ผู้จัดการรายวัน 360 - กนง.มีมติเอกฉันท์คงดอกเบี้ยนโยบาย 0.5 % หนุนเศรษฐกิจฟื้นตัวต่อเนื่อง ระบุสถานการณ์โควิด-19 ปัจจุบันยังสามารถควบคุมได้ จากมาตรการที่เตรียมไว้ล่วงหน้ายังรองรับสถานการณ์ได้ 1-2 เดือน พร้อมประเมินเศรษฐกิจปีนี้หดตัว 6.6 % น้อยกว่าคาด และปี 64 ขยายตัว 3.2 % ปี 65 ขยายตัว 4.8 %
นายทิตนันทิ์ มัลลิกะมาส เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยว่า การประชุม กนง.วานนี้ (23 ธ.ค.) มีมติเป็นเอกฉันท์ ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50 % ต่อปี เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่ยังมีความเสี่ยงกับสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิดระลอกใหม่ จึงยังต้องการแรงสนับสนุนจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่อยู่ในระดับต่ำ เพื่อรักษาขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงินที่มีจำกัดเพื่อใช้ในจังหวะที่เหมาะสมและเกิดประสิทธิผลสูงสุด
“ปัจจุบันสถานการณ์โรคระบาด ยังควบคุมได้ กนง.ได้มีการประเมินรองรับไว้ประมาณ 1-2 เดือน และการประชุมครั้งนี้ได้หารือถึงมาตรการต่างๆ ไว้บ้างแล้ว หากสถานการณ์ปานปลาย ซึ่งระยะต่อไปจะต้องติดตามและประเมินผลกระทบอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันและแก้ปัญหาได้เร็วและตรงจุดมากที่สุด"
ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ กังวลต่อสถานการณ์เงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเร็วจากสภาวะเปิดรับความเสี่ยงของนักลงทุน (risk-on sentiment) และแนวโน้มการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ สรอ. จึงเห็นควรให้ติดตามอย่างใกล้ชิดและพิจารณาความจำเป็นของการดำเนินมาตรการที่เหมาะสมเพิ่มเติม รวมถึงผลักดันการสร้างระบบนิเวศใหม่ของอัตราแลกเปลี่ยน (FX ecosystem) อย่างต่อเนื่อง
สำหรับอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยในปีนี้ คาดการณ์จะหดตัว 6.6% ดีกว่าที่ประเมินไว้เดิมจากการบริโภคภาคเอกชนและการส่งออกสินค้าที่ฟื้นตัวดีขึ้น และกลับมาขยายตัว 3.2 % และ 4.8 % ในปี 2564 และ 2565 ตามลำดับ
อย่างไรก็ดี การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยในระยะสั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์และมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิดระลอกใหม่ ขณะที่ในระยะถัดไปขึ้นอยู่กับการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ประสิทธิผลและการกระจายวัคซีนป้องกันโควิด-19 และพัฒนาการของตลาดแรงงานซึ่งยังมีจำนวนผู้ว่างงานและเสมือนว่างงานอยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ การฟื้นตัวที่แตกต่างกันของแต่ละภาคเศรษฐกิจจะส่งผลต่อความยั่งยืนของการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป
ด้านระบบการเงินมีเสถียรภาพ แต่ยังคงมีความเปราะบางในภาคครัวเรือนและธุรกิจ SMEs สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงกลางปี 2564 และจะอยู่ใกล้เคียงกับขอบล่างของกรอบเป้าหมายตลอดช่วงประมาณการ โดยการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในระยะปานกลางยังยึดเหนี่ยวอยู่ในกรอบเป้าหมาย
ส่วนเศรษฐกิจไทยในปี 2564 คาดจะขยายตัวที่3.2 % ลดลงจากการประเมินครั้งก่อน จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ปรับลดลงมาอยู่ที่ 5.5 ล้านคน จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในต่างประเทศที่ยืดเยื้อและรุนแรงกว่าที่คาด ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เปิดรับได้จะจำกัดกว่าที่ประเมินไว้ อีกทั้งการแพร่ระบาดระลอกใหม่ในไทยที่น่าจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มของเศรษฐกิจในระยะถัดไปยังมีความไม่แน่นอนสูง ที่สำคัญได้แก่ สถานการณ์โรคโควิด-19 ในไทยที่อาจรุนแรงขึ้นและลุกลามกว่าที่คาด รวมถึงความไม่แน่นอนของประสิทธิภาพและการกระจายวัคซีนป้องกัน ดังนั้นมาตรการภาครัฐจำเป็นต้องมีความต่อเนื่อง และต้องมีการประสานนโยบายระหว่างหน่วยงาน เพื่อประคับประคองให้เศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวได้อย่างยั่งยืน
