ชาติไทยใช้ระบอบการเมืองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่เหตุการณ์จริง การเมืองไทยโดยส่วนใหญ่ เป็น “คณา-ธนา-โจราธิปไตยทุนสามานย์” (ว่ะ!)
ตลอดช่วงเวลาเกือบ 90 ปี ชาติไทยมีแต่การต่อสู้แย่งอำนาจกัน ระหว่าง “รัฐบาลเผด็จการรัฐสภา” โกงเลือกตั้งโกงชาติ กับ “รัฐบาลเผด็จการรัฐประหาร” ไม่ปฏิรูปกับโกงชาติ สลับกันบริหารชาติแบบ “สมบัติชาติผลัดกันโกง” วนไปวนมาเป็น “วงจรอุบาทว์ทางการเมือง” ซ้ำซาก
โดย “รัฐบาลเผด็จการ” ทั้งสองรูปแบบ มักโกหกว่า “พวกตนจะทำเพื่อชาติกับประชาชน” แถมยังพูดดั่งนกแก้วนกขุนทองว่า “พวกตนจะไม่โกงชาติ-ไม่โกยประโยชน์ชาติให้ตนกับพวกเด็ดขาด!”
ทว่า...เรื่องจริงกลับตรงกันข้าม! ด้วย “นักการเมือง” ในสภาฯ ทั้งสองรูปแบบ รวมทั้ง “นายกรัฐมนตรี” กับ “ครม.” มักสมคบกับ “ข้าราชการ” และ “กลุ่มทุนใหญ่” คอร์รัปชันโกงชาติมิรู้จักพอมาตลอด อีกทั้ง “นักการเมืองหลายคน” ยังดันทุรังเหิมเกริม ถึงขั้นบังอาจเคลื่อนไหวมุ่งจะ “ล้มเจ้า” อีกด้วย
จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องเติมเต็มความรู้ให้สังคมไทย ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ในเรื่องชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์-ประชาชน ที่เชื่อมโยงกันมายาวนาน ชนิดตัดตอนแยกจากกันไม่ได้เด็ดขาด นับแต่อดีตตราบปัจจุบันจรดอนาคต
โดยเฉพาะ “ผู้คน” ที่เล่าเรียนจากเมืองฝรั่ง ที่นำเอาการเมืองประชาธิปไตยแบบฝรั่งมาใช้ทั้งดุ้น ไม่แยกแยะอย่างชาญฉลาด ไม่คัดเฉพาะสิ่งดีมาปรับใช้ให้สอดคล้องกับชาติและประชาชนไทย
เพราะความเป็นจริงของแต่ละสังคมโลกนั้น ผู้คนกับสภาพแต่ละชาติย่อมแตกต่างกัน การเมืองแต่ละชาติจึงมีทั้งเหมือนกับไม่เหมือนกัน
ประชาธิปไตยแต่ละชาติ ที่มี “ประธานาธิบดี” เป็นประมุข แม้หลักการจะเหมือนกัน แต่รายละเอียดทั้ง “ผู้คน” กับสภาพแต่ละชาติ มีผลให้การเมืองสหรัฐอเมริกา-อังกฤษ-เอเชีย-ตะวันออกกลาง ฯลฯ มีส่วนที่เหมือนกับไม่เหมือนกัน ผสมปนเปกันโดยปริยาย...จริงไหม?
