ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
อาจารย์ประจำสาขาวิชา Actuarial Science and Risk Management
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
อนุกรรมาธิการติดตามการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข วุฒิสภา
ผมขอเล่าประสบการณ์ตรงและส่วนตัวเรื่องการติดไวรัสจากการชุมนุมทางการเมืองให้ฟังนะครับ และจะขอโยงไปถึงเรื่อง second outbreak ที่จะเกิดจาก COVID-19 ในการชุมนุมวันที่ 19 กันยายนนี้ด้วย
ผมไปอยู่อเมริกามาห้าปีกว่าหกปี เพื่อเรียนปริญญาเอก จนจบแล้วก็อยู่สอนหนังสือต่อเป็น adjunct assistant professor ต่ออีกครึ่งปี ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง โดยรับผิดชอบสอนเด็กปริญญาเอกครับ ใน Business School
ผมกลับมาเมืองไทย หลังจากไม่ได้กลับมาห้าปีครึ่งครับ การไปอยู่เมืองนอกคือสหรัฐอเมริกาห้าปีครึ่งไม่กลับบ้านเลย เมื่อผมไปร่วมชุมนุมทางการเมือง ทำให้ผมป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ อาการหนักปางตายติดกันหกครั้งรวด ติดต่อกันเกือบสองเดือน เพราะพอหายจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ที่หนึ่ง ผมก็กลับไปร่วมชุมนุมด้วย แล้วผมก็ติดไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ที่สองกลับมา ผมก็หยุดไปสักพัก แล้วกลับไปร่วมชุมนุมใหม่
วนลูปไปเช่นนี้จนครบหกครั้ง หกสายพันธุ์ของไข้หวัดใหญ่
หมอถึงกับต้องท้วงว่า ควรหยุดและอยู่บ้าน ไม่ควรไปร่วมชุมนุมอีกแล้ว แต่ผมก็ไม่ฟัง ไปซ้ำแล้วซ้ำอีก จนผมไม่ติดไข้หวัดใหญ่แล้ว เพราะเกิดภูมิคุ้มกันไข้หวัดใหญ่จนครบทุกสายพันธุ์ที่ไม่เคยสัมผัสขณะไปอยู่สหรัฐอเมริกาห้าปีกว่า
ผมไม่ห้ามน้องๆ ไปร่วมชุมนุมครับ เพราะหมอห้ามผมไป ผมก็ไม่เชื่อเหมือนกัน ผมเข้าใจน้องๆ ครับผม
สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวผมเองทำให้ผมยืนยันได้ว่า ในที่ชุมนุมทางการเมืองที่มีคนเป็นหมื่นเป็นแสนคนนั้น เป็นแหล่งรวมและแหล่งแพร่ไวรัสชั้นเอกอุมากมายหลายสายพันธุ์เหลือเกิน
ที่ ศบค. และนายกรัฐมนตรีแถลงว่าให้ระวังว่าวันที่ 19 กันยายนที่จะมีคนมาร่วมชุมนุมกันมากๆ นั้น น่ากลัวจะทำให้เกิดการระบาดรอบสองของโควิด-19 จึงเป็นเรื่องที่มีโอกาสสูงมากและน่าห่วงมากในสายตาผม
ถึงแม้ว่าเราจะไม่มีการค้นพบผู้ติดเชื้อในประเทศมานาน แต่จริงๆ แล้วมีพาหะที่ผ่านการคัดกรองและที่ไม่ผ่านการคัดกรองแล้วไม่แสดงอาการใดๆ เลยสูงมาก คนไข้ที่ไม่แสดงอาการใดๆ แล้วหายได้เองหรือ asymptomatic patients เหล่านี้มีมากเหลือเกิน บางงานวิจัยบอกว่ามากกว่าครึ่ง ไปจนถึง 80%
อย่าลืมว่าในการตรวจเชื้อมีทั้ง false positive หรือผลบวกปลอม (ไม่ติดเชื้อแต่ผลตรวจบอกว่าติด) และมี false negative หรือผลลบปลอม (ตรวจไม่พบเชื้อ แต่แท้จริงแล้วพบการติดเชื้อ) ดังเช่น ที่คนพม่าสองคนกลับจากเมืองไทย ไปเข้าเมืองเมียวดี แล้วเจอว่าติดเชื้อโควิด-19 ทั้งที่ครั้งแรกไม่เจอ
