ปิดฉากสัปดาห์นี้...ยังคงไม่รู้จะไปหาเรื่อง “เบาๆ” จากที่ไหนมาว่ากันดี โดยเฉพาะที่ออกไปทาง “โหวงๆ เหวงๆ” แบบไม่ต้องเสียเวลา “คิดมาก” อย่างที่ใครต่อใครเขาชอบเอามาโพสต์ มาแชร์กันในเฟซบุ๊กส่วนตัวทำนองนั้น ไม่ว่าการเอารูปหมา รูปแมว รูปที่ตัวเองไปเที่ยวโน่น เที่ยวนี่ กินโน่น กินนี่ ฯลฯ มาเผยแพร่ให้เป็นที่รับรู้ รับทราบ ชนิดออกจะเป็นอะไรที่ “โล่งสมอง” อยู่พอสมควร ไม่ต้องอาศัยสติปัญญา หรือเรี่ยวแรงใดๆ ในการ “บริโภค” เอาเลยแม้แต่นิด...
แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ...ยิ่งผู้คน “สมองโล่ง” ยิ่งขึ้นเท่าไหร่ ดูเหมือนมันมักก่อให้เกิดเรื่อง “หนักๆ” ตามมาอีกเยอะแยะมากมาย ไม่ว่าในแง่การเมือง เศรษฐกิจ ค่านิยมทางสังคม ไปจนถึงวัฒนธรรม ประเพณี ฯลฯ โน่นเลย ด้วยเหตุนี้ก็คงต้องหนักมั่ง เบามั่งไปตามสภาพ หรือคงต้องขออนุญาตไปพูดถึงบรรดาบริษัทบิ๊กยักษ์ใหญ่ไฮ-เทคทั้งหลาย ที่นับวันออกจะมีส่วนในการทำให้ผู้คนในสังคมต่างๆ หรือแทบจะทั่วทั้งโลกก็ว่าได้ เกิดความเติบโต-ไม่เติบโต ไม่ว่าทางสมอง ทางร่างกายและจิตใจ หรือไม่ อย่างไร ยิ่งเข้าไปทุกที นั่นก็คือบรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ ประเภท Google, Facebook, Twitter, Apple, Amazon, Microsoft ฯลฯ อะไรประมาณนั้น จากที่เคยมีรูปร่างหน้าตาคล้ายๆ “พระเอก” เมื่อไม่กี่สิบปีที่แล้ว แต่มาถึง ณ ขณะนี้ ดูจะยิ่งเพิ่มความเป็น “ดาวร้าย” หนักยิ่งเข้าไปทุกที...
คืออาจด้วยเหตุเพราะช่วงหลังๆ นี้...การเติบโต ขยายตัวของบรรดาบริษัทเหล่านี้ ค่อนข้างสะท้อนให้เห็นถึงลักษณะอาการบางอย่าง หรือหลายๆ อย่างที่ออกจะชัดเจนไม่น้อย เช่น ประการแรก เรื่อง “การผูกขาด” จะด้วยเหตุเพราะขีดความสามารถในการพัฒนาศักยภาพทางเทคโนโลยีของตัวเอง จนแทบหา “คู่แข่ง” ไม่เจอ หรือถ้าเริ่มๆ ทำท่าว่าจะเป็นคู่แข่ง ก็อาจถูกซื้อ ถูกควบรวมกิจการ อย่างเช่น “Facebook” ที่งาบเอา “Instagram” มาเป็นของตัวเองแบบเต็มปาก เต็มคำ อะไรทำนองนั้น รวมไปถึงกฎหมายต่อต้านการผูกขาด หรือ “Antitrust Law” ของสหรัฐฯ เขา อาจเป็นอะไรที่เก่าเก็บ เก่าแก่ เกินไปกว่าจะเอามาใช้กับความก้าวหน้า ก้าวไกล ของเทคโนโลยีในระดับดิจิทัลได้มากมายสักเท่าไหร่...