นายทิตนันทิ์ มัลลิกะมาส เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยว่า การประชุม กนง.วานนี้ (23 ธ.ค.) มีมติเป็นเอกฉันท์ ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50 % ต่อปี เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่ยังมีความเสี่ยงกับสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิดระลอกใหม่ จึงยังต้องการแรงสนับสนุนจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่อยู่ในระดับต่ำ เพื่อรักษาขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงินที่มีจำกัดเพื่อใช้ในจังหวะที่เหมาะสมและเกิดประสิทธิผลสูงสุด
“ปัจจุบันสถานการณ์โรคระบาด ยังควบคุมได้ กนง.ได้มีการประเมินรองรับไว้ประมาณ 1-2 เดือน และการประชุมครั้งนี้ได้หารือถึงมาตรการต่างๆ ไว้บ้างแล้ว หากสถานการณ์ปานปลาย ซึ่งระยะต่อไปจะต้องติดตามและประเมินผลกระทบอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันและแก้ปัญหาได้เร็วและตรงจุดมากที่สุด"
ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ กังวลต่อสถานการณ์เงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเร็วจากสภาวะเปิดรับความเสี่ยงของนักลงทุน (risk-on sentiment) และแนวโน้มการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ สรอ. จึงเห็นควรให้ติดตามอย่างใกล้ชิดและพิจารณาความจำเป็นของการดำเนินมาตรการที่เหมาะสมเพิ่มเติม รวมถึงผลักดันการสร้างระบบนิเวศใหม่ของอัตราแลกเปลี่ยน (FX ecosystem) อย่างต่อเนื่อง
สำหรับอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยในปีนี้ คาดการณ์จะหดตัว 6.6% ดีกว่าที่ประเมินไว้เดิมจากการบริโภคภาคเอกชนและการส่งออกสินค้าที่ฟื้นตัวดีขึ้น และกลับมาขยายตัว 3.2 % และ 4.8 % ในปี 2564 และ 2565 ตามลำดับ
อย่างไรก็ดี การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยในระยะสั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์และมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิดระลอกใหม่ ขณะที่ในระยะถัดไปขึ้นอยู่กับการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ประสิทธิผลและการกระจายวัคซีนป้องกันโควิด-19 และพัฒนาการของตลาดแรงงานซึ่งยังมีจำนวนผู้ว่างงานและเสมือนว่างงานอยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ การฟื้นตัวที่แตกต่างกันของแต่ละภาคเศรษฐกิจจะส่งผลต่อความยั่งยืนของการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป
ด้านระบบการเงินมีเสถียรภาพ แต่ยังคงมีความเปราะบางในภาคครัวเรือนและธุรกิจ SMEs สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงกลางปี 2564 และจะอยู่ใกล้เคียงกับขอบล่างของกรอบเป้าหมายตลอดช่วงประมาณการ โดยการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในระยะปานกลางยังยึดเหนี่ยวอยู่ในกรอบเป้าหมาย
ส่วนเศรษฐกิจไทยในปี 2564 คาดจะขยายตัวที่3.2 % ลดลงจากการประเมินครั้งก่อน จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ปรับลดลงมาอยู่ที่ 5.5 ล้านคน จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในต่างประเทศที่ยืดเยื้อและรุนแรงกว่าที่คาด ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เปิดรับได้จะจำกัดกว่าที่ประเมินไว้ อีกทั้งการแพร่ระบาดระลอกใหม่ในไทยที่น่าจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มของเศรษฐกิจในระยะถัดไปยังมีความไม่แน่นอนสูง ที่สำคัญได้แก่ สถานการณ์โรคโควิด-19 ในไทยที่อาจรุนแรงขึ้นและลุกลามกว่าที่คาด รวมถึงความไม่แน่นอนของประสิทธิภาพและการกระจายวัคซีนป้องกัน ดังนั้นมาตรการภาครัฐจำเป็นต้องมีความต่อเนื่อง และต้องมีการประสานนโยบายระหว่างหน่วยงาน เพื่อประคับประคองให้เศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวได้อย่างยั่งยืน