ผู้จัดการรายวัน 360 - ตลาดหุ้นไทยพุ่งแรงรับตลาดหุ้นทั่วโลก จากความคาดหวังการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ หลังจากสถานการณ์โรคโควิด-19 เริ่มผ่อนคลาย บวกกับลุ้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยบวกกว่า 40 จุด ปิดที่ 1,543.40 จุด วอลุ่มทะลักแสนล้าน
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (3 มี.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่การซื้อขายในภาคเช้า และมีแรงซื้อขายเข้าหนาแน่นในช่วงบ่ายส่งผลให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างแรง สอดคล้องกับตลาดหุ้นทั่วโลก โดยดัชนีตลาดหุ้นมีจุดต่ำสุดที่ 1,510.07 จุด แตะระดับสูงสุดที่ 1,543.48 จุด ก่อนจะปรับตัวลดลงเล็กน้อยปิดที่ 1,543.40 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 40.04 จุด หรือคิดเป็น 2.66% มูลค่าการซื้อขายหนาแน่นกว่า 118,270.83 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 2,936.52 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันในประเทศ ซื้อสุทธิ 3,129.37 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ซื้อสุทธิ 2,998.20 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยในประเทศ ขายสุทธิ 9,064.10 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรกได้แก่ บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) ราคาปิด 64.50 บาท เพิ่มขึ้น 4.25 บาท หรือ 7.08% มูลค่าการซื้อขาย 11,623.23 ล้นบาท บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) ปิดที่ 68.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.75 บาท หรือ 4.21% มูลค่า 5,567.79 ล้านบาท และบมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี (STA) ปิดที่ 47.75 บาท ลดลง 0.25 บาท หรือ 0.52% มูลค่า 4,785.45 ล้านบาท
ขณะที่ตลาดหุ้นในภูมิภาคต่างปรับตัวขึ้นกันถ้วนหน้า อาทิ ตลาดหุ้นโตเกียว ดัชนีนิกเกอิปิดที่ 29,559.10 จุด เพิ่มขึ้น 150.93 จุด หรือ 0.51% ตลาดหุ้นฮ่องกง ดัชนีฮั่งเส็ง ปิดที่ 29,880.42 จุด เพิ่มขึ้น 784.56 จุด หรือ 2.70% ตลาดหุ้นจีน ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต ปิดที่ 3,576.90 จุด เพิ่มขึ้น 68.31 จุด หรือ 1.95% และตลาดหุ้นเกาหลี ดัชนีคอมโพสิต (KOSPI) ปิดที่ 3,082.99 จุด เพิ่มขึ้น 39.12 จุด หรือ 1.29%
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ประเมินว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นได้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่ต่างเพิ่มขึ้นกันทั่วหน้า รวมถึงตลาดหุ้นยุโรปด้วย โดยได้รับปัจจัยบวกความคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่น่าจะเข้าสภาสูงพิจารณาได้ในเร็วๆ นี้ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) สหรัฐฯ พักตัวบ้างหลังจากที่เร่งขึ้นก่อนหน้านี้ ดัชนีฯจึงขึ้นมาตอบรับ รวมถึงการประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 มีแนวโน้มที่ดีขึ้น หลังจากหลายประเทศเริ่มมีการฉีดวัคซีน ซึ่งรวมถึงประเทศ ส่งผลกระทบทำให้เศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นตามไปด้วย
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการลงทุนในวันนี้ (4 มี.ค.) นักลงทุนควรระวังแรงขายทำกำไร หลังจากที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นค่อนข้างแร รวมถึงต้องจับตาดู Bond yield ที่มีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นได้อยู่ ทำให้ตลาดพันธบัตรมีโอกาสผันผวน และกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นได้ โดยให้แนวรับไว้ที่ 1,530 จุด และแนวต้านที่ 1,550 จุด
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (3 มี.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่การซื้อขายในภาคเช้า และมีแรงซื้อขายเข้าหนาแน่นในช่วงบ่ายส่งผลให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างแรง สอดคล้องกับตลาดหุ้นทั่วโลก โดยดัชนีตลาดหุ้นมีจุดต่ำสุดที่ 1,510.07 จุด แตะระดับสูงสุดที่ 1,543.48 จุด ก่อนจะปรับตัวลดลงเล็กน้อยปิดที่ 1,543.40 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 40.04 จุด หรือคิดเป็น 2.66% มูลค่าการซื้อขายหนาแน่นกว่า 118,270.83 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 2,936.52 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันในประเทศ ซื้อสุทธิ 3,129.37 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ซื้อสุทธิ 2,998.20 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยในประเทศ ขายสุทธิ 9,064.10 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรกได้แก่ บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) ราคาปิด 64.50 บาท เพิ่มขึ้น 4.25 บาท หรือ 7.08% มูลค่าการซื้อขาย 11,623.23 ล้นบาท บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) ปิดที่ 68.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.75 บาท หรือ 4.21% มูลค่า 5,567.79 ล้านบาท และบมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี (STA) ปิดที่ 47.75 บาท ลดลง 0.25 บาท หรือ 0.52% มูลค่า 4,785.45 ล้านบาท
ขณะที่ตลาดหุ้นในภูมิภาคต่างปรับตัวขึ้นกันถ้วนหน้า อาทิ ตลาดหุ้นโตเกียว ดัชนีนิกเกอิปิดที่ 29,559.10 จุด เพิ่มขึ้น 150.93 จุด หรือ 0.51% ตลาดหุ้นฮ่องกง ดัชนีฮั่งเส็ง ปิดที่ 29,880.42 จุด เพิ่มขึ้น 784.56 จุด หรือ 2.70% ตลาดหุ้นจีน ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต ปิดที่ 3,576.90 จุด เพิ่มขึ้น 68.31 จุด หรือ 1.95% และตลาดหุ้นเกาหลี ดัชนีคอมโพสิต (KOSPI) ปิดที่ 3,082.99 จุด เพิ่มขึ้น 39.12 จุด หรือ 1.29%
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ประเมินว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นได้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่ต่างเพิ่มขึ้นกันทั่วหน้า รวมถึงตลาดหุ้นยุโรปด้วย โดยได้รับปัจจัยบวกความคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่น่าจะเข้าสภาสูงพิจารณาได้ในเร็วๆ นี้ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) สหรัฐฯ พักตัวบ้างหลังจากที่เร่งขึ้นก่อนหน้านี้ ดัชนีฯจึงขึ้นมาตอบรับ รวมถึงการประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 มีแนวโน้มที่ดีขึ้น หลังจากหลายประเทศเริ่มมีการฉีดวัคซีน ซึ่งรวมถึงประเทศ ส่งผลกระทบทำให้เศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นตามไปด้วย
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการลงทุนในวันนี้ (4 มี.ค.) นักลงทุนควรระวังแรงขายทำกำไร หลังจากที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นค่อนข้างแร รวมถึงต้องจับตาดู Bond yield ที่มีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นได้อยู่ ทำให้ตลาดพันธบัตรมีโอกาสผันผวน และกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นได้ โดยให้แนวรับไว้ที่ 1,530 จุด และแนวต้านที่ 1,550 จุด