ประการที่สอง...คือ “การเอารัด-เอาเปรียบ” หรือการไม่คิดจะเสียภาษีใดๆ เลย ไม่ว่าจะไปทำมาหารับประทาน ณ ที่ไหนๆ หรือไม่ว่าผู้ใช้บริการในประเทศต่างๆ มีแต่เพิ่มกับเพิ่ม จนทำให้รัฐบาลในแต่ละประเทศเริ่มหันมา “เหล่” หรือเริ่มคิดเอาสิ่งเหล่านี้มาใช้เป็น “เครื่องมือ” ในการควบคุมบรรดาบริษัทเหล่านี้ กันในระดับทั่วทั้งโลกไปแล้วก็ว่าได้ แม้แต่ประเทศที่ก้าวหน้า ก้าวไกล ในทางเทคโนโลยี เช่น ในยุโรป ไม่ว่าฝรั่งเศส อิตาลี สเปน ออสเตรีย หรืออังกฤษ ฯลฯ เริ่มคิดเอาจริง-เอาจังกับการรีดภาษีบรรดาบริษัทเหล่านี้อย่างเท่าที่ควรจะเป็นกันมั่งแล้ว...
ประการที่สาม...คือ “ความเหลื่อมล้ำ” ที่การเติบโต ขยายตัว ของบรรดาบริษัทเหล่านี้ ออกจะสวนทางกับความตกต่ำ ความยากจนข้นแค้นของผู้คน แบบชนิด “หน้ามือ” กับ “หลังตีน” ยิ่งโดยเฉพาะช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด ที่ทำให้ผู้คนในแต่ละสังคม ไม่เพียงแต่ต้องสวมหน้ากาก ต้องเว้นระยะห่าง หรือถึงขั้นต้อง “ล็อกดาวน์” ชนิดมีแต่ “จน...กับ...จน” ยิ่งขึ้นไปอีก แต่ภายใต้สภาพการณ์เช่นนี้นี่เอง กลับเป็นตัวเอื้ออำนวยให้บรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ไฮ-เทคทั้งหลาย มีแต่รวยเอาๆ ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ อย่างบริษัท “Amazon” ของ “นายเจฟฟ์ เบซอส” ว่ากันว่า...เพียงแค่วันเดียวเท่านั้น รวยขึ้นถึง 13,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 408,200 ล้านบาท เนื่องจากมูลค่าหุ้นบริษัทที่ทำมาค้าขายทางระบบอินเตอร์ หรือออนไลน์ พุ่งขึ้นวันเดียวถึง 7.9 เปอร์เซ็นต์ และทำให้บรรดาอภิมหาเศรษฐีในระดับต้นๆ เกือบทั้ง 10 ราย ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่ทำมาหารับประทานอยู่ในบริษัทบิ๊กไฮ-เทคเหล่านี้ด้วยกันทั้งนั้น ที่ได้รับอานิสงส์ความรวยเพิ่มขึ้นๆ ไม่น้อยกว่า 5.4 แสนล้านดอลลาร์ หรือ 16.18 ล้านล้านบาท นับแต่ช่วงเดือนมีนาคมปีที่แล้ว เป็นต้นมา...
ประการที่สี่...คือความพยายามที่จะนำเอาความรวย ความมีพลังอำนาจที่เพิ่มขึ้นๆ เหล่านี้ ไป “ควบคุม” และ “บังคับ” ผู้ใช้บริการ หรือผู้คนในสังคมต่างๆ อย่างเป็นระบบและเป็นกิจการยิ่งเข้าไปทุกที แม้แต่ภายในสังคมตัวเอง หรือในประเทศอเมริกาทุกวันนี้ บรรดาบริษัทเหล่านี้ เริ่มแสดงออกถึงความยิ่งใหญ่เกรียงไกร ด้วยพลังอำนาจที่เหนือไปกว่ารัฐบาลซึ่งมีอำนาจสูงสุดในโลกอย่างรัฐบาลอเมริกันไปแล้วก็ว่าได้ คือสามารถปิดปาก ปิดจมูก ผู้นำโลก หรือประมุขโลก อย่าง “ทรัมป์บ้า” ตลอดไปจนบรรดาผู้สนับสนุนอดีตประธานาธิบดีรายนี้ ระดับหายใจ-หายคอแทบไม่ออก ด้วยการรวมหัวกัน “เซ็นเซอร์” ห้ามโพสต์โน่น โพสต์นี่ อย่างเป็นการชั่วคราว หรือเป็นการถาวร และอย่างเป็นเรื่อง เป็นราว เป็นจริง เป็นจัง ยิ่งเข้าไปทุกที...
