ผู้จัดการรายวัน360-“สุพัฒนพงษ์”โชว์แผนพลังงานปี 64 มีเม็ดเงินลงทุนขับเคลื่อนเศรษฐกิจและพลังงานสะอาด ยอดรวมเฉียด 1.3 แสนล้านบาท เตรียมเสนอ ครม. เห็นชอบแผนชาติ เตรียมลุยทั้งโรงไฟฟ้าชุมชน ขยะ โซลาร์ภาคประชาชน ส่งเสริม E20 ปิโตรเคมีระยะที่ 4 เปิดสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบใหม่ พร้อมทำแผนรับมือหากต้องล็อกดาวน์อีกรอบ แต่มั่นใจไม่เกิดขึ้น
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานของกระทรวงพลังงานในปี 2564 ภายใต้แนวคิดพลังงานเข้มแข็ง ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากและส่งเสริมพลังงานสะอาด ว่า จะมีการลงทุนรวมทั้งสิ้นกว่า 127,932 ล้านบาท เป็นการลงทุนเน้นไปยังโครงสร้างพื้นฐานหลักๆ ที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน ทั้งโรงไฟฟ้า ปิโตรเลียม พลังงานสะอาด ปิโตรเคมีระยะที่ 4 ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เป็นต้น
“นโยบายด้านพลังงานปี 2564 จะเป็นการต่อยอดจากปี 2563 เพื่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากที่เพิ่มขึ้นและรองรับการเปลี่ยนแปลงพลังงานในอนาคต เนื่องจากเศรษฐกิจไทยและทั่วโลกยังคงได้รับผลกระทบจากโควิด-19”นายสุพัฒนพงษ์กล่าว
สำหรับรายละเอียดการขับเคลื่อนแผนพลังงานปี 2564 ได้เตรียมเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบแผนพลังงานแห่งชาติ เพื่อเป็นกรอบการพัฒนาของภาครัฐและเป็นกรอบการลงทุนที่ชัดเจนของภาคเอกชน ผลักดันความชัดเจนเรื่องลดสำรองไฟฟ้า เดินหน้าส่งเสริมแข่งขันเปิดเสรีกิจการก๊าซธรรมชาติและไฟฟ้า กำหนดเป้าหมายขับเคลื่อนยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เพื่อกระตุ้นการลงทุน รวมถึงเตรียมความพร้อมการเปิดประมูลสิทธิการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบที่ 23 การเจรจาพื้นที่ทับซ้อนไทยกัมพูชา (OCA) ที่จะผลักดันให้เกิดความชัดเจนมากขึ้น และการส่งเสริมการลงทุนปิโตรเลียมระยะที่ 4 ในพื้นที่อีอีซี เพื่อให้สอดคล้องกับการส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ที่วางไว้ โดยจะเป็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในส่วนนี้ประมาณ 55,000 ล้านบาท
ด้านการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก จะกระตุ้นยอดขาย B10 กำหนดให้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 เป็นน้ำมันพื้นฐาน โดยจะผลักดันให้โรงกลั่นผลิต G-base ได้ตามมาตรฐานภายในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 และร่วมขับเคลื่อนโครงการชุมชนร่วมกับกระทรวงมหาดไทยผ่านกลไกกองทุนอนุรักษ์พลังงาน 2,400 ล้านบาทที่จะมอบให้จังหวัดละ 25 ล้านบาทและยังมีส่วนที่เหลือ 500 ล้านบาทที่จะส่งเสริมโครงการดีๆ ในบางจังหวัดที่ไฟฟ้าเข้าไม่ถึงและต่อยอดงานเดิม
ด้านการส่งเสริมการลงทุนพลังงานสะอาด จะเร่งรัดการลงทุนโรงไฟฟ้าชุมชนนำร่อง 150 เมกะวัตต์ ที่คาดว่าจะเปิดรับซื้อได้ต้นปี 2564 ส่งเสริมกระตุ้นการลงทุนโรงไฟฟ้าขยะชุมชนอีก 400 เมกะวัตต์ใหม่ ส่งเสริมการใช้โซลาร์รูฟท็อปภายใต้โครงการโซลาร์ภาคประชาชนให้เติบโต 100 เมกะวัตต์ และการส่งเสริมการลดใช้พลังงาน เป็นต้น
นายสุพัฒนพงษ์กล่าวว่า ผลงานปี 2563 มีการดำเนินงานโดยมุ่งเน้นการดำเนินมาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ทั้งภาคประชาชนและภาคธุรกิจ โดยมาตรการลดรายจ่ายประชาชนในช่วงโควิด เช่น การลดค่าไฟฟ้า ลดราคา LPG และ NGV รวมมูลค่า 49,836 ล้านบาท ส่วนการสร้างรายได้และกระตุ้นเศรษฐกิจให้กับประเทศ สามารถจัดเก็บรายได้จากการประกอบกิจการปิโตรเลียมเข้าภาครัฐ 129,932 ล้านบาท เกิดการจ้างแรงงานท้องถิ่น ทั้งยังกำหนดให้ B10 เป็นน้ำมันดีเซลเกรดมาตรฐานครั้งแรกของประเทศ ช่วยยกระดับชีวิตเกษตรกรชาวสวนปาล์ม ขับเคลื่อนพลังงานชุมชน สร้างชุมชนต้นแบบลดใช้พลังงาน ซึ่งทั้งมาตรการช่วยเหลือและสร้างรายได้ คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 1.79 แสนล้านบาท
อย่างไรก็ตาม กรณีการแพร่ระบาดโควิด-19 รอบใหม่ในไทย กระทรวงพลังงานได้เตรียมมาตรการเยียวยาไว้แล้วกรณีที่จำเป็นจะต้องล็อกดาวน์ทั้งประเทศ โดยการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อเร็วๆนี้ ได้อนุมัติให้อำนาจกระทรวงพลังงานผ่านคณะกรรมการนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณามาตรการที่จำเป็นสำหรับเยียวยาประชาชน ส่วนจะเป็นอย่างไร อยู่ที่สถานการณ์ในขณะนั้น แต่โดยส่วนตัว เชื่อมั่นว่าจะไม่เกิดการขยายผลจนต้องล็อกดาวน์ประเทศเช่นที่ผ่านมา เนื่องจากประชาชนและทุกฝ่ายพร้อมที่จะร่วมมือแก้ไขปัญหามากขึ้น เพราะเคยประสบปัญหามาแล้ว
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานของกระทรวงพลังงานในปี 2564 ภายใต้แนวคิดพลังงานเข้มแข็ง ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากและส่งเสริมพลังงานสะอาด ว่า จะมีการลงทุนรวมทั้งสิ้นกว่า 127,932 ล้านบาท เป็นการลงทุนเน้นไปยังโครงสร้างพื้นฐานหลักๆ ที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน ทั้งโรงไฟฟ้า ปิโตรเลียม พลังงานสะอาด ปิโตรเคมีระยะที่ 4 ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เป็นต้น
“นโยบายด้านพลังงานปี 2564 จะเป็นการต่อยอดจากปี 2563 เพื่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากที่เพิ่มขึ้นและรองรับการเปลี่ยนแปลงพลังงานในอนาคต เนื่องจากเศรษฐกิจไทยและทั่วโลกยังคงได้รับผลกระทบจากโควิด-19”นายสุพัฒนพงษ์กล่าว
