เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องลองไปหยิบเอาเรื่องเงินๆ-ทองๆ กลับมาพูดจา ว่ากล่าว ไว้สักหน่อย เพราะเมื่อช่วงสัปดาห์ที่แล้วได้เกิดเรื่อง เกิดราว ที่ออกจะแปลกประหลาด มหัศจอรอหันการันยออยู่พอสมควรทีเดียว ใน “ตลาดหุ้น” ของคุณพ่ออเมริกาเขาอันเป็นตลาดเงิน-ตลาดทอง ที่ใครต่อใครเคยออกมาเตือนๆ เมื่อไม่นานมานี้เอง ไม่ว่าผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญของ “Bank of America” นักวิเคราะห์ของ “Goldman Sachs” หรือ “Deutsche Bank” ฯลฯ ว่าออกจะเป็นที่น่าหวาดเสียว หรือเต็มไปด้วย “อัตราเสี่ยง” สูงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ อาจถึงขั้น “ฟองสบู่แตก” ในอีกไม่นาน-ไม่ช้า เอาเลยก็ไม่แน่!!!
โดยแม้ว่าช่วงผ่านพ้น “พิธีสาบานตน” ของประธานาธิบดีอเมริกันรายใหม่ อย่าง “ผู้เฒ่าโจ” ส่งผลให้ตลาดหุ้นอเมริกาค่อนข้างเป็นไปแบบอุจจาระแตก-อุจจาระแตน หุ้นขึ้นกันพรวดๆ พราดๆ จะด้วยเพราะความมั่นอก มั่นใจ ต่อผู้นำรายใหม่ หรือเพราะไม่ได้เกิดเหตุการณ์ประเภทขนพองสยองขวัญ จากบรรดาผู้สนับสนุนประธานาธิบดีคนเก่า อย่าง “ทรัมป์บ้า” ที่เคยทำให้ใครต่อใครขนหัวลุก ขนหัวตั้งกันมาพอสมควร เมื่อครั้งบุกรัฐสภาอเมริกา หรือไม่ อย่างไร ก็ตามที แต่เพียงแค่ไม่กี่วันเท่านั้นเอง หรือเมื่อช่วงวันพุธ (27 ม.ค.) ที่ผ่านมา ตลาดหุ้น “Nasdaq” ถึงกับต้องตัดสินใจหยุดซื้อ-ขายหุ้นไว้ชั่วคราว อันเนื่องมาจากความมหัศจอรอหันการันยอของหุ้นตัวหนึ่ง ที่เรียกย่อๆ ว่า “GME” หรือหุ้นของบริษัท “GameStop” ที่ทำมาหารับประทานด้วยการค้าขายสินค้าประเภทวิดีโอเกมและเครื่องใช้ไฟฟ้า อันมีที่ตั้งหลักๆ อยู่ในเมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส และมีสาขาหรือร้านขายปลีกเยอะแยะ ยั้วเยี้ยอยู่ในอเมริกา ยุโรป ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ไม่ต่ำกว่า 5,509 แห่งด้วยกัน...
คือว่ากันว่า...ด้วยเหตุเพราะการทำมาหารับประทาน การประกอบกิจการ ที่ออกจะเป็นอะไรที่ใกล้ “ตกยุค” หรือพ้นยุค พ้นสมัย เข้าไปทุกที เพราะแทบไม่มีใครคิดไปซื้อเกมวิดีโอเป็นแผ่นๆ จากบรรดาร้านทำนองนี้ต่อไปอีกแล้ว สามารถหันไปโหลดเกมโน้นเกมนี้ จากคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องกันได้สบายๆ เลยทำให้ “มูลค่าหุ้น” ของ “GME” ออกอาการสาละวันเตี้ยลง...เตี้ยลงมาโดยตลอด จนเหลือแค่ประมาณ 6 ดอลลาร์ต่อหุ้นเท่านั้นเอง และส่งผลให้บริษัท “เฮดจ์ฟันด์” รายใหญ่ๆ อย่างเช่น “Melvin Capital” หรือ “Citron Research” ฯลฯ ที่เก่งในการซื้อมา-ขายไป เก่งในการ “ทำกำไร” จากตลาดหุ้น ไม่ว่าช่วงขาขึ้นหรือขาลงขาชี้ ขาถ่างใดๆ ก็แล้วแต่ ก็เลยได้โอกาสหยิบเอาหุ้นตัวนี้ มากระทำการในแบบที่พวกนักเล่นหุ้นเค้าเรียกว่า “Short Sale” ซึ่งจะมีความล้ำลึก พิสดาร หรือวิตถาร ไปในแนวไหน อันนี้...คงต้องลองไปสอบถามพวก “กูรู” ระดับของจริง-ของแท้ อย่างคุณพี่ “สุนันท์ ศรีจันทรา” อะไรทำนองนั้น น่าจะเหมาะกว่า แต่ประมาณคล้ายๆ การไปหยิบยืมเอามาเพื่อหวัง “เก็งกำไร” ไปเป็นช่วงๆ เป็นระยะๆ นั่นแหละเป็นหลัก คือถ้าระดับราคามันเป็นไปตามแนวโน้มโดยปกติของ “ตลาด” โอกาสที่จะฟันกำไรติดไม้ ติดมือ ติดปลายนวมได้บ้างเล็กๆ น้อยๆ ก็ดีกว่าอยู่เปล่าๆ เว้นแต่ถ้าหาก “ตลาด” มันดันเกิดความผิดปกติ วิตถาร พิสดารขึ้นมาเมื่อไหร่ โอกาสที่จะ “ฉิบหาย...กับ...ฉิบหาย” หรือ “เจ๊ง...กับ...เจ๊ง” ก็ใช่ว่าจะไม่มีเอาซะเลย!!!