ถึงขั้นที่ผู้นำรัสเซีย อย่างประธานาธิบดี “วลาดิมีร์ ปูติน” อดไม่ได้ต้องหยิบเอาไปพูดถึง กล่าวถึง ระหว่างพูดจาปราศรัย ณ ที่ประชุม “World Economic Forum” เมื่อช่วงวันพุธ (27 ม.ค.) ที่ผ่านมา เช่นที่ตั้งคำถามเอาไว้ทำนองว่า... “อะไรคือเส้นแบ่งระหว่างความสำเร็จของธุรกิจระดับโลก ระหว่างความต้องการที่จะใช้บริการกับความพยายามรวบรวมข้อมูลระดับ Big Data ความพยายามที่จะเป็นผู้ตัดสินแต่เพียงฝ่ายเดียว เพื่อควบคุมสังคมทั้งสังคม เพื่อเข้าแทนที่ความชอบธรรมของสถาบันประชาธิปไตย ตลอดจนความเข้มงวดกวดขันต่อสิทธิตามธรรมชาติในการดำเนินชีวิตของผู้คนทั้งหลาย ว่าอะไรควรเลือก-ไม่ควรเลือก และอะไรกันแน่ที่ถือเป็นเสรีภาพ??? ทุกๆ คนคงรู้ว่าผมกำลังพูดถึงอะไร เพราะเราต่างได้เห็นสิ่งเหล่านี้บ้างแล้ว ในสังคมอเมริกันทุกวันนี้...”
นี่...ต้องเรียกว่า ความเคลื่อนไหวเหล่านี้จึงออกจะเป็นอะไรที่น่าคิด น่าสะกิดใจ มิใช่น้อย สำหรับใครก็เถอะ ที่กำลังนั่งจิ้มๆ ทิ่มๆ เพื่อให้ใครต่อใครรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ คิดอะไรอยู่ หรือ “เป็น” อะไรต่อมิอะไรตามที่ “ตัวเอง” อยากให้ “ผู้อื่น” เห็นว่าตัวเองเป็น เพราะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่ต้องอาศัย “พื้นที่” ที่อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลการบริหาร-จัดการของบรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ไฮ-เทคเหล่านี้ไปด้วยกันทั้งสิ้น อันเป็นพื้นที่ที่ผู้นำรัสเซียท่านสรุปเอาไว้ว่า... “ในบางพื้นที่บรรดาบริษัทเหล่านี้มีอำนาจทัดเทียม (หรืออาจเหนือกว่า) รัฐบาลไปแล้วก็ว่าได้” ยิ่งเมื่อบรรดาบริษัทเหล่านี้ ออกจะมี “รสนิยมทางการเมือง” หนักไปทางเดโมแครตซะเป็นหลักใหญ่ จะด้วยเหตุเพราะชอบสุมหัว รวมตัวอยู่แถวๆ “ซิลิคอนวัลเลย์” หรือ “นิวยอร์ก” อันเป็นฐานเสียงของพรรคการเมืองรายนี้ หรือเพราะด้วย “แนวคิด” แบบที่เรียกๆ กันว่า “เสรีนิยมใหม่” อะไรก็แล้วแต่ ที่กำลังคิดปรับรูป ปรับร่าง ปรับทุนนิยมทั้งระบบ ให้เป็น “ทุนนิยมที่มีความรับผิดชอบ” ตามแนวทางของประธาน “World Economic Forum” หรือของมกุฎราชกุมารอังกฤษ ก็ตามที...
และด้วยเหตุเพราะสิ่งนี้-สิ่งนี้...สิ่งนี้จึงเป็นไป จึงอาจส่งผลให้นับจากนี้เป็นต้นไป แนวโน้มที่จะเกิด “กระแสต่อต้าน” ต่อบรรดาบริษัทบิ๊กยักษ์ใหญ่ไฮ-เทคทั้งหลาย น่าจะเริ่มก่อรูป ก่อร่างชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เพราะอย่างที่อดีตนักเคลื่อนไหวมวลชนชาวแอฟริกัน-อเมริกัน “นายGarikai Chengu” ได้เคยตั้งคำถามไว้ในข้อเขียนเรื่อง “The Death of American Democracy” เมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้วนั่นแหละว่า เอาเข้าจริงแล้วระหว่าง “ระบบตลาดเสรี” กับ “ระบบเลือกตั้งเสรี” หรือระหว่าง “ทุนนิยม” กับ “ประชาธิปไตย” มันเป็นสิ่งที่สามารถไปด้วยกันได้จริงๆ หรือไม่??? เพราะภายใต้การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งของนักการเมืองไม่ว่าพรรคหนึ่ง พรรคใด ซึ่งต่างต้องพึ่งพาเงินบริจาคจากบริษัทธุรกิจรวยๆ เป็นหลัก ได้ทำให้ประชาธิปไตยอเมริกันกลายเป็น “Fascist Democracy” ไปนานแล้ว!!!