆ่าประชาชนที่เห็นต่าง กับทั้งก็ยังมีความเหลื่อมล้ำในสังคมอยู่ ดังตัวอย่างความเหลื่อมล้ำระหว่างประชาชนกับกลุ่มผู้ปกครองคอมมิวนิสม์ หลายประเทศจึงต่อต้านลัทธินี้อย่างชัดเจน มีทั้งชาติยุโรปอย่างเยอรมนี อิตาลี และประเทศในเอเชีย เช่น สยาม เป็นต้น
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ หลังจากที่รัฐบาลให้หลวงประดิษฐ์มนูธรรมเสนอเค้าโครงเศรษฐกิจเพื่อให้สภาพิจารณา มีผู้ไม่เห็นด้วยมากมาย รวมทั้งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัฐบาลสยามได้นำพระบรมราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมาเป็นเครื่องมือหนึ่งทางการเมืองในการกำจัดหลวงประดิษฐ์มนูธรรมออกไปให้พ้นทาง โดยรัฐบาลจัดพิมพ์สมุดปกขาว นำข้อที่พระมหากษัตริย์ทรงวิจารณ์เค้าโครงเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์มนูธรรมอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าไม่ใช่หลวงประดิษฐ์ฯ เอาอย่างสตาลิน ก็สตาลินเอาอย่างหลวงประดิษฐ์ฯ ... โครงการทั้งสองนี้เหมือนกันหมดเหมือนกันจนรายละเอียด...จะผิดกันก็แต่รัสเซียแก้เสียเป็นไทย หรือไทยนั้นแก้เป็นรัสเซีย...” แม้แต่ทูตอเมรกันและทูตชาวดัตช์ก็เห็นตรงกันว่า โครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์มีเนื้อหาที่แสดงหลักการคอมมิวนิสม์ชัดเจน แม้หลวงประดิษฐ์จะไม่ใช่คอมมิวนิสม์ก็ตาม
หลวงประดิษฐ์มนูธรรมต้องเดินทางลี้ภัยออกนอกประเทศไปพำนักที่ประเทศฝรั่งเศส โดยรัฐบาลช่วยเหลือเพื่อ “ส่งเสริมการศึกษา” เหตุการณ์บานปลายถึงรัฐบาลยุบสภา มีการล้มรัฐบาลของพระยามโนปกรณ์นิติธาดา และพระยาพหลฯ ทำรัฐประหารครั้งที่สองในวันที่ 20 มิถุนายน ค.ศ. 1933/พ.ศ. 2476 เข้ายึดอำนาจและปลดพระยามโนปกรณ์นิติธาดาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เปลี่ยนรัฐบาลโดยให้พระยาพหลพลหยุหเสนาเข้ามารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี [13] มีการผูกขาดการตั้งสมาคม (หรือพรรคการเมือง:ผู้เขียน) “คณะราษฎร” การปฏิวัติครั้งนี้ เปิดทางให้พันโท หลวงพิบูลสงครามซึ่งเป็นกลุ่มทหารหนุ่มและเดิมยังไม่มีบทบาทมากนัก กลายเป็นผู้คุมกำลังกองพันและในที่สุดกลายเป็นผู้นำรัฐบาลทหารต่อมาอีกหลายสมัยของประเทศไทยจนถึงรัชกาลที่ 9
จึงไม่ปรากฏว่า พระมหากษัตริย์แห่งสยามได้ทอดพระเนตรกิจการของคอมมิวนิสต์ในยุโรปเพราะสยามปฏิเสธระบบการปกครองนี้แล้วแต่ต้น อีกทั้งสหภาพโซเวียตไม่ใช่จุดหมายและอยู่นอกเส้นทางเสด็จฯ
ท้ายเรื่อง
อุดมการณ์การเมืองของโลกใหม่ในช่วงต้นคริสตศตวรรษที่ 20 ได้พิสูจน์ตนเองด้วยกาลเวลาแล้วว่า อุดมการณ์ใด ดำรงอยู่ได้ อุดมการณ์ใดดำรงอยู่ไม่ได้ อุดมการณ์หรือลัทธิชาตินิยมฟาสซิสม์ในอิตาลีหรือ
ในเยอรมนีก็ดี ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ เพราะต่างก็จบด้วยการแสวงหาอำนาจโดยใช้กำลังทำสงครามเพื่อที่จะได้เป็นใหญ่เหนือชาติอื่นของผู้นำทั้งสอง คือ มุสโซลินีในอิตาลี และฮิตเลอร์ในเยอรมนี นำสู่หายนะของชาติและตัวผู้นำกับบรรดาพรรคพวก สำหรับอิตาลีซึ่งเป็นชาติแห่งศิลปะ แม้จะเป็นต้นตอของลัทธิฟาสซิสม์ แต่การจัดการไม่มีประสิทธิภาพดีเท่าชาวเยอรมัน โดยเฉพาะทหารอิตาลีรบไม่เก่งและไม่มีวินัยเท่าทหารเยอรมัน ทั้งการตัดสินใจของผู้นำมุสโซลินีที่หวังจะเป็นชาติมหาอำนาจ อิงไปพร้อมกับเยอรมนี ทำให้ลัทธิฟาสซิสม์ในอิตาลีล้มเหลว แม้มุสโซลินีจะประสบความสำเร็จอย่างสูงในช่วงแรกที่ใช้อุดมการณ์ฟาสซิสม์ในการบริหารและทำนุบำรุงประเทศ ทำให้ประชาชนอิตาลีมีความกินดีอยู่ดีขึ้นกว่าเดิมก่อนหน้าอย่างมากก็ตาม
สำหรับความล้มเหลวของลัทธิเผด็จการชาติฟาสซิสม์เยอรมนี แตกต่างกับอิตาลีตรงที่ฮิตเลอร์ได้ใช้ประโยชน์จากความ “ไว้ใจ เชื่อมั่น กึ่งบูชา” ที่ชาวเยอรมันมีต่อตนเองในทางการเมืองมาเสริมอำนาจของตน
ฮิตเลอร์ใช้ประโยชน์จากการปกครองของพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยของสาธารณรัฐไวมาร์ที่สามารถจัดการฟื้นฟูเยอรมนีให้ประชาชนกินดีอยู่ดีมีงานทำได้อย่างดีหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งด้วยความมีวินัยและขยันขันแข็งของคนเยอรมันเอง ทั้งยังนำเยอรมนีให้ “ปลดแอก” ตนเองจากหนี้สินท่วมท้นที่ต้องจ่ายให้สัมพันธมิตรหลังสงครามโดยความช่วยเหลือบางส่วนจากสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ ประเด็นที่สำคัญที่สุดที่นำไปสู่จุดจบของลัทธิ
นาซีก็คือ ฮิตเลอร์ในฐานะผู้นำพรรคนาซีตั้งแต่ยังเป็น “นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐไวมาร์ จนตั้งตัวเป็น “ท่านผู้นำ” แห่ง “อาณาจักรเยอรมันที่สาม” (The Third Reich/Das Dritte Reich) ในค.ศ. 1934 ได้ใช้ลัทธิปรัชญาปรัชญาที่ว่า ชนเผ่าเยอรมัน คือชนเผ่าอารยันที่ประเสริฐ เหนือกว่าชนชาติอื่นๆ ในขณะเดียวกัน ฮิตเลอร์ก็ได้สร้าง “แพะรับบาป” คือ “ชนชาติยิว” เพื่อกำจัดให้สิ้นซาก อิงกับความเชื่อของชาวคริสต์ที่ว่า ยิวคือผู้สังหารพระคริสต์ แนวคิดนี้ได้รับการสนับสนุนจากแนวคิดปรัชญาของกอร์เบอร์โนเรื่องความเหนือกว่าของชนผิวขาว และแนวคิดวิทยาศาสตร์ของชาลส์ ดาร์วินที่ว่า “สัตว์ที่แข็งแรงที่สุดเท่านั้นที่จะรอด” เพื่อให้ปฏิบัติการกำจัดสังหารยิวมีความชอบธรรม
อันที่จริง ข้ออ้างทั้งหมดของฮิตเลอร์แฝงด้วยความต้องการแสวงหาอำนาจส่วนตนเพื่อยึดทรัพย์สินของคนยิวที่มักประกอบอาชีพเป็นพ่อค้ามาตั้งแต่ยุคกลาง เนื่องจากในทางคริสตศาสนา การเป็นพ่อค้าเป็นอาชีพที่ชาวคริสต์ไม่นิยมเนื่องจากเชื่อว่าเป็นบาป ยิวจึงน่าอิจฉาและน่ารังเกียจด้วย การยึดทรัพย์จากชาวยิวของ ฮิตเลอร์เพื่อนำเงินไปทำสงครามเพื่อให้เยอรมนีเป็นเจ้าโลก จึงชอบธรรมในสายตานาซีด้วยประการฉะนี้
สำหรับลิทธิมาร์กซิสม์ที่ได้กลายมาเป็นสังคมนิยมคอมมิวนิสม์นั้น ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วในสหภาพ
โซเวียตว่า ไม่สามารถปฏิบัติได้จริงตามอุดมการณ์ทางทฤษฎีที่ดูมีอุดมคติสวยหรู ทั้งยังเป็นรูปแบบการปกครองที่ไม่อาจขจัดชนชั้นความเหลื่อมล้ำในสังคมได้ เนื่องจากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นคือ ชนชั้นปกครองคอมมิวนิสม์จะมีอำนาจเบ็ดเสร็จเป็นเผด็จการ กำจัดประชาชนที่คิดต่างอย่างรุนแรงเห็นในทุกประเทศที่ปกครองด้วยอุดมการณ์การเมืองนี้ ส่วนในทางเศรษฐกิจ ลัทธิคอมมูนของมาร์กซ์ไม่สามารถทำให้ผู้คนกินดีอยู่ดีอย่างเท่าเทียมได้สำเร็จ ทั้งชนชั้นปกครองที่เป็นคอมมิวนิสม์ยังเป็นอภิสิทธ์ชนกินร่ำรวยกว่าประชาชนโดยไม่มีใครสามารถลงโทษหรือทำอะไรได้ คอมมิวนิสม์ในสหภาพโซเวียตและในยุโรปตะวันออกจึงต้องล่มสลายทั้งหมดหลังจากที่แนวคิดมาร์กซิสม์เกิดขึ้นในโลกตั้งแต่ระหว่างการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรปกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 ใช้เวลาราว 150 ปี
ส่วนชาติอื่นๆ ที่รับอุดมการณ์การเมืองคอมมิวนิสม์ไปใช้ เช่น จีน เวียตนาม ลาว เกาหลีเหนือ ได้ปรับแนวคิดการเมืองนี้ทั้งในด้านสังคม การเมืองและเศรษฐกิจ มีความเป็นเผด็จการมากน้อยต่างกันในแต่ละประเทศ ขึ้นอยู่กับลักษณะนิสัยของประชาชนแต่ละชาติ รวมทั้งความเป็นไปได้ในทางการเมืองที่ผู้นำมีความใฝ่อำนาจมากน้อยขนาดไหน ใช้อำนาจแบบเผด็จการรุนแรงกับจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนมากน้อยต่างกันเพียงใด
ที่แน่ๆ ก็คือ แม้ลัทธิสังคมนิยมคอมมิวนิสม์ก็ยังไม่สามารถกำจัดความเหลื่อมล้ำในสังคมทั้งทางการเมืองสังคมและเศรษฐกิจได้หมดสิ้นตามที่แอบอ้างไม่ว่าในประเทศใด ทั้งเวลาก็ได้พิสูจน์แล้วว่า ผู้นำลัทธินี้มักใช้อำนาจปกครองแบบเผด็จการ ประชาชนไม่มีเสรีภาพทางความคิดและแสดงออก บรรดาผู้ที่คิดต่างมักถูกกำจัดให้พ้นทางรุนแรงต่างกัน
เป็นเรื่องจะต้องติดตามผลกันต่อไป
อ้างอิง :
[9] รายละเอียดอ้างในใน: นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ (พิมพ์ครั้งที่สี่ พ.ศ. 2546), การปฏิวัติสยามพ.ศ. 2475, พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2535. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์อมรินทร์, หน้า 212-214
[10] ข้อความอันเป็นความเห็นของมุสโซลินีอยู่ใน: The Year Book of Education 1932, edited by Lord Eastace Percy, M.P. Chapter III, p.858. ใน: หจช., ร.7 ศ. 7/1 “พระราชกระแสตอบเสนาบดีกระทรวงธรรมการ” 27 พฤษภาคม 2475, สนธิ เตชานันท์ (ผู้รวบรวมเอกสาร) พิมพ์ครั้งที่ 4 พ.ศ. 2545, เชิงอรรถที่ 7
[11] เอกสารลายพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชวินิจฉัยเรื่องการศึกษาและการปกครองระบอบฟาสซิสม์ คัดสำเนาถวายอภิรัฐมนตรี: ผู้วิจัย, ใน: สหจช., ร.7 ศ. 7/1 “พระราชกระแสตอบเสนาบดีกระทรวงธรรมการ” 27 พฤษภาคม 2475, สนธิ เตชานันท์ (ผู้รวบรวมเอกสาร พ.ศ. 2545), หน้า 286-287
[12] พระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกร (พ.ศ. 2526), จดหมายเหตุเสด็จพระราชดำเนินประพาสยุโรป พ.ศ. 2476-2477 ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว, หน้า 119
[13] ROUX, Henri. [Bruits à propos d’un nouveau coup d’ État], 43, A, 22 février 1933, 4 p. SHAT. 7 N 3341, เรื่องการก่อการรัฐประหารเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน ค.ศ. 1933/พ.ศ. เอกสารหมายเลข 47A, 8 เมษายนค.ศ. 1933/พ.ศ. 2477, 7 หน้า. ใน: รายงานวิจัยเรื่อง เอกสารชั้นต้นฝรั่งเศสกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว, หน้า 189-206, ในที่นี้ หน้า 189