xs
xsm
sm
md
lg

สงครามภาษี-เทคโนโลยีและสงครามเลือด!!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


ศาสตราจารย์John Quelch
ด้วยเหตุเพราะความแก่ ความชรา นั่นแหละเป็นหลัก...เลยทำให้อันตัวข้าพเจ้าเองออกจะ “โลว์เทค” โดยธรรมชาติ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธไปเป็นอื่น แต่มาถึงวันนี้ ถึง ณ ขณะนี้ สงสัยว่าคงหนีไม่พ้นต้องหันไปให้ความสนใจ ความสำคัญ กับข่าวคราวความเคลื่อนไหวเรื่องประเภทเทคนิค เทคโนโลยี ติดปลายนวมเอาไว้มั่ง...

เพราะเมื่อช่วงวัน-สองวันมานี้เอง (5 มี.ค.) ในรายการ “Boom Bust” ของสำนักข่าวรัสเซีย ทูเดย์ ที่ได้ไปพูดคุย เสวนา กับนักคิด-นักวิชาการ ระดับอธิการบดีแห่งมหาวิทยาลัยชื่อดังของสหรัฐฯ อย่างศาสตราจารย์ “John Quelch” แห่ง “Miami Herbert Business School” นักคิด-นักวิชาการรายนี้ท่านได้ “ฟันธง” ลงไปแบบเต็มผืน เต็มด้าม ว่านับต่อไปจากนี้...การปะทะขัดแย้งระหว่างคุณพ่ออเมริกากับคุณพี่จีน ที่เคยเป็นเพียงแค่ “สงครามภาษี” (Tariff War) มาตลอดยุคประธานาธิบดีคนเก่าอย่าง “ทรัมป์บ้า” กำลังจะถูกยกระดับพัฒนา โดยประธานาธิบดีรายใหม่ หรือรัฐบาลอเมริกันชุดใหม่ ไปสู่ “สงครามเทคโนโลยี” (Technology War) อย่างไม่เป็นอันต้องสงสัยใดๆ อีกต่อไป!!!

จริง-ไม่จริง เชื่อ-ไม่เชื่อ...คงต้องเก็บไปนั่งคิด นอนคิด เอาเองก็แล้วกัน แต่โดยเหตุผล ข้ออ้าง ที่ศาสตราจารย์รายนี้ท่านหยิบยกมาแนบท้ายเอาไว้ ก็ดูจะมีน้ำหนักมิใช่น้อย เพราะถือเป็นหนึ่งในประเด็นหลัก ที่กำลังถูกนำไปถกเถียง อภิปราย ในการประชุมร่วม 2 สภาฯ ของจีน (NPC และ CPPCC) ที่เริ่มขึ้นในช่วงวันที่ 5 มีนาคมที่ผ่านมา ด้วยเหตุเพราะรัฐบาลจีนน่าจะเห็นว่าภาคส่วนเทคโนโลยี หรือเศรษฐกิจดิจิทัลนี่แหละ ที่อาจถือเป็นตัวขับเคลื่อนประเทศจีนไปสู่ “ความทันสมัย” รวมทั้ง “การพึ่งตนเอง” ได้เป็นอย่างเป็นจริง เป็นจัง ในอนาคตเบื้องหน้า หรือในช่วงระยะทศวรรษกว่าๆ นับจากนี้เป็นต้นไป หรือโดยคำพูดที่ว่า... “ผมคิดว่า...เรากำลังเคลื่อนที่จากสงครามภาษีไปสู่สงครามเทคโนโลยี ชนิดไม่ต้องมีข้อสงสัยใดๆ อีกต่อไป และในสมรภูมิที่ว่านี้...สหรัฐอเมริกาก็ยังมีข้อได้เปรียบอยู่อีกหลากหลายมากมาย ในฐานะผู้นำกระแสดังกล่าวมาไม่น้อยกว่า 30 ปี...”