หรือพูดแบบบ้านๆ คนที่ตรวจเจอว่ามีเชื้อไวรัสโควิดเพราะแสดงอาการ แต่จริงอาจจะมีคนติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการแต่แพร่เชื้อเป็นพาหะได้อีก 4 คน (ที่เราไม่รู้เรื่องเลย และเดินปะปนกับเรา)
เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นเมื่อเกือบร้อยปีก่อนในปี 1918 ในเมืองฟิลาเดลเฟีย มีการฝืนจัดขบวนพาเหรดรื่นเริงกันเต็มที่ จนท้ายที่สุดก็เกิดการระบาดของ Spanish flu อย่างหนักมาก และทำให้เกิดการล้มตายไปเป็นจำนวนมาก
นั่นเพราะการชุมนุม(ทางการเมือง) และพาเหรดทำให้ social distancing ไม่ดีเลย คนแน่นและแพร่เชื้อ
ผลการวิจัยชื่อ Public health interventions and epidemic intensity during the 1918 influenza pandemic โดย Richard J. Hatchett, Carter E. Mecher, and Marc Lipsitch ตีพิมพ์ลงใน Proceedings of the National Academy of Sciences of the United States ในเดือน May 1, 2007 ฉบับที่104 (18) หน้าที่7582-7587 สามารถดาวน์โหลดได้ที่ https://doi.org/10.1073/pnas.0610941104 โดยศึกษาสถิติทางระบาดวิทยาและผลของการทิ้งระยะห่างทางสังคมเพื่อตรวจสอบผลของการทิ้งระยะห่างทางสังคมของหลายเมือง (อย่างน้อย 17 เมือง) แล้วพบว่า การทิ้งระยะห่างทางสังคมของเมืองสองเมืองคือคือฟิลาเดลเฟียกับเซนต์หลุยส์ ทำให้อัตราการตายในช่วงนั้นแตกต่างกันมากเหลือเกิน
เมืองฟิลาเดลเฟียจัดงานพาเหรดยิ่งใหญ่คนออกมาร่วมงานสองแสนกว่าคนในขณะที่เกิดไข้หวัดใหญ่สเปนอันเป็นมหาโรคระบาดกำลังระบาดหนักในปี1918 ดังรูปด้านล่างนี้
ในขณะที่เมืองเซนต์หลุยส์ สามารถชะลอการตายจากการระบาดของโรคได้ เรียกว่า flattening the curve ดังรูปด้านล่างนี้
อย่าลืมนะครับว่ารอบแรกของโควิด-19 ในเมืองไทยที่กระจายไปทั่วประเทศมาจากการไปชมมวยที่สนามมวยลุมพินี ที่จัดโดยกรมพลาธิการทหารบก แล้วแฟนมวย เซียนมวยที่เข้ามาชมมวยนี่ก็มาจากทั่วประเทศเหมือนกัน แล้วที่จะมาชุมนุมกันวันที่ 19 กันยายนนี้ ก็มาจากทั่วประเทศเช่นกัน และถ้ามี super spreader เหมือนเวทีมวยลุมพินี ที่ social distancing ไม่ดีก็ระบาดไปทั่วเช่นกัน แม้ความเสี่ยงจะไม่เท่าเพราะอยู่ในพื้นที่เปิด
แต่ถ้าจะบุกรุกธรรมศาสตร์แล้วไปเปิดใช้หอประชุมธรรมศาสตร์กันในการชุมนุม ถ้าเป็นเช่นที่ว่านี้นอกจากจะบุกรุกและทำลายทรัพย์สินทางราชการแล้วยังเพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้โควิด-19 ระบาดได้ง่ายขึ้นด้วย เพราะจะไปรวมกันในพื้นที่ปิด การถ่ายเทของอากาศย่อมไม่ดีเท่ากับกลางแจ้ง (อันนี้เป็นเรื่องสมมุติที่เป็นห่วงครับ)
หะแรกผมห่วงความปลอดภัยของน้องๆ ว่าจะเจองูเห่า กระบอง ระเบิด กระสุน กระสุนยาง ผมจะสวดมนต์ภาวนาให้น้องๆ ทุกคนปลอดภัย แคล้วคลาดจากมือที่สาม