ส่วนประเทศประชาธิปไตยอันมี “พระมหากษัตริย์” ทรงเป็นประมุข ไม่ว่าในเอเชีย-ยุโรป-ญี่ปุ่น-สแกนดิเนเวีย-ตะวันออกกลาง ฯลฯ ก็มีลักษณะเฉพาะของแต่ละประเทศ จึงทำให้ประชาธิปไตยที่ “พระมหากษัตริย์” ทรงเป็นประมุข มีสิ่งที่เหมือนกับไม่เหมือนกันเช่นกัน
วิวัฒนาการในหลายเรื่อง จึงต้องใช้สูตร “ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม” แต่หลายเรื่องอาจเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว ส่วนเปลี่ยนแล้วจะ “ดีขึ้น” หรือ “เลวลง” เป็นเรื่องต้องใคร่ครวญไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ระวังมิให้เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงภายในชาติ จากความคิดความต้องการแบบหักดิบของ “คนส่วนน้อย” แต่ไปขัดกับความยึดมั่นและความต้องการของ “คนส่วนใหญ่”
การเปลี่ยนตามแบบประชาธิปไตยนั้น หลายครั้งรวดเร็ว และหลายคราเกิดขึ้นได้ด้วยการต่อสู้นอกสภาฯ หลายคราเกิดจากการลงมติด้วยเสียงข้างมาก ซึ่งเป็นหลักการแสวงหาข้อยุติในสภาฯ
อย่างไรก็ตาม...การปกครองแบบ “คอมมิวนิสต์” ก็มีเอกลักษณ์ที่เหมือนและแตกต่างกันในแต่ละชาติ ดังเช่นรัสเซีย-จีน-คิวบา-ประเทศในอินโดจีน ฯลฯ ซึ่ง “ผู้คน” มีวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน อีกทั้งสภาพของแต่ละชาติก็ไม่เหมือนกัน ทำให้คอมมิวนิสต์หรือสังคมนิยม ไม่เหมือนกันชนิดเต็มร้อยไปโดยปริยาย
ทว่า...วันนี้จีนที่อดีตเคยยากจนและล้าหลัง เพียงไม่กี่สิบปีได้เปลี่ยนแปลงอย่างลิบลับ ความจนลดลงอย่างมากมาย-ความเจริญวิวัฒน์เร็วมาก เศรษฐกิจจีนเติบโตแบบก้าวกระโดด จนวันนี้กลายเป็นเจ้าหนี้ใหญ่สุดของมะกัน ทั้งๆ ที่จีนมิใช่ประชาธิปไตยเลือกตั้งแบบมะกัน แต่เป็นคอมมิวนิสต์ผสมผสานแบบจีนๆ (ว่ะ!)
“นักการเมืองเลือกตั้ง” หลายคน พยายามจะเปลี่ยนชาติไทย จากราชอาณาจักร ที่มี “พระมหากษัตริย์” ทรงเป็นประมุข ให้เป็น “สาธารณรัฐ” มี “ประธานาธิบดี” เป็นประมุข
ส่วน “นักการเมืองรัฐประหาร” ก็มักอ้างจะปกป้อง “สถาบันพระมหากษัตริย์” โดยมิได้ปฏิรูปมิติต่างๆ ที่สำคัญและดีๆ ให้กับชาติ ความขัดแย้งอย่างรุนแรง จากความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงยังคงดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องเช่นเดิม
ปัญหาอันเลวร้ายทั้งหมด ส่วนใหญ่จึงเกิดจาก “นักการเมืองกับคนส่วนน้อย” ที่หวังแต่จะ “ล้มเจ้า” เพื่อหวังจะทำให้การเมืองไทย เป็นแบบฝรั่งมังค่าแบบเต็มร้อยนั่นเอง!
ขณะที่คนส่วนใหญ่ยังรักเคารพเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ร่วมกับบรรพบุรุษไทย ปกป้องแผ่นดินด้วยชีวิตและเลือดเนื้อ จนรักษาเอกราชอธิปไตยไว้ได้จนถึงทุกวันนี้...
“ใคร” ที่คิดและทำแบบ “บิ๊กเหลี่ยม-บิ๊กทอน” กับพวก หากยังไม่ลด-ละ-เลิกหรือยังไม่เข้าใจ ในประเด็นที่สำคัญยิ่งดังกล่าวข้างต้น ก็จะกลายเป็นตัวการ-เป็นต้นเหตุของปัญหาหลัก ที่ทำให้ชาติเกิดความขัดแย้ง ก่อความแตกแยกอย่างรุนแรง อันจะส่งผลร้ายให้กับชาติ จนผู้คนไร้สุขจากการไร้ศานติ
ประชาธิปไตยดี-ที่เหมาะชาติไทย ต้องยึดประโยชน์ชาติกับคนส่วนใหญ่เป็นหลัก!
ดังนั้น ชาติกับคนส่วนใหญ่ จะพบกับความสุขและศานติสุข ก็ต่อเมื่อ “นักการเมืองส่วนใหญ่” คิดดีกับทำดี ทำเพื่อชาติกับคนส่วนใหญ่เป็นสรณะ!
บทเรียน “โกงชาติ” กับ “ล้มเจ้า” ของอดีตนายกฯ “บิ๊กเหลี่ยม” ทำชื่อเสียงล่มสลายไปนานแล้ว!!
ส่วน “บิ๊กทอน” ยังคิด ยังทำ ยังหมกมุ่น จมปลัก วนเวียนอยู่แต่เรื่อง “ล้มเจ้า” เป็นหลัก
555 “ฉลาดเหลี่ยม” จึงใช้ “ฉลาดน้อยทอน” เป็น “เครื่องมือ” หนุน “ม็อบล้มเจ้า” ลุยจ๊อบ “ล้มเจ้า” ไงล่ะ...