แม้ว่าศาสตราจารย์รายนี้ท่านพยายามมองโลกออกไปทาง “โลกสวย” อยู่ตามสมควร คือมองว่าการปะทะ แข่งขันกันในสมรภูมิดังกล่าว น่าจะเป็นตัว “สร้างประโยชน์ให้แก่ผู้บริโภคและสร้างความมั่งคั่งให้กับโลกทั้งมวล” หรือ “การแข่งขันทางเทคโนโลยีระหว่างมหาอำนาจทั้งสองย่อมก่อให้เกิดผลดีต่อผู้บริโภคในระยะยาว” แต่สำหรับใครที่ได้อ่านข้อเขียน บทความของคอลัมนิสต์ “เอเชียไทมส์” อย่าง “นายDavid P. Goldman” มาก่อนหน้านี้ (3 มี.ค.) นั่นคือบทความเรื่อง “China’s ambitions threatened by US equipment ban” ที่เว็บไซต์ “ผู้จัดการ” ของหมู่เฮา ได้นำมาแปลเรียบเรียงไว้ในภาคภาษาไทยเมื่อเร็วๆ นี้ โดยตั้งชื่อไว้ยาวเหยียดว่า... “จีนเจอตอ!!! ในการเร่งรัดพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์ ถูกคุกคามจากมาตรการห้ามส่งออกเครื่องจักรอุปกรณ์ของสหรัฐฯ” อะไรก็ตามที่ออกไปทางโลกสวย ดูๆ ชักจะหนักไปทาง “โลกซวย” ซะมากกว่า เพราะโอกาสที่มันจะนำไปสู่อะไรต่อมิอะไรที่น่าเกลียด น่ากลัว ก็ใช่ว่าจะไม่มีเอาเสียเลย...

คือถ้าสรุปคร่าวๆ...แบบไม่ต้องเสียเวลาไปปวดหัว ในเรื่องคำศัพท์ คำแสง เกี่ยวกับเทคโนโลยี ที่ออกจะอ่านยาก ฟังยากเอามากๆ โดยเฉพาะสำหรับคนแก่ คนชรา ประเภท “แก่แล้ว-แก่เลย” ก็พอจะสรุปได้ว่า จากเอกสารรายงานของหน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติด้าน “ปัญญาประดิษฐ์” หรือ “National Security Commission on Artificial Intelligence” หรือ “NSCAI” ของอเมริกา ที่เพิ่งได้รับการเผยแพร่ไปเมื่อไม่กี่วันมานี้ (1 มี.ค.) ได้เสนอแนะเอาไว้ค่อนข้างชัดเจน ให้รัฐบาลสหรัฐฯ และพันธมิตร หาทาง “เตะตัดขา” คุณพี่จีน หรือให้หาทาง “ควบคุม” การส่งออกชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่เรียกๆ กันว่า “เซมิคอนดักเตอร์” ไม่ว่าในแง่การผลิต การจัดหา จัดจำหน่าย ไว้ให้จงหนัก ชนิดไม่เพียงแต่ถือเป็นตัวสกัดกั้นมิให้พญามังกรจีน ผงาดขึ้นสู่ความหนึ่งในสมรภูมิเทคโนโลยีได้ง่ายๆ ยังอาจส่งผลให้การวางเครือข่ายสื่อสารในระบบ “5 G” อันโด่งดังของจีน หนีไม่พ้นต้อง “เป๋ไป-เป๋มา” เอาเลยก็ไม่แน่!!!

ใครที่อยากรู้ “รายละเอียด” ในเรื่องทำนองนี้...คงต้องลอง “คลิก” ไปอ่านเอาเองก็แล้วกัน เพราะเต็มไปด้วยศัพท์แสงทางเทคโนโลยี ที่อาจก่อให้เกิดความปวดเศียรเวียนเกล้าเอาง่ายๆ แต่โดยสรุปรวมความแล้ว...มันคงไม่ต่างอะไรไปจากความพยายามไล่เตะ ไล่ถีบ ไล่กระทืบ ซึ่งกันและกันระหว่าง 2 อภิมหาอำนาจคู่แข่ง ที่นับวันจะ “อยู่ร่วมโลกโดยสันติ” แทบไม่ได้ ยิ่งเข้าไปทุกที ชนิดที่ว่ากันว่า...ถ้าหากรัฐบาล “ผู้เฒ่าโจ” คิดจะออกอาวุธในลักษณะดังกล่าว ฝ่ายจีนก็น่าจะเตรียม “เลียะพะ” หรืออาจหันไปใช้ “ฝ่ามืออรหันต์” ตอบโต้ด้วยการระงับการส่งออก “แร่หายาก” หรือ “Rare-Earth” อันเป็นวัสดุที่ใช้ในการผลิตสินค้าประเภทเทคโนโลยีทั้งหลาย ตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ หรือตั้งแต่ “มือถือ” ไปยันเครื่องบินโจมตีรุ่นล่าสุด อย่าง “F-35” เอาเลยก็ยังได้...