แต่ตอนนี้ผมคิดว่าผมห่วงคนไทยทุกคนที่อาจจะเกิด second outbreak และคุมไม่อยู่จากการชุมนุมทางการเมืองก็เป็นไปได้
อย่าลืมว่า พาเหรด หรือ การชุมนุมทางการเมือง ทำให้ social distancing ถูกละเลย แม้จะใส่หน้ากากอนามัยก็ไม่ปลอดภัยเลย เสี่ยงต่อการระบาดมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมี super spreader หน้ากากอนามัยก็เอาไม่อยู่
หวังว่าจะมีการคัดกรองตรวจอุณหภูมิก่อนเข้าร่วมชุมนุมทุกเส้นทางที่ต้องมีการปิดล้อมให้ดี ไม่ให้เข้าออกในทางที่มิได้กำหนดเพื่อให้มีการคัดกรอง COVID-19 อย่างเข้มงวด มีการแสกน QR-code ผ่านแอปพลิเคชั่นไทยชนะให้ครบถ้วนทุกคนเพื่อแจ้งให้ทราบหากมีการระบาดหรือพบผู้ติดเชื้อในการชุมนุม มีการล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ก่อนเข้าในสถานที่ชุมชนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด มีการกำหนดระยะห่างทางสังคมระหว่างผู้เข้าร่วมชุมนุม ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้จัดการชุมนุมจะได้ระวังเรื่องเหล่านี้หรือไม่ ทำให้อดเป็นห่วงไม่ได้เลยจริงๆ ครับ
ขอให้ทุกคนระมัดระวังให้เต็มที่ครับ ไม่ทำให้เกิดการระบาดหนัก จนสังคมไทยและประเทศไทยเดือดร้อน
อาจารย์ประจำสาขาวิชา Actuarial Science and Risk Management
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
อนุกรรมาธิการติดตามการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข วุฒิสภา
ผมขอเล่าประสบการณ์ตรงและส่วนตัวเรื่องการติดไวรัสจากการชุมนุมทางการเมืองให้ฟังนะครับ และจะขอโยงไปถึงเรื่อง second outbreak ที่จะเกิดจาก COVID-19 ในการชุมนุมวันที่ 19 กันยายนนี้ด้วย
ผมไปอยู่อเมริกามาห้าปีกว่าหกปี เพื่อเรียนปริญญาเอก จนจบแล้วก็อยู่สอนหนังสือต่อเป็น adjunct assistant professor ต่ออีกครึ่งปี ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง โดยรับผิดชอบสอนเด็กปริญญาเอกครับ ใน Business School
ผมกลับมาเมืองไทย หลังจากไม่ได้กลับมาห้าปีครึ่งครับ การไปอยู่เมืองนอกคือสหรัฐอเมริกาห้าปีครึ่งไม่กลับบ้านเลย เมื่อผมไปร่วมชุมนุมทางการเมือง ทำให้ผมป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ อาการหนักปางตายติดกันหกครั้งรวด ติดต่อกันเกือบสองเดือน เพราะพอหายจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ที่หนึ่ง ผมก็กลับไปร่วมชุมนุมด้วย แล้วผมก็ติดไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ที่สองกลับมา ผมก็หยุดไปสักพัก แล้วกลับไปร่วมชุมนุมใหม่
วนลูปไปเช่นนี้จนครบหกครั้ง หกสายพันธุ์ของไข้หวัดใหญ่
หมอถึงกับต้องท้วงว่า ควรหยุดและอยู่บ้าน ไม่ควรไปร่วมชุมนุมอีกแล้ว แต่ผมก็ไม่ฟัง ไปซ้ำแล้วซ้ำอีก จนผมไม่ติดไข้หวัดใหญ่แล้ว เพราะเกิดภูมิคุ้มกันไข้หวัดใหญ่จนครบทุกสายพันธุ์ที่ไม่เคยสัมผัสขณะไปอยู่สหรัฐอเมริกาห้าปีกว่า
ผมไม่ห้ามน้องๆ ไปร่วมชุมนุมครับ เพราะหมอห้ามผมไป ผมก็ไม่เชื่อเหมือนกัน ผมเข้าใจน้องๆ ครับผม
สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวผมเองทำให้ผมยืนยันได้ว่า ในที่ชุมนุมทางการเมืองที่มีคนเป็นหมื่นเป็นแสนคนนั้น เป็นแหล่งรวมและแหล่งแพร่ไวรัสชั้นเอกอุมากมายหลายสายพันธุ์เหลือเกิน
ที่ ศบค. และนายกรัฐมนตรีแถลงว่าให้ระวังว่าวันที่ 19 กันยายนที่จะมีคนมาร่วมชุมนุมกันมากๆ นั้น น่ากลัวจะทำให้เกิดการระบาดรอบสองของโควิด-19 จึงเป็นเรื่องที่มีโอกาสสูงมากและน่าห่วงมากในสายตาผม
ถึงแม้ว่าเราจะไม่มีการค้นพบผู้ติดเชื้อในประเทศมานาน แต่จริงๆ แล้วมีพาหะที่ผ่านการคัดกรองและที่ไม่ผ่านการคัดกรองแล้วไม่แสดงอาการใดๆ เลยสูงมาก คนไข้ที่ไม่แสดงอาการใดๆ แล้วหายได้เองหรือ asymptomatic patients เหล่านี้มีมากเหลือเกิน บางงานวิจัยบอกว่ามากกว่าครึ่ง ไปจนถึง 80%
อย่าลืมว่าในการตรวจเชื้อมีทั้ง false positive หรือผลบวกปลอม (ไม่ติดเชื้อแต่ผลตรวจบอกว่าติด) และมี false negative หรือผลลบปลอม (ตรวจไม่พบเชื้อ แต่แท้จริงแล้วพบการติดเชื้อ) ดังเช่น ที่คนพม่าสองคนกลับจากเมืองไทย ไปเข้าเมืองเมียวดี แล้วเจอว่าติดเชื้อโควิด-19 ทั้งที่ครั้งแรกไม่เจอ
หรือพูดแบบบ้านๆ คนที่ตรวจเจอว่ามีเชื้อไวรัสโควิดเพราะแสดงอาการ แต่จริงอาจจะมีคนติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการแต่แพร่เชื้อเป็นพาหะได้อีก 4 คน (ที่เราไม่รู้เรื่องเลย และเดินปะปนกับเรา)
เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นเมื่อเกือบร้อยปีก่อนในปี 1918 ในเมืองฟิลาเดลเฟีย มีการฝืนจัดขบวนพาเหรดรื่นเริงกันเต็มที่ จนท้ายที่สุดก็เกิดการระบาดของ Spanish flu อย่างหนักมาก และทำให้เกิดการล้มตายไปเป็นจำนวนมาก
นั่นเพราะการชุมนุม(ทางการเมือง) และพาเหรดทำให้ social distancing ไม่ดีเลย คนแน่นและแพร่เชื้อ
ผลการวิจัยชื่อ Public health interventions and epidemic intensity during the 1918 influenza pandemic โดย Richard J. Hatchett, Carter E. Mecher, and Marc Lipsitch ตีพิมพ์ลงใน Proceedings of the National Academy of Sciences of the United States ในเดือน May 1, 2007 ฉบับที่104 (18) หน้าที่7582-7587 สามารถดาวน์โหลดได้ที่ https://doi.org/10.1073/pnas.0610941104 โดยศึกษาสถิติทางระบาดวิทยาและผลของการทิ้งระยะห่างทางสังคมเพื่อตรวจสอบผลของการทิ้งระยะห่างทางสังคมของหลายเมือง (อย่างน้อย 17 เมือง) แล้วพบว่า การทิ้งระยะห่างทางสังคมของเมืองสองเมืองคือคือฟิลาเดลเฟียกับเซนต์หลุยส์ ทำให้อัตราการตายในช่วงนั้นแตกต่างกันมากเหลือเกิน
เมืองฟิลาเดลเฟียจัดงานพาเหรดยิ่งใหญ่คนออกมาร่วมงานสองแสนกว่าคนในขณะที่เกิดไข้หวัดใหญ่สเปนอันเป็นมหาโรคระบาดกำลังระบาดหนักในปี1918 ดังรูปด้านล่างนี้
ในขณะที่เมืองเซนต์หลุยส์ สามