xs
xsm
sm
md
lg

วิกฤตที่ร้ายแรงกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท


ดร.เจอรัลด์ แครบทรี ศาสตราจารย์ด้านอายุรศาสตร์ และการพัฒนาทางชีววิทยา แห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด
เปิดฉากสัปดาห์นี้...พร้อมกับเปิดฟ้าใหม่ ปีใหม่ ไปในตัว จะไปลากเอาเรื่องที่ออกไปทาง “บวดหัว” ชนิดยา “บวดหาย” ใดๆ ก็เอาไม่อยู่ มาประเดิม เริ่มต้น คงไม่น่าจะถูกเรื่อง หรือไม่น่าจะเข้าท่าสักเท่าไหร่นัก แม้ว่าข่าวคราวทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ไปจนถึงการทหารก็แล้วแต่ มันมีแต่คิดจะเดินหน้า เคลื่อนที่ เคลื่อนไหว ชนิดไม่คิดจะหยุด จะหย่อน ก็ตามที...

เพราะภายใต้ความเคลื่อนไหวทางการเมือง-เศรษฐกิจ-สังคม-การทหาร-การทูต ฯลฯ หรือการอะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ มันยังมีความเคลื่อนไหวอยู่อีกประการหนึ่ง ที่แทบไม่ค่อยมีใครพูดถึง เอ่ยถึงกันสักเท่าไหร่นัก ทั้งๆ ที่...อาจถือเป็นความเคลื่อนไหวที่ครอบคลุมแทบทุกสิ่งทุกอย่าง หรือเกี่ยวข้องกับทุกสิ่งทุกอย่าง โดยเฉพาะบรรดามวลมนุษย์ผู้ซึ่งกำลังก่อกำเนิดเกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ ณ ยุคนี้ สมัยนี้ หรือบรรดาพวกที่ถูกเรียกๆ ว่า “The Next Generation” บรรดา “คนแห่งยุคอนาคต” อะไรประมาณนั้นที่ไม่ว่าจะเข้าไปเกี่ยวข้อง พัวพันกับวิถีทางการเมือง เศรษฐกิจ หรือสังคม วัฒนธรรม ประเพณี ฯลฯ ก็ตาม ล้วนแล้วแต่หนีไม่พ้นต้องนำเอา “ความเป็นตัวตนของตน” เข้าไปเกี่ยวข้อง พัวพันกับสิ่งนั้นๆ หรือเรื่องราวนั้นๆ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธจนกลายเป็นสิ่งที่นำมาซึ่งฉากสถานการณ์บางอย่าง ไม่ว่าในประเทศไหน สังคมไหน ไม่ว่าประชาธิปไตย หรือเผด็จการก็ตามที หรือกลายมาเป็นฉากสถานการณ์ที่ถูกเรียกขานในนาม “The Unprecedented Crisis” หรือ “วิกฤตการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน” ทำนองนั้น...

แม้แต่บ้านเรา สังคมเรา ประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาก็เถอะ!!!...ลองใคร่ครวญพิจารณากันให้ลึกๆ แล้ว อะไรก็ตามที่ออกไปทาง “น่าปวดหัวฉิบหาย” ในทุกวันนี้ ไม่ว่าไล่มาตั้งแต่การ “ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์” การ “ยกเลิกมาตรา 112” การหาทางทำให้ “บิ๊กตู่ลาออก” ไปจนถึงการไม่คิดจะตัดผมสั้น ไม่คิดจะใส่เครื่องแบบ ไม่คิดจะนับญาติพี่น้อง คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย กระทั่งคุณพ่อ คุณแม่ มุ่งแต่ปรารถนาและต้องการที่จะให้ขายวัว ขายควาย ขายนาผืนน้อยโดยเสรี ไปจนถึงการเพรียกหาพอร์นฮ๊ง พอร์นฮับ ฯลฯ ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรก็ตามแต่ เอาไป-เอามาแล้ว...มันออกจะเกี่ยวพันกับสิ่งที่เรียกว่า “The Unprecedented Crisis” ที่ว่าไม่มากก็น้อย หรือเกี่ยวพันกับอารมณ์-ความรู้สึก จิตสำนึกและจิตไร้สำนึกของกลุ่มคนที่ถูกเรียกขานกันในนาม “The Next Generation” นั่นแหละทั่น ที่นับวัน...กำลังย่อยแยกแตกกระจาย หรือตัดขาดไปจากคนรุ่นหลัง จากบรรดาพวก “ไดโนเสาร์-เต่าพันปี” ยิ่งเข้าไปทุกที...

ปรากฏการณ์ “The Unprecedented Crisis” ที่ว่านี้...จึงได้รับความสนใจมิใช่น้อย จากบรรดานักคิด นักปราชญ์ รวมทั้ง “นักวิทยาศาสตร์” หรือนักสังคมวิทยา มานุษยวิทยา หรือแม้แต่นักจุลชีวันวิทยา ฯลฯ ในแต่ละสังคม อย่างเป็นเรื่อง เป็นราว เป็นระบบและเป็นกิจการพอสมควรทีเดียว ถึงขั้นที่มีการมอบหมายให้นักวิทยาศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงระดับโลกรายหนึ่ง ชื่อว่า “ดร.เจอรัลด์ แครบทรี” (Dr.Gerald Crabtree) ศาสตราจารย์ด้านอายุรศาสตร์ และการพัฒนาทางชีววิทยาแห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford University School of Medicine) ผู้ได้ชื่อว่ามีความเชี่ยวชาญ รอบรู้อย่างลึกซึ้ง ถึงเรื่องกลไกการทำงานของ “ยีน” ภายในตัวตนมนุษย์ เคยเป็นผู้ค้นพบชิ้นส่วนเล็กๆ ภายในเซลล์ ที่เรียกว่า “Hepatocyte nuclear factor 1” ซึ่งมีความสำคัญเอามากๆ ต่อการทำงานของยีนในระบบเม็ดเลือด (T lymphocytes) เป็นผู้ค้นพบปฏิกิริยาของเซลล์ที่รู้จักกันในหมู่นักวิทยาศาสตร์ว่า “T-cells-Nuclear factor of activated” เป็นผู้เริ่มต้นศึกษาบทบาทของแคลเซียมและโปรตีนที่มีความสัมพันธ์กับระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย (Calcium-Calcineurin) ฯลฯ จนได้รับรางวัล “National Academy of Sciences” ไปในช่วงปี ค.ศ.1997 ให้ลองหันมาศึกษา วิเคราะห์ และวิจัย ถึงแนวโน้มความเป็นไปของ “สติ” และ “ปัญญา” ของบรรดามวลมนุษย์ทั้งหลาย โดยเฉพาะบรรดามนุษย์สมัยใหม่ หรือมนุษย์ที่กำลังก้าวหน้า ก้าวไกล ในทาง “เทคโนโลยี” ว่าจะออกไปในแนวไหนกันแน่!!!

และจากเอกสารการวิจัยของทีมงานนักวิทยาศาสตร์ ภายใต้การนำของด็อกเตอร์รายนี้...ก็ได้ปรากฏตีพิมพ์ เผยแพร่ เป็นข่าวคราว เป็นที่รับรู้ รับทราบ กันไปตั้งแต่เมื่อ 7-8 ปีที่แล้ว หรือเมื่อต้นปี ค.ศ. 2017 โน่นเลย เพียงแต่เป็นข่าวคราวที่แทบไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจ หรือนำเอามาเป็นข้อคิดสะกิดใจมากมายสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับข่าวคราวเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ การทหาร การขึ้นๆ ลงๆ ของ “หุ้น” ตัวโน้น ตัวนี้ ฯลฯ ทั้งๆ ที่โดยเนื้อหา รายละเอียดของรายงานการวิเคราะห์และวิจัยดังกล่าว ออกจะเป็นเรื่องที่น่าตกตะลึงพรึงเพริดมิใช่น้อย คือมันได้ชี้ให้เห็นถึงข้อมูล ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ ว่าบรรดามวลมนุษย์ทั้งหลายในโลกใบนี้ กำลัง “โง่ลง...โง่ลง” หรือกำลังเต็มไปด้วย “ความบอบบางทางสติ-ปัญญา” ตามชื่อเสียงเรียงนามของรายงานการวิจัย ที่สรุปเอาไว้ว่า “Our fragile intellect” อะไรประมาณนั้น...

หรือจากข้อความบางส่วนที่ได้สรุปไว้ในรายงานชิ้นนี้ ถึงกับระบุว่า... “โดยการพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ๆ ทางด้านยีนวิทยา มานุษยวิทยา และประสาทวิทยา ทำให้เราสามารถวิเคราะห์หาข้อสรุป รวมทั้งคาดหมายได้ว่า จำนวนยีนหลายๆ ตัวที่เกี่ยวข้องกับระบบความคิด สติและปัญญา ตลอดไปจนขีดความสามารถด้านอารมณ์ของมวลมนุษย์ทั้งหลาย กำลังตกอยู่ในสภาพอ่อนแอ ไม่มั่นคง และเปราะบางเป็นอย่างยิ่ง โดยจากการวิเคราะห์กระบวนการกลายพันธุ์ของจำนวนยีนต่างๆ ในตัวมนุษย์ พบว่าบรรดายีนที่เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ กำลังสูญเสียขีดความสามารถในการทำหน้าที่ลงไปเรื่อยๆ...”

พูดง่ายๆ ว่า...ถ้าหากนำเอามนุษย์ปุถุชนคนธรรมดา ผู้ซึ่งเกิดขึ้นมาในยุคกรีก ยุคเอเธนส์ มาเทียบกับผู้ที่ถือกำเนิดเกิดมาในยุคนี้ เผลอๆ...บุคคลผู้นั้นอาจมีสภาพไม่ต่างไปจาก “อัจฉริยะ” เอาเลยก็ไม่แน่!!! ชนิดที่นักวิทยาศาสตร์รายนี้ กล้าท้าพนันไว้ถึงขั้นว่า... “ผมกล้าท้าเลยว่า ถ้าเราลองนำเอาประชากรโดยถัวเฉลี่ย ในยุคอาณาจักรเอเธนส์เมื่อช่วงพันปีก่อนคริสตกาล มาอยู่ร่วมกับเราในทุกวันนี้ เขาและเธอเหล่านั้น จะกลายเป็นคนที่เก่ง ฉลาด กลายเป็นผู้ที่มีสติ-ปัญญาสูงกว่าบรรดาพวกเราทั้งหลายอย่างเห็นได้ชัด เพราะเขาจะมีความทรงจำที่ดี แม่นยำ มีขอบเขตวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล มีทัศนคติแจ่มชัดในการใคร่ครวญ พิจารณาปมปัญหาสำคัญต่างๆ และจะเป็นผู้มีอารมณ์-ความรู้สึกที่มั่นคง ในการคบหาสมาคมกับผู้อื่น อย่างน่าทึ่ง น่าประทับใจ เอามากๆ ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะมีชีวิตอยู่ในแอฟริกา เอเชีย อินเดีย หรือในอเมริกา เมื่อ 2,000-6,000 ปีที่แล้ว ก็จะมีลักษณะไม่ต่างไปจากกัน นี่คือ...ข้อเท็จจริงทางด้านยีน มานุษยวิทยา และประสาทวิทยา ที่ให้ข้อสรุปไปในแนวเดียวกัน จนอาจถือเป็นข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์....”

นี่...เมื่อเจอกับ “ข้อเท็จจริง” ในลักษณะเช่นนี้ ก็คงไม่ถือเป็นเรื่องแปลก ที่อะไรต่อมิอะไรมันถึงได้กลายเป็น “ปัญหา” หรือกลายเป็น “วิกฤต” ในระดับที่ “ไม่เคยมีมาก่อน”เอาเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุที่ทุกสิ่งทุกอย่าง มันกำลังเป็นไปในรูปนี้ หรือกำลังตกอยู่ภายใต้ “วิกฤต” ที่ว่า ข้อสรุปของทีมงานวิทยาศาสตร์ดังกล่าว จึงได้สรุปเอาไว้ชัดเจนดังนี้คือ... “เราคงต้องเริ่มต้นเผชิญกับปัญหาดังกล่าว ด้วยการยอมรับความจริงที่ว่า...วิทยาศาสตร์กำลังบอกกับเราว่า วิธีที่ดีที่สุดในการรับมือกับความเป็นไปเหล่านี้ ก็คือต้องหันไปอาศัย...ศีลธรรม หรือต้องพยายามหันไปฟื้นฟูความดีงามในหมู่มวลมนุษย์ ให้กลับคืนขึ้นมาให้จงได้” หรือพูดง่ายๆ ก็คือออกไปทางแบบเดียวกับที่ “อภิมหาพระ” บ้านเรา “ท่านพุทธทาสภิกขุ” ได้เคยย้ำนัก ย้ำหนา เอาไว้นานแล้ว ประมาณว่า... “ถ้าศีลธรรมยังไม่หวนกลับคืนมา โลกาย่อมวินาศอยู่แล้วแน่ๆ” นั่นแล...


กำลังโหลดความคิดเห็น