เพราะก่อนหน้านี้...หรือช่วงประมาณเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์ไฟแนลเชียล ไทมส์ เขาเคยออกข่าว หรือเคย “ตีปลาหน้าไซ” ไว้ก่อนล่วงหน้า ว่าในฐานะที่คุณพี่จีนท่านเป็นผู้ผลิตแร่ชนิดนี้ได้มากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของตลาดโลก การงัดสิ่งเหล่านี้มาใช้เป็น “เครื่องมือ” ในการตอบโต้ใครก็ตาม ที่คิดจะออกหมัด-เท้า-เข่า-ศอก ต่อประเทศจีน หรือต่อความพยายามที่จะขับเคลื่อนประเทศจีน ด้วยเศรษฐกิจดิจิทัล อันต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธ ว่าถือเป็นตัวทำรายได้ให้กับระบบเศรษฐกิจจีนไม่น้อยกว่า 35,000 ล้านล้านหยวน หรือ 5.45 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 36.2 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีประเทศจีน ตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 2019 เป็นต้นมา ตามตัวเลข สถิติ จาก “Chinese Academy of Cyberspace Studies” เมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว...

แม้ว่าช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้...สื่อทางการของจีนอย่าง “Global Times” จะออกมาปฏิเสธแบบนิ่มๆ ต่อเสียงร่ำลือที่ว่าจีนอาจงัดเอาไม้นี้ มาใช้ตอบโต้คุณพ่ออเมริกาในสมรภูมิดังกล่าว ตามข้อเขียน บทความ หรือบทบรรณาธิการว่าด้วยเรื่อง “China not targeting US in rare-earth export, but option remain” คือโดยสรุปประมาณว่า...ทุกวันนี้ จีนก็ยังไม่ได้คิดจะควบคุมการส่งออกแร่ชนิดนี้ อย่างที่มีเสียงร่ำ เสียงลือแต่อย่างใด ปีที่แล้ว (2020) ยังคงส่งออกถึง 35,000 ตันน้อยกว่าปีก่อนหน้านี้อยู่บ้าง อันเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย แต่ก็ไม่มีความประสงค์ใดๆ ที่จะใช้แร่ชนิดนี้เป็นเครื่องมือในการต่อต้านประเทศหนึ่ง ประเทศใด เอาเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าในแง่ราคา หรือปริมาณ เพียงแต่ว่า...แต่ช้าแต่ เขาแห่ยายมา เพียงแต่สิ่งเหล่านี้...อาจถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือก็ต่อเมื่อ 1. เพื่อต่อต้านการก่อการร้าย 2. เพื่อความมั่นคงของชาติ และ 3. เมื่อเกิดสภาวะแวดล้อมอันรุนแรง เช่น ระหว่างสงคราม ฯลฯ ฯลฯ เป็นต้น...

หรือสรุปง่ายๆ ว่า...ถ้าถูกเตะ ถูกถีบ ถูกกระทืบ อย่างเป็นระบบและเป็นกระบวนการ โอกาสที่จีนจำต้องงัดเอาสิ่งเหล่านี้มาใช้เป็น “ทางเลือก” หรือเป็นเครื่องมือในการตอบโต้ ผู้ที่พยายาม “เตะตัดขา” จีนอย่างมิคิดเลิกรา ย่อมอาจเป็นไปได้ในแบบฉับพลัน-ทันที หรือแบบถึงไหนก็ถึงกัน ดังนั้น...แนวคิด หรือข้อเสนอ ในการสกัดกั้นไม่ให้พญามังกรจีน สามารถผงาดขึ้นเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีในอนาคตเบื้องหน้า ด้วยการควบคุมการส่งออก จัดหา จัดจำหน่าย “เซมิคอนดักเตอร์” โดยคุณพ่ออเมริกาหรือบรรดาพันธมิตรทั้งหลาย จึงไม่น่าจะถึงกับ “ปอกกล้วยเข้าปาก” แต่อย่างใด ยิ่งโดยเฉพาะถ้าคิดจะ “ออกอาวุธ” ให้หนักๆ เข้าไว้ ไม่ว่าจะถูกเรียกขานกันในนาม “สงครามการค้า” “สงครามภาษี” หรือ “สงครามเทคโนโลยี” ก็ตามที แต่ยังไงๆ...คงหนีไม่พ้นต้องหันไปฟัง “คำเตือน” ของอดีตผู้นำแรงงานชาวอเมริกัน อย่าง “นายEugene Victor Debs” ที่เคยเตือนๆ เอาไว้ก่อนล่วงหน้า ประมาณปี ค.ศ. 1855-1926 โน่นเลยว่า “Sooner or later every war of trade becomes a war of blood.” หรือ “ไม่ช้าก็เร็ว...ที่สงครามการค้าทุกครั้ง ย่อมต้องกลายเป็น...สงครามเลือด...จนได้”...


กำลังโหลดความคิดเห็น