สำหรับรายละเอียดการขับเคลื่อนแผนพลังงานปี 2564 ได้เตรียมเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบแผนพลังงานแห่งชาติ เพื่อเป็นกรอบการพัฒนาของภาครัฐและเป็นกรอบการลงทุนที่ชัดเจนของภาคเอกชน ผลักดันความชัดเจนเรื่องลดสำรองไฟฟ้า เดินหน้าส่งเสริมแข่งขันเปิดเสรีกิจการก๊าซธรรมชาติและไฟฟ้า กำหนดเป้าหมายขับเคลื่อนยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เพื่อกระตุ้นการลงทุน รวมถึงเตรียมความพร้อมการเปิดประมูลสิทธิการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบที่ 23 การเจรจาพื้นที่ทับซ้อนไทยกัมพูชา (OCA) ที่จะผลักดันให้เกิดความชัดเจนมากขึ้น และการส่งเสริมการลงทุนปิโตรเลียมระยะที่ 4 ในพื้นที่อีอีซี เพื่อให้สอดคล้องกับการส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ที่วางไว้ โดยจะเป็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในส่วนนี้ประมาณ 55,000 ล้านบาท
ด้านการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก จะกระตุ้นยอดขาย B10 กำหนดให้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 เป็นน้ำมันพื้นฐาน โดยจะผลักดันให้โรงกลั่นผลิต G-base ได้ตามมาตรฐานภายในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 และร่วมขับเคลื่อนโครงการชุมชนร่วมกับกระทรวงมหาดไทยผ่านกลไกกองทุนอนุรักษ์พลังงาน 2,400 ล้านบาทที่จะมอบให้จังหวัดละ 25 ล้านบาทและยังมีส่วนที่เหลือ 500 ล้านบาทที่จะส่งเสริมโครงการดีๆ ในบางจังหวัดที่ไฟฟ้าเข้าไม่ถึงและต่อยอดงานเดิม
ด้านการส่งเสริมการลงทุนพลังงานสะอาด จะเร่งรัดการลงทุนโรงไฟฟ้าชุมชนนำร่อง 150 เมกะวัตต์ ที่คาดว่าจะเปิดรับซื้อได้ต้นปี 2564 ส่งเสริมกระตุ้นการลงทุนโรงไฟฟ้าขยะชุมชนอีก 400 เมกะวัตต์ใหม่ ส่งเสริมการใช้โซลาร์รูฟท็อปภายใต้โครงการโซลาร์ภาคประชาชนให้เติบโต 100 เมกะวัตต์ และการส่งเสริมการลดใช้พลังงาน เป็นต้น
นายสุพัฒนพงษ์กล่าวว่า ผลงานปี 2563 มีการดำเนินงานโดยมุ่งเน้นการดำเนินมาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ทั้งภาคประชาชนและภาคธุรกิจ โดยมาตรการลดรายจ่ายประชาชนในช่วงโควิด เช่น การลดค่าไฟฟ้า ลดราคา LPG และ NGV รวมมูลค่า 49,836 ล้านบาท ส่วนการสร้างรายได้และกระตุ้นเศรษฐกิจให้กับประเทศ สามารถจัดเก็บรายได้จากการประกอบกิจการปิโตรเลียมเข้าภาครัฐ 129,932 ล้านบาท เกิดการจ้างแรงงานท้องถิ่น ทั้งยังกำหนดให้ B10 เป็นน้ำมันดีเซลเกรดมาตรฐานครั้งแรกของประเทศ ช่วยยกระดับชีวิตเกษตรกรชาวสวนปาล์ม ขับเคลื่อนพลังงานชุมชน สร้างชุมชนต้นแบบลดใช้พลังงาน ซึ่งทั้งมาตรการช่วยเหลือและสร้างรายได้ คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 1.79 แสนล้านบาท
อย่างไรก็ตาม กรณีการแพร่ระบาดโควิด-19 รอบใหม่ในไทย กระทรวงพลังงานได้เตรียมมาตรการเยียวยาไว้แล้วกรณีที่จำเป็นจะต้องล็อกดาวน์ทั้งประเทศ โดยการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อเร็วๆนี้ ได้อนุมัติให้อำนาจกระทรวงพลังงานผ่านคณะกรรมการนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณามาตรการที่จำเป็นสำหรับเยียวยาประชาชน ส่วนจะเป็นอย่างไร อยู่ที่สถานการณ์ในขณะนั้น แต่โดยส่วนตัว เชื่อมั่นว่าจะไม่เกิดการขยายผลจนต้องล็อกดาวน์ประเทศเช่นที่ผ่านมา เนื่องจากประชาชนและทุกฝ่ายพร้อมที่จะร่วมมือแก้ไขปัญหามากขึ้น เพราะเคยประสบปัญหามาแล้ว