เปิดฉากสัปดาห์นี้...ด้วยลักษณะอาการที่คงต้องเรียกว่า ชักจะไปไม่ออก ไปไม่เป็นอยู่พอสมควรเหมือนกัน คือไม่รู้ว่าจะร่อนไป-ร่อนมา ณ ที่ไหนกันดี เนื่องจากโลกใบนี้ หรือโลกทุกวันนี้ มันออกจะเป็นอะไรที่น่าปวดเศียรเวียนเกล้า ชนิดแทบไม่รู้จะหามุมจบ หาข้อยุติกันได้ ณ จุดไหน ตรงไหน???
แม้แต่ประเทศบ้านใกล้-เรือนเคียง อย่างพม่า หรือเมียนมา...มาถึงทุกวันนี้ คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่า ไม่ว่าบรรดา “กูรู-กูรู้”ผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญระดับใดต่อระดับใด ต่างแทบไม่เห็น “แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์” เอาเลยแม้แต่น้อย ว่ามันจะหามุมจบ หาข้อยุติกันได้แบบไหน อย่างไร คือไม่ว่าจะกดดัน แทรกแซง ปฏิเสธและต่อต้านในรูปใดก็ตาม แต่ในเมื่อ “เผด็จการพม่า” ที่ออกจะเหี้ยม ออกจะโหด ออกจะ “กระด้างภัณฑ์” เอามากๆ ดันไม่คิดจะเอาด้วยซะอย่าง พร้อมที่จะยิง จะฆ่า จะไล่ล่าล้างผลาญ แม้แต่บรรดาชาวพม่าที่ต่างก็เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นสายเลือดชาติพันธุ์เดียวกันกับตัวเอง อย่างไม่คิดจะลดราวาศอกเอาเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นอาเซียน อเมริกา-ยุโรปตะวันตก หรือแม้แต่มหาอำนาจที่มีพรมแดนประชิดติดพันกับพม่าชนิดยาวอีเหลนเป๋น อย่างคุณพี่จีนก็ตาม ก็ดูจะทำอะไรไม่ได้มาก หรือทำอะไรไม่ได้เลย!!!
มีแต่ต้องรอให้การประท้วง หรือการ “ลุกฮือ”ของชาวพม่าด้วยกันเอง กลายเป็นตัวสร้าง “คำตอบ” หลังจากทุกสิ่งทุกอย่างฉิบหาย-วายวอดไปถึงจุดไหนต่อจุดไหน ก็มิอาจคาดคะเนได้ คือแม้กระทั่งสาธารณูปโภคทุกอย่างแทบหยุดหมด โรงพยาบาลถูกปิด หรือปิดตัวเองกันไปเป็นแถบๆ กระทรวง ทบวง กรมต่างๆ แทบไม่เหลือคนทำงาน ธนาคารในแต่ละแห่งไม่สามารถประกอบธุรกรรม ธุรกิจ ได้เหมือนเดิม ฯลฯ ในช่วงวันศุกร์ (5 มี.ค.) ที่ผ่านมา แต่ถึงกระนั้น... “ทหารพม่า” ก็ยังคงพร้อมแสดงออกถึงความ “เหี้ย...ย์ย์ย์มม์ม์ม์” แบบชนิด “ม.ม้า”แทบวิ่งไล่ไม่ทันอีกเหมือนเดิม และถ้าคิดจะไปคว้าปืนผาหน้าไม้ ขอยืมอาวุธจากบรรดา “ชนชาติส่วนน้อย” 10 กว่ากลุ่มที่ออกมาประกาศสนับสนุนการประท้วงคราวนี้ ก็เท่ากับไม่ต่างอะไรไปจากการเปิดฉาก “สงครามกลางเมือง” หรืออาจถึงขั้น “สงครามล้างเผ่าพันธุ์”ขึ้นมาในพม่าเอาเลยก็ไม่แน่!!!
