วันนี้...คงต้องแวบไปแถวๆ บ้านใกล้-เรือนเคียง ไปดูความเคลื่อนไหวของ “ม็อบเคาะหม้อ” หรือม็อบของบรรดาชาวพม่า หรือเมียนมาทั้งหลาย ที่ลุกฮือขึ้นมาต่อต้านเผด็จการทหาร ซึ่งฉวยโอกาสกระทำรัฐประหาร นับเป็นวันที่ 8 ที่ 9 เข้าไปแล้ว อย่างน้อย...ก็อาจนำมาเปรียบเทียบ เทียบเคียงกับ “ม็อบตีหม้อ” ของบ้านเรา ที่ฉวยจังหวะ “โหนพม่า” ต่อต้านรัฐบาล “บิ๊กตู่” ที่เคยก่อรัฐประหารมาตั้งแต่เมื่อ 6 ปี 7 ปีที่แล้ว ก่อนแปรสภาพมาเป็น “นักการเมือง” จนแทบไม่เหลือเชื้อ ไม่เหลือเงื่อนไข ให้ลุกฮือ ให้ต่อต้านใดๆ ได้อย่างสมน้ำ สมเนื้อ อีกต่อไป...
แต่ก็นั่นแหละ...ในเมื่อพม่าเขาเริ่ม “เคาะหม้อ” กันชนิดสนั่นหวั่นไหว การหันมา “ตีหม้อ” ของพวกเด็กๆ ในบ้านเรา เลยชักออกไปทาง “แดง-ไม่แดง...แต่ขอให้แรงเข้าว่า” อย่างน่าอ่อนเพลียละเหี่ยใจยิ่งเข้าไปทุกที พยายาม “ยกระดับความรุนแรง” จนส่งผลให้เกิดการขว้างก้อนอิฐ ก้อนหิน ระเบิดปิงปอง ประทัดยักษ์ ฯลฯ ใส่บรรดาเจ้าหน้าที่ผู้รักษาความสงบเรียบร้อย จนนำไปสู่การลงมือ ลงตีน ชนิดแทบหาข้อสรุปไม่ได้ ว่าใครเหี้ยมกว่า โหดกว่า หรือถ่อยกว่า!!! อันนี้นี่แหละ...ที่ออกจะเป็นอะไรที่ผิดแผกแตกต่างไปจาก “ม็อบเคาะหม้อ” ของพม่า แบบชนิดแทบคนละเรื่อง คนละม้วน...
คือถ้าดูจากข้อเขียน บทความ ของ “นายโจชัว แคโรล” (Joshua Carroll) ผู้สื่อข่าวฟรีแลนซ์ ที่ประจำอยู่ในกรุงย่างกุ้ง ประเทศพม่า และเผยแพร่อยู่ในสำนักข่าว “Aljazeera” เมื่อวัน-สองวันนี้ แม้จะเป็นผู้สื่อข่าวตะวันตก หรือพวก “บ้าสิทธิมนุษยชน” เพียงใดก็ตามที แต่ในเนื้อหารายงานเรื่อง “How Myanmar’s popular uprising aims to topple military rulers.” ก็ออกจะให้ “ภาพ” ของการประท้วง การเคลื่อนไหวมวลชน ของ “ม็อบเคาะหม้อ” ในพม่า ที่ต่างไปจาก “ม็อบตีหม้อ” ในบ้านเราแบบชนิด “หน้ามือ” กับ “หลังตีน” เอาเลยก็ว่าได้...
