วิกฤตการณ์การเมืองในพม่าคงมาถึงจุดที่ว่ารัฐบาลเผด็จการทหารคงจะไม่ยอมคายอำนาจที่ได้จากการรัฐประหารง่ายๆ ตามเสียงเรียกร้องของประชาคมโลก เมื่อความกระหายอำนาจอยู่ในขั้นที่ผู้นำรัฐบาลทหารสั่งฆ่าประชาชนเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง
ในเหตุการณ์ที่น่าเศร้าปรากฏว่าสิงคโปร์ซึ่งเป็นประเทศเล็กที่สุดในอาเซียนมีเสียงดังที่สุดในการประณามรัฐบาลทหารพม่าในการสั่งฆ่าประชาชน ต่างจากประเทศขนาดใหญ่กว่าซึ่งยังไม่แสดงทีท่าชัดเจนต่อความโหดเหี้ยมที่ตำรวจและทหารทำกับประชาชน
นายกรัฐมนตรี ลี เซียนลุง ของสิงคโปร์ได้แสดงความรู้สึกว่าสถานการณ์ในพม่าเป็นโศกนาฏกรรมที่ประชาคมโลกควรจะใส่ใจเพราะความโหดร้ายของผู้นำเผด็จการ
แม้จะมีเสียงประณามจากประชาคมโลกและการคว่ำบาตรโดยประเทศตะวันตกนำโดยสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ประชาคมยุโรปรวมทั้งประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคนี้หัวหน้าคณะรัฐประหารก็ยังไม่ใส่ใจ หรือมีปฏิกิริยาตอบสนอง
การที่นายกฯ สิงคโปร์ส่งเสียงดังกว่าสมาชิกอาเซียนอื่นๆ เพราะสิงคโปร์มีการลงทุนเป็นอันดับ 1 ในพม่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ดังนั้นจึงถือว่าถ้าสถานการณ์ยังยืดเยื้อต่อไปผลประโยชน์ของนักลงทุนจากสิงคโปร์ก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย
การคว่ำบาตรรัฐบาลทหารพม่ายังไม่ส่งผลกระทบอะไรนอกจากมีคำเตือนว่าประชาชนเท่านั้นที่จะลำบากเพราะมาตรการเข้มงวดจากการคว่ำบาตรซึ่งเป็นสภาวะที่เลี่ยงไม่ได้เพราะไม่มีมาตรการอื่นใดที่จะบีบบังคับให้ผู้นำทหารพม่ายอมคืนอำนาจ
กลุ่มรัฐมนตรีต่างประเทศของอาเซียนได้ประชุมกันแต่ก็ยังไม่มีมาตรการเด็ดขาดนอกเหนือจากเสียงเรียกร้องให้ทุกฝ่ายแสวงหาการเจรจา และหาทางออกเพื่อหยุดยั้งสถานการณ์นองเลือด เพราะจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในภูมิภาค
ประเทศไทยจะเผชิญกับการทะลักเข้ามาของประชาชนที่หนีภัย ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และยังมีผลเสียหายจากการระบาดของโคโรนาไวรัสอีกด้วย
นับตั้งแต่การรัฐประหารวันที่ 1 กุมภาพันธ์กองทัพพม่าได้สังหารประชาชนไปอย่างน้อย 21 ราย จับกุมคุมขังประชาชนรวมทั้งกลุ่มผู้ที่ถูกมองว่าเป็นการนำไปเกือบ 1,000 คน โดยไม่สนใจต่อเสียงเรียกร้องจากประชาคมโลกให้ปล่อยตัว
ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โจ ไบเดน ประกาศมาตรการคว่ำบาตรผู้นำทหารพม่ารวมทั้งอายัดเงินและทรัพย์สินของรัฐบาลในสหรัฐฯ เป็นจำนวนเงิน 1,000 ล้านดอลลาร์ซึ่งถือว่าไม่มากนัก แต่ประเทศอื่นก็ทำอย่างเดียวกัน
เดิมพันสำหรับผู้นำคณะทหารพม่าจึงไม่ใช่เพียงแค่ทรัพย์สินที่ฝากไว้ต่างประเทศแต่เป็นอำนาจที่สามารถควบคุมประเทศและกำหนดทิศทางอย่างไรก็ได้ รวมทั้งการจัดการทรัพยากรอันมีค่าทั้งหลายมากกว่า
การคืนอำนาจให้นักการเมืองคงเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยากนอกจากจะมีข้อสัญญาว่าจะไม่มีการเอาคืน หรือเอาโทษต่อคณะรัฐบาลทหารซึ่งก็ถือว่าเป็นการฝืนความต้องการของประชาชน
เสียงเรียกร้องของผู้นำสิงคโปร์และประชาคมโลกให้ปลดปล่อยตัวอองซาน ซูจี และผู้ที่ถูกจับกุมคุมขังยังคงไม่ได้รับการเหลียวแลจากผู้นำรัฐประหาร แต่กลับเร่งมือใช้มาตรการโหดเพื่อกำราบให้ประชาชนหยุดการชุมนุมประท้วงให้ได้
แต่ประชาชนยังคงจับกลุ่มชุมนุมกันแทบทั่วประเทศ ทั้งเมืองขนาดใหญ่และขนาดเล็กโดยไม่หวั่นต่อการปราบปรามโดยใช้ความรุนแรง ซึ่งระยะหลังนี้ตำรวจและทหารไม่ได้ใช้รถฉีดน้ำ ยิงแก๊สน้ำตา หรือกระสุนยางแต่ใช้กระสุนจริง หวังสร้างความหวาดกลัว
อาจจะมีสัญญาณดีเมื่อรัฐบาลจีนไม่ได้แสดงท่าทีสนับสนุนผู้นำกองทัพพม่า และยังเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวผู้ถูกคุมขังเพราะผู้นำจีนตระหนักดีว่า ถ้าสร้างความรู้สึกอันเป็นปฏิปักษ์ในกลุ่มประชาชนพม่าการลงทุนและผลประโยชน์ต่างๆ ในอนาคต
ความรุนแรงที่กองทัพพม่ากระทำต่อประชาชนทำให้สหประชาชาติกำหนดการประชุมรอบใหม่สำหรับคณะมนตรีความมั่นคงในเร็ววัน เพื่อหามาตรการที่ได้ผลในการหยุดยั้งการนองเลือดเพราะนับวันผ่านไปจะมีคนบาดเจ็บล้มตายมากขึ้น
นอกเหนือการประณามความรุนแรงที่กองทัพพม่ากระทำต่อประชาชน องค์การสหประชาชาติและประชาคมโลกคงจะหาทางกดดันเพื่อให้เกิดผลด้านดีโดยเร็วที่สุด หรืออาจจะเรียกร้องให้จีนมีท่าทีชัดเจนกว่าที่เป็นอยู่
จากสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเห็นได้ชัดว่ากองทัพพม่าถูกโดดเดี่ยวโดยไม่มีกลุ่มที่เข้าข้างหรือเห็นใจเพราะประชาชนทั่วประเทศไม่ยอมรับ
สถานการณ์อาจเลวร้ายถ้าชนกลุ่มน้อยซึ่งมีกองกำลังติดอาวุธตัดสินใจประกาศอิสรภาพขอแบ่งแยกตัวเองไม่ยอมรับการอยู่ร่วมกับสหภาพพม่าอีกต่อไป ซึ่งจะทำให้ประเทศแตกแยกเป็นเสี่ยงเหมือนดังเช่นยูโกสลาเวีย
นั่นหมายความว่าพม่าอาจจะถูกแบ่งแยกเป็นมากกว่า 10 รัฐโดยมีรัฐขนาดใหญ่เช่นรัฐฉานและกะฉิ่น ซึ่งอาจทำให้เกิดการสู้รบจากสงครามกลางเมือง และจะนำไปสู่โศกนาฏกรรมมากกว่าการประเมินหรือคำรำพันของผู้นำสิงคโปร์
เมื่อถึงวันนั้นมีแต่กองทัพพม่าเท่านั้นที่จะต้องรับผิดชอบผลเสียหายต่อประเทศ และทำให้คนในสหภาพพม่าต้องสูญเสียมากมายเพราะการรัฐประหาร และความทะเยอทะยานในอำนาจของผู้นำกองทัพพม่า
วันนั้น คงจะเป็นการยากที่จะตัดสินว่าใครเป็นผู้ชนะ