“รมว.คลัง” การันตีฐานะการคลังแกร่ง ภูมิคุ้มกันดี-ไม่ล้มละลาย ทุนสำรองระหว่างประเทศกว่า 2-3 แสนล้านดอลฯ ชำระหนี้ระยะสั้นของประเทศไทยถึง 3 เท่า ขณะที่หนี้สาธารณะอยู่ 50% อยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลัง พร้อมโอนเงิน “เราชนะ”
วานนี้ (4 ก.พ.) นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยถึง กรณีที่มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของไทยอยู่ในระดับย่ำแย่ ฐานะการคลังมีความเปราะบางจนอาจนำไปสู่การล้มละลายทางการคลังว่า ปัจจุบันสถานะและเงินคงคลังของประเทศไทยยังอยู่ในระดับที่มั่นคง แม้หนี้สาธารณะของประเทศเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับปัจจุบันที่ 50% ของอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) แต่ยังอยู่ภายใต้กรอบความมั่นคงทางการคลัง ที่กำหนดว่าหนี้สาธารณะต้องไม่เกิน 60% ของจีดีพี
นายอาคม กล่าวต่อว่า จากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ไทยจำเป็นต้องมีวัคซีนเป็นภูมิคุ้มกัน ขณะเดียวกันในแง่เศรษฐกิจก็ต้องมีภูมิคุ้มกันหรือวัคซีทางเศรษฐกิจเช่นเดียวกัน ซึ่งมีอยู่ 3 ระดับ คือ 1.ภูมิคุ้มกันของประเทศ มีตัวชี้วัดที่สำคัญ ได้แก่ จีดีพี ที่ต้องเติบโตอย่างต่อเนื่องและมั่นคง ฐานะการเงินของประเทศที่ปัจจุบันไทยมีทุนสำรองระหว่างประเทศ อยู่ที่ 2-3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หากนำเงินก้อนนี้มาชำระหนี้ จะชำระหนี้ระยะสั้นได้ 3 เท่า เป็นเครื่องสะท้อนถึงฐานะความมั่นคงของประเทศไทยได้เป็นอย่างดี, 2. ภูมิคุ้มกันกลุ่ม คือ ภาคการผลิต ภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการและการท่องเที่ยว และ 3. ภูมิคุ้มกันระดับประชาชน และแรงงาน โดยประชาชนต้องรู้จักการออมเพื่ออนาคตของตัวเอง
ด้าน น.ส.กุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังมีความพร้อมในการโอนเงินในโครงการ “เราชนะ” ให้แก่ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ครั้งแรกในวันที่ 5 ก.พ.นี้ ซึ่งจะได้รับเงินเป็นรายสัปดาห์ทุกวันศุกร์ จนครบ 7,000 บาท โดยกลุ่มผู้ถือบัตรฯ สามารถสะสมวงเงินสิทธิ์ดังกล่าว และสามารถใช้จ่ายผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้ จนถึงวันที่ 31 พ.ค.64
วานนี้ (4 ก.พ.) นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยถึง กรณีที่มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของไทยอยู่ในระดับย่ำแย่ ฐานะการคลังมีความเปราะบางจนอาจนำไปสู่การล้มละลายทางการคลังว่า ปัจจุบันสถานะและเงินคงคลังของประเทศไทยยังอยู่ในระดับที่มั่นคง แม้หนี้สาธารณะของประเทศเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับปัจจุบันที่ 50% ของอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) แต่ยังอยู่ภายใต้กรอบความมั่นคงทางการคลัง ที่กำหนดว่าหนี้สาธารณะต้องไม่เกิน 60% ของจีดีพี
นายอาคม กล่าวต่อว่า จากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ไทยจำเป็นต้องมีวัคซีนเป็นภูมิคุ้มกัน ขณะเดียวกันในแง่เศรษฐกิจก็ต้องมีภูมิคุ้มกันหรือวัคซีทางเศรษฐกิจเช่นเดียวกัน ซึ่งมีอยู่ 3 ระดับ คือ 1.ภูมิคุ้มกันของประเทศ มีตัวชี้วัดที่สำคัญ ได้แก่ จีดีพี ที่ต้องเติบโตอย่างต่อเนื่องและมั่นคง ฐานะการเงินของประเทศที่ปัจจุบันไทยมีทุนสำรองระหว่างประเทศ อยู่ที่ 2-3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หากนำเงินก้อนนี้มาชำระหนี้ จะชำระหนี้ระยะสั้นได้ 3 เท่า เป็นเครื่องสะท้อนถึงฐานะความมั่นคงของประเทศไทยได้เป็นอย่างดี, 2. ภูมิคุ้มกันกลุ่ม คือ ภาคการผลิต ภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการและการท่องเที่ยว และ 3. ภูมิคุ้มกันระดับประชาชน และแรงงาน โดยประชาชนต้องรู้จักการออมเพื่ออนาคตของตัวเอง
ด้าน น.ส.กุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังมีความพร้อมในการโอนเงินในโครงการ “เราชนะ” ให้แก่ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ครั้งแรกในวันที่ 5 ก.พ.นี้ ซึ่งจะได้รับเงินเป็นรายสัปดาห์ทุกวันศุกร์ จนครบ 7,000 บาท โดยกลุ่มผู้ถือบัตรฯ สามารถสะสมวงเงินสิทธิ์ดังกล่าว และสามารถใช้จ่ายผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้ จนถึงวันที่ 31 พ.ค.64