คือในขณะที่บ้านเรานั้น...บรรดา “ม็อบตีหม้อ” ทั้งหลาย ดูจะพยายามยกระดับความรุนแรง ความถ่อย ความเหี้ยม ในลักษณะ “แดง-ไม่แดง...แต่ขอให้แรงเข้าว่า” จนแทบเหลือแต่บรรดา “เด็กแว๊นซ์” เป็นส่วนใหญ่ ที่พยายามสร้างความเปรี้ยวมือ เปรี้ยวตีน ให้กับบรรดาเจ้าหน้าที่ผู้รักษาความสงบเรียบร้อย ในแบบวันต่อวัน ชั่วโมงต่อชั่วโมง นาทีต่อนาที แต่สำหรับ “ม็อบเคาะหม้อ” ของพม่าแล้ว ยิ่งนานวัน...คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่า บรรดา “ผู้เข้าร่วมประท้วง” เพื่อต่อต้านเผด็จการทหารพม่า นับวันจะยิ่ง “ขยายตัว” หรือเกิดบรรดา “แนวร่วม” กว้างขวาง ใหญ่โตยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เผลอๆ...อาจมากซะยิ่งกว่ายุคของการต่อต้านเผด็จการทหารเมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว หรือยุค “8-8-88” ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า ไม่ว่าจะเป็นคนงานรถไฟ ที่ได้ประกาศหยุดเดินรถหรือหยุดประกอบกิจการ เพื่อเข้าร่วมการประท้วง โรงพยาบาลหลายต่อหลายแห่งปิดทำการ แพทย์และพยาบาล ออกมาประท้วงอย่างเปิดเผย ตามด้วยครู นักกฎหมาย วิศวกร ชาวนา คนงานในโรงงานสำคัญๆ ไปจนแม้แต่เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลความสงบเรียบร้อย อย่าง “ตำรวจ” ก็เริ่มเอากะเค้าด้วย เผลอๆ อาจมี “ทหาร” แทรกเป็นยาดำ อีกเป็นจำนวนไม่น้อย...
ในรายงานของ “นายโจชัว” นั้น...ระบุไว้ชัด ว่าคนงานเหมืองทองแดงในภาคเหนือของ “Sagaing Region” ที่อยู่ภายใต้การดูแลของบริษัทวิสาหกิจทหาร หรือบริษัทร่วมลงทุนกับจีนจำนวนไม่น้อยกว่า 2,000 คน ที่พร้อมใจผละงานเพื่อเข้าร่วมประท้วงกับ “ม็อบเคาะหม้อ” จนกว่าเผด็จการจะหมดสภาพลงไปเมื่อไหร่ ตอนไหนก็แล้วแต่ และอีก 5,000 คนในเขตอุตสาหกรรม “Hlaing Tharyar” ในกรุงย่างกุ้ง ก็พร้อมจะเป็นแนวหน้า กล้าตาย ให้กับการประท้วง วิศวกรบริษัท “Mytel Telecoms” หรือบริษัทสื่อสารที่อยู่ภายใต้การดูแลของทหาร ก็เอากะเค้าด้วย รวมไปถึงลูกจ้าง เจ้าหน้าที่พนักงาน ในบริษัท “Myanmar Economic Holdings Ltd.” หรือบริษัทแม่ ภายใต้การดูแลของ “มิน อ่อง หล่าย” โดยเฉพาะ ก็ผละงาน ทิ้งงาน เข้าร่วมกับม็อบอย่างไม่คิดจะลังเลเอาเลยแม้แต่น้อย ส่งผลให้บรรดา “นักลงทุน” ที่เคยร่วมทุนกับวิสาหกิจทหารของพม่าหลายต่อหลายราย เช่น นักลงทุนสิงคโปร์ อย่าง “นายLim Kaling” ได้ประกาศถอนทุนไปเรียบร้อยแล้ว เช่นเดียวกับบริษัทเบียร์ “Kirin” ของญี่ปุ่น ที่ตัดสินใจไม่เอาด้วยกับทหารพม่า แบบชนิดถึงไหนก็ถึงกัน...
อีกทั้งยังรวมไปถึงบรรดาเจ้าหน้าที่พนักงาน คนงาน ของหน่วยงานสำคัญๆ เช่นกระทรวงลงทุน, ขนส่ง, พลังงาน, สวัสดิการสังคม ที่พร้อมใจกันผละงาน ทิ้งงาน ไม่ต่างไปจากแพทย์ พยาบาล และอาสาสมัครที่เคยร่วมสู้กับเชื้อโควิดมาโดยตลอด ไปจนถึงพนักงานธนาคารของ “Myanmar Economic Bank” ที่เป็นผู้จ่ายเงินเดือนให้กับข้าราชการพม่าในแต่ละราย ก็ผละงานเลิกงานซะยังงั้น เล่นเอา “เผด็จการตัวพ่อ” อย่าง “พล.อ.มิน อ่อง หล่าย” ชักเริ่ม “ออกอาการ” ขึ้นมามั่งแล้ว!!! หรือต้องเริ่มออกมาป่าวประกาศว่าบรรดาผู้ที่ผละงาน ทิ้งงานทั้งหลาย คือพวกที่ “ไม่มีธรรมะ” จนต้องพยายามกู่ร้อง ปองรัก ขอให้กลับมาทำหน้าที่โดยเร็ว “เพื่อผลประโยชน์แห่งชาติและประชาชน” อันมักถือเป็นคำสร้อยต่อท้าย ที่ไม่ว่าทหารหรือพลเรือนก็แล้วแต่ มักชอบนำมา “อ้าง” เอาไว้ด้วยกันทั้งสิ้น...