และเผอิญว่า...ตลอดช่วงประมาณเดือนกว่าๆ ที่ผ่านมา หรือหลังผ่านพ้นการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกันไม่นานนัก หุ้นของ “GME” ในตลาด มันก็ดันพิสดาร วิตถารขึ้นมาจริงๆ ซะล่วย คือจากราคาที่เคยซื้อๆ-ขายๆ กันในระดับ 6 ดอลลาร์ต่อหุ้น พรวดเดียวเท่านั้น มันดันพุ่งแบบติดจรวดเพิ่มขึ้นเป็นหุ้นละ 180 ดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้นไปถึง 1,700 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น เฉพาะช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (25-28 ม.ค.) ถึงกับพุ่งไปถึงระดับ 347.51 ดอลลาร์ต่อหุ้น ส่งผลให้บริษัทเฮดจ์ฟันด์ยักษ์ใหญ่ ที่ไปหยิบ ไปยืม เอาหุ้นเหล่านี้มาเก็งกำไร เกิดอาการตูดขาด ตูดฉีก ชนิดหมอรายใดก็ไม่กล้ารับเย็บโดยเด็ดขาด คือก่อให้เกิดอาการ “ขาดทุน” ระดับนับพันๆ ล้านดอลลาร์ เฉพาะ “Melvin Capital” ทุนหายกำไรหดไปถึง 2.57 พันล้านดอลลาร์ ไม่ต่างไปจาก “Citron” ที่แม้ยังไม่มีตัวเลขความเสียหายออกมาชัดๆ แต่ก็พอสรุปได้ว่าขาดทุนล้วนๆ ไปไม่น้อยกว่า 100 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลกระทบต่อระบบการเงินอเมริกาแทบทั้งระบบ ให้ต้องวูบๆ ไหวๆ ตามไปด้วย ชนิดว่ากันว่า...ถือเป็น “การเขย่าระบบการเงินอเมริกาครั้งใหญ่ที่สุด นับจากที่เคยเกิดขึ้นช่วงวิกฤตการเงินปี ค.ศ.2008 เป็นต้นมา”...
นี่...น่าสยดสยองพองขนขนาดไหน ก็ลองไปนึกๆ คิดๆ เอาเองก็แล้วกัน คือไม่ใช่แค่ตลาดหุ้น “Nasdaq” ต้องปิดการซื้อ-ขายหุ้นชั่วคราวในช่วงวันพุธที่ผ่านมาเท่านั้น ขนาดวุฒิสมาชิกพรรคเดโมแครตที่เคยเสนอตัวเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีปีนี้ ควบคู่ไปกับ “ผู้เฒ่าโจ” อย่าง “นางอลิซาเบธ วอร์เรน” (Elizabeth Warren) ต้องออกมาเรียกร้อง เรียกให้หน่วยงานที่กำกับ ดูแล ตลาดหุ้น หรือ “กลต.อเมริกา” อย่าง “SEC” (The Security Exchange and Commission) ออกมาพูดกันให้ชัดๆ ให้เกิดความมั่นอก มั่นใจ ว่า“ตลาดหุ้นอเมริกา” ไม่ใช่ “บ่อนกาสิโน” โดยทั่วๆไป เพราะไม่เช่นนั้น...โอกาสที่ตลาดหุ้นไปจนถึงระบบเศรษฐกิจอเมริกา อาจต้องเละตุ้มเป๊ะ เละเทอะและเลอะเทะตามไปด้วย ย่อมมีความเป็นไปได้มิใช่น้อย...
คราวนี้...ถ้าจะถามว่า ด้วยเหตุผลกลใดราคาหุ้นของ “GME” ที่มันน่าจะ “สาละวันเตี้ยลง-เตี้ยลง” ลงไปเรื่อยๆ มันกลับระเบิดเถิดเทิงหนักซะยิ่งกว่าซดยาไวอากร้าบวกถั่งเช่าประมาณร้อย-สองร้อยกิโลเป็นอย่างน้อย คำตอบโดยส่วนใหญ่ก็ออกมาตรงกันนั่นคือ...ด้วยเหตุเพราะบรรดา “แมงเม่า” ที่ชอบเข้าไปชิทๆ-แชทๆ อยู่ในห้องๆ หนึ่งของเว็บไซต์ หรือเว็บบอร์ดที่เรียกๆ กันว่า “Reddit” คล้ายๆ กับประเภท “เว็บพันทิป” บ้านเราทำนองนั้น ที่จัดสรรปันส่วนให้ใครต่อใครแอบไปซุบซิบนินทาเรื่องที่ตัวเองสนใจในห้องแต่ละห้อง และในห้องที่เรียกว่า “Wall Street Bets” ซึ่งจัดไว้ให้กับพวกที่ชอบเล่นหุ้นทั้งหลาย ว่ากันว่ามีจำนวน “แมงเม่า” หรือจำนวนสมาชิกที่ชอบเข้ามาชิทๆ-แชทๆ ในห้องนี้ไม่น้อยกว่า 5.6 ล้านคน และด้วยการคุยกันไป-คุยกันมา แบบไหน อีท่าไหน ก็มิอาจทราบได้ ถึงทำให้เกิดการรวมตัว การร่วมมือ ร่วมไม้ของบรรดาแมงเม่าเหล่านี้ โถมเข้าไปในกองไฟของพวก “เฮดจ์ฟันด์” จนเกิดอาการดับมอด ดับสนิท นำไปสู่ความเจ๊ง...กับ...เจ๊ง ไม่รู้กี่หมื่น กี่พันล้านดอลลาร์ เอาเลยถึงขั้นนั้น...
ส่วนบรรดากลุ่มคนเหล่านี้...จะเป็นใคร มาจากไหน อยู่ฝั่งทวย-ไม่ฝั่งทวย ก็ยากส์ส์ส์ที่จะสรุปได้ บางรายถึงกับพยายามโยงให้ไปเกี่ยวกับพวกขวาจัด พวกเหยียดผิว พวกสนับสนุน “ทรัมป์บ้า” อะไรประมาณนั้น เพราะปรากฏการณ์ดังกล่าวอาจเกิดขึ้นช่วงใกล้ๆ กับการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกาพอดิบ พอดี แต่สำหรับนักวิเคราะห์เศรษฐกิจของสำนักข่าวรัสเซีย ทูเดย์ อย่าง “นายMax Keiser” นั้น กลับให้คำนิยามและข้อสรุปไว้น่าสนใจไม่น้อย คือถือเป็นกลุ่มคนที่อาจเรียกได้ว่าพวก “Occupy Wall Street 2.0” หรือพวก “ออคคิวพาย วอลล์สตรีทครั้งที่ 2” ที่อาจต่างไปจากพวกแรก ซึ่งเคยรวมหัว รวมตัว ออกมาเล่นงานพวกนายทุน “Wall Street” หรือพวก “ทุนนิยมโลกาภิวัตน์” เมื่อช่วง 20 ปีที่แล้ว จนเกิดฉากเหตุการณ์ที่เรียกๆ กันว่า “การปะทะที่ซีแอตเติล” (The Battle of Seattle) นับจากปี ค.ศ. 1999 เป็นต้นมา และทำให้บรรดาพวกทุนนิยมเสรีทั้งหลาย แทบไปไม่เป็น หรือไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี มาโดยตลอด...
แต่สำหรับคราวนี้...ได้เปลี่ยนยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี หันมา “โจมตีจากภายใน” โดยอาศัย “นักเคลื่อนไหวมวลชนที่อยู่ภายในระบบ” หรือหันมาใช้ “ทุน” และใช้ “ระบบ” เป็นเครื่องมือในการล้างแค้น เอาคืน พวกทุนใหญ่ หรือบรรดานายทุน “Wall Street” ทั้งหลาย ที่สามารถควบคุมและบังคับรัฐบาลอเมริกันในแต่ละยุค แต่ละสมัย ไม่ว่ารีพับลิกันหรือเดโมแครตมาโดยตลอดนั่นเอง หรือสรุปเอาเป็นว่า...ไม่ว่าจะเป็นใครก็เถอะ สิ่งที่น่าสนใจเอามากๆ ก็คือถ้อยคำที่บรรดา “แมงเม่า” เหล่านี้ได้โพสต์เอาไว้ ถึงปฏิบัติการคราวนี้ ด้วยข้อความที่ว่า “It’s not about money, it’s about sending a massage” หรือปฏิบัติครั้งนี้...คงไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องเงินๆ-ทองๆ แม้แต่น้อย แต่ถือเป็นการ “ส่งข้อความ” ไปยังบรรดาพวกนายทุน หรือพวก “Deep State” ทั้งหลาย นั่นเอง...