ส่วนถ้าเลยๆ ไปแถวๆ “ตะวันออกกลาง”ยิ่งน่าปวดหัวเข้าไปใหญ่...จะด้วยเหตุเพราะ “การเลือกตั้งทั่วไป” ในอิสราเอล ที่แม้เลือกแล้ว เลือกเล่า แต่ยังคงต้องเลือกกันใหม่เป็นครั้งที่ 4 เข้าไปแล้ว อันเนื่องมาจากยังไม่อาจหา “รัฐบาล”ที่ยืนยง มั่นคง ถาวร ได้แบบจริงๆ จังๆ หรือจะด้วยเหตุผลกลใด ก็แล้วแต่จะว่ากันไป ที่ทำให้บรรดานักการเมืองในอิสราเอลช่วงนี้ ออกจะแสดงอากัปกิริยาแบบหนักหน่วงรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการต่อต้าน เล่นงาน ประเทศ “ศัตรูคู่กัดตลอดกาล”อย่างอิหร่าน เช่น เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมา (5 มี.ค.) รัฐมนตรีกลาโหม หรือนายกรัฐมนตรีทางเลือก รวมทั้ง “คู่แข่ง”ทางการเมืองรายสำคัญของนายกรัฐมนตรี “เบนจามิน เนทันยาฮู”อย่างนายพล “เบนนี แกนตซ์”ต้องออกมาป่าวประกาศกับโทรทัศน์ฟอกซ์ นิวส์ อย่างเป็นทางการ ว่ากองทัพอิสราเอลได้ “กำหนดเป้าหมาย”ที่จะโจมตีโรงงานปฏิกรณ์นิวเคลียร์ของอิหร่านเอาไว้ในมือเรียบร้อยแล้ว โดยถ้าหากการ “กลับไปตั้งโต๊ะเจรจา-ไม่ตั้งโต๊ะเจรจา”ระหว่างรัฐบาลใหม่ของอเมริกากับอิหร่าน หรือกับประเทศยุโรปตะวันตกก็แล้วแต่ ไม่อาจยับยั้ง หยุดยั้ง ความคืบหน้าการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่านได้แบบจริงๆ จังๆ โอกาสที่อิสราเอล ซึ่งได้รวบรวม “พันธมิตรทางทหาร”ในตะวันออกกลาง ไม่ว่าซาอุดีอาระเบีย บาห์เรน ยูเออี ฯลฯ เอาไว้เรียบร้อยแล้ว อาจต้องเปิดฉาก “จุดไฟนรกสุดขอบฟ้า”ด้วยการโจมตีอิหร่านขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้...
หรือแม้แต่ในแถบเอเชียบ้านเรา...ที่มหาอำนาจระดับโลกอย่างคุณพี่จีน กำลังเปิดฉากการประชุมร่วม 2 สภา คือสภาฯ “NPC” (National People’s Congress) และสภาฯ “CPPCC” (Chinese People’s Politic Consultation Congress) ขึ้นเป็นครั้งที่ 4 อันถือเป็นการประชุมที่ออกจะมีความสำคัญเอามากๆ เพราะผลแห่งการประชุมสามารถเป็นตัวสะท้อนให้เห็นถึงแนวทาง ทิศทางของมหาอำนาจรายใหม่รายนี้ต่อโลกทั้งโลกภายในไม่เกิน 5 ปีข้างหน้า ได้อย่างแจ่มแจ้ง ชัดเจน แต่ก็นั่นแหละ...ด้วยเหตุที่ประเด็นและหัวข้อถกเถียง อภิปรายในเวทีการประชุมเหล่านี้ ได้รวบรวมเอา “ปัญหา” ที่แทบหาข้อสรุป ข้อยุติ แทบไม่ได้ อย่างเช่นปัญหา “ไต้หวัน”เข้าไปผนวกรวมเอาไว้ด้วย ภายใต้บรรยากาศที่ทุกสิ่งทุกอย่างใกล้จะเข้าสู่การ “จุดระเบิด” เต็มที คือภายใต้บรรยากาศที่นับวันไต้หวันก็ยังเพียรพยายามที่จะดิ้นรน “ประกาศเอกราช”อย่างกระเหี้ยนกระหือรือเอามาก และภายใต้บรรยากาศที่พญามังกรจีน ก็พร้อมแล้วที่จะ “กระทืบ”เกาะเล็กๆ แห่งนี้ให้จมธรณี หรือชนิดที่คุณพ่ออเมริกาไม่อาจเข้ามาให้ความช่วยเหลือได้แบบทันท่วงที...
ภายใต้บรรยากาศเช่นนี้นี่เอง...ที่ถึงกับทำให้คอลัมนิสต์และนักข่าวอาวุโสแห่งสำนักข่าว “Sputnik” “BBC” “Daily mail”ฯลฯ และอะไรต่อมิอะไรอีกเยอะแยะ อย่าง “นายChris Summers”ถึงกับต้องหยิบไปตั้งคำถามเอาไว้ในข้อเขียน บทความ ชิ้นล่าสุด ระหว่างการประชุม 2 สภาฯ ของจีนคราวนี้ประมาณว่า “Could an Archduke Franz Ferdinand Moment Trigger World War Between US and China Over”หรือต้องตั้งคำถามว่าเหตุการณ์กรณีแบบเดียวกับการลอบสังหาร ดยุค “ฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์”โดยขบวนการ “มือดำ”ของชาวเซอร์เบียเมื่อครั้งอดีตที่ผ่านมา อันกลายเป็นตัวจุดชนวน “สงครามโลกครั้งที่ 1”ให้อุบัติขึ้นมาบนโลกใบนี้ กำลังจะเกิดแบบซ้ำๆ ซากๆ ขึ้นมาอีกหรือไม่??? จริง-ไม่จริง น่าเชื่อ-ไม่น่าเชื่อ คงต้องลองไปหาอ่านเอาเองก็แล้วกัน แต่เอาเป็นว่า...โดย “น้ำเสียง”หรือโดย “ความรู้สึก”อาจไม่ต่างอะไรไปจากอาเฮีย คุณพี่ “สนธิ ลิ้มฯ”ของเราอยู่บ้างเหมือนกัน ที่ออกจะ “เสียวๆ”ต่อฉากสถานการณ์ความเป็นไปของการปะทะขัดแย้ง ในภูมิภาคแถบนี้ ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...
คือพูดง่ายๆ...การปะทะ ขัดแย้ง ภายในโลกใบนี้ นับวันมันค่อนข้าง “ตกผลึก”จนแทบไม่ต้องเสียเวลาวิเคราะห์ สังเคราะห์ใดๆ อีกต่อไปแล้ว เพียงแค่รอเวลาว่ามันจะ “ปะ-ฉะ-ดะ”จะปะทะ จะสาดบ้องข้าวหลามยักษ์ใส่กันในตอนไหนและเมื่อไหร่เท่านั้นเอง โดยเฉพาะระหว่างฝ่ายที่พยายามเดินหน้าให้โลกทั้งโลก ยังคงต้องอยู่ภายใต้ “โลกแบบขั้วอำนาจเดียว”หรือโลกภายใต้ความเป็นมหาอำนาจสูงสุดของอเมริกาให้จงได้ กับฝ่ายที่พยายามดิ้นรนชนิดโผงๆ ผางๆ เพื่อที่จะให้โลกทั้งโลกถูกปรับเปลี่ยนไปจากเดิม กลายเป็น “โลกแบบหลายขั้วอำนาจ”อันมีคุณพี่จีนและรัสเซีย เป็นเสาหลัก แกนหลัก หรือเป็น “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์”แบบที่ศาสตราจารย์ “Glen Disen” แห่งมหาวิทยาลัย “South-Eastern Norway”ได้ร่ายเรียงเอาไว้เป็นบทความชิ้นล่าสุดนั่นแหละว่า... “Russia & China’s partnership not only about containing America aggression, also vital for creation of multi-polar world order”หรือความร่วมมือระหว่างมหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีนกับรัสเซียนั้น ไม่ใช่แค่คิดถ่วงรั้ง เหนี่ยวรั้ง ความก้าวร้าวของอเมริกาไว้แต่เพียงเท่านั้น แต่ยังพร้อมที่จะเสกสรรค์ รังสรรค์ ระเบียบโลกแบบใหม่ หรือแบบ “หลายขั้วอำนาจ”ขึ้นมาในอีกไม่ใกล้-ไม่ไกล...
ด้วยเหตุนี้...บรรดาความขัดแย้งทั้งหลาย ทั้งมวล ในแนวรบต่างๆ ไม่ว่าจะในตะวันออกกลาง ยุโรปตะวันตก-ตะวันออก เอเชียตะวันออก-เอเชียใต้ ตะวันออกเฉียงใต้ ไปจนถึงแอฟริกา ละตินอเมริกา โน่นเลย มันจึงกลายเป็นความขัดแย้งที่กำลังได้รับการบ่มเพาะกันทีละเล็ก ทีละน้อย ให้ค่อยๆ สุกคาต้น หรือให้ค่อยๆ ร่วงลงมา กลายเป็น “สงครามระดับโลก”ในวันใด วันหนึ่ง กันจนได้ โอกาสที่จะ “แก้ปัญหา” ใดๆ ก็ตาม โดยยังมิอาจชี้ขาด มิอาจวัดตัดสิน ว่าใครจะได้ประโยชน์-เสียประโยชน์ จากสถานการณ์ความขัดแย้งในแต่ละแห่ง แต่ละที่ จึงไม่อาจหาข้อสรุป ข้อยุติกันได้ง่ายๆ บรรดาความน่าปวดเศียรเวียนเกล้าทั้งหลาย ทั้งปวง จึงมีแต่ต้องรอคอย รอเวลา ว่าเมื่อไหร่ “กระสุนนัดแรก”จะระเบิดขึ้นมาจากปากกระบอกปืนของฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายใด นั่นแล...