แต่ที่น่าสนใจและน่าคิดสะกิดใจมิใช่น้อย...ก็คือการกล่าวอ้างว่าอย่างน้อยก็มีเจ้าหน้าที่ผู้รักษาความสงบเรียบร้อย อย่าง “ตำรวจ” เริ่มเอาด้วยกับบรรดาผู้ประท้วง อย่างเป็นระบบและเป็นกิจการขึ้นมามั่งแล้ว ไม่ว่าตำรวจในสถานีตำรวจ Myeik, Magwe ที่กลับพยายามปกป้องผู้ประท้วงที่ถูกฉีดน้ำใส่ ตำรวจในเครื่องแบบอีกถึง 49 รายจากสถานี Loikaw ที่ถอดเครื่องแบบหันมาร่วมประท้วงเอาดื้อๆ หรือตำรวจอย่างร้อยโท “Khun Aung Ko Ko” แห่งสถานีตำรวจเนปิดอว์ ที่ประกาศเข้าร่วมการประท้วงโดยเปิดเผย ไปจนถึงเอกอัครราชทูตพม่า ประจำกรุงวอชิงตัน “นายMaung Mang Latt” ที่ประกาศขอเป็นผู้ลี้ภัยในอเมริกา จนกว่าเผด็จการทหารพม่าหมดสภาพลงไป หรือจนกว่ารัฐบาลพลเรือนของ “อองซาน ซูจี” จะกลับมาทำหน้าที่ใหม่...
การประท้วงที่เต็มไปด้วย “แนวร่วม” หรือสามารถ “ขยายจำนวน-ปริมาณผู้เห็นด้วย” ได้อย่างกว้างขวาง ใหญ่โตยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เช่นนี้นี่เอง ที่ทำให้บรรดา “ม็อบเคาะหม้อ” ของพม่า เกิดความมั่นอก-มั่นใจ ว่าจะนำไปสู่ “การลดความชอบธรรมและความยอมรับต่อรัฐบาลเผด็จการทหาร” ได้ในท้ายที่สุด ทำให้ “กระบวนการบริหาร-จัดการของพวกเผด็จการ” หมดสภาพจนมิอาจดำเนินต่อไปได้อีก ไปจนถึงทำให้ “แหล่งทุนของรัฐบาลเผด็จการ” ร่อยหรอ แห้งเหี่ยว จนมิอาจดำรงอำนาจบาตรใหญ่แบบเดิมๆ ได้อีกต่อไป อันถือเป็น “ยุทธศาสตร์” ของ “ม็อบเคาะหม้อ” ภายใต้คำขวัญ “No Recognition, No Participation” ที่ค่อนข้างโดดเด่นและชัดเจน ไม่ได้ซัดๆ ส่ายๆ เอาแต่ขว้าง เอาแต่ปา อะไรต่อมิอะไร แล้วตามด้วยการแจกกล้วย การเหยียดหยามและหมิ่นประมาท แบบประเภท “ม็อบตีหม้อ” ของบ้านเรา เอาเลยแม้แต่น้อย...
ดังนั้น...อันนี้นี่แหละ ที่อาจถือเป็นความผิดแผกแตกต่างระหว่าง “ม็อบเคาะหม้อ” กับ “ม็อบตีหม้อ” หรือต่างกันในแง่ “สติ” และ “ปัญญา” อย่างเห็นได้โดยชัดเจน อันย่อมส่งผลให้จุดมุ่งหมายและจุดจบ ระหว่างม็อบ 2 ม็อบ ย่อมผิดแผกแตกต่างกันไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ โดยที่ “ม็อบเคาะหม้อ” นั้นจะชนะหรือแพ้ จะบรรลุจุดหมายปลายทางที่ตั้งเอาไว้หรือไม่ อย่างไร คงต้องติดตามกันไปเป็นระยะๆ แต่สำหรับ “ม็อบตีหม้อ” นั้น...แนวโน้มที่จะต้องเดินเข้าคุก เข้าตะราง ก่อนที่จะ “เหี่ยวปลาย” ลงไปตามสภาพ คงปฏิเสธไม่ได้ว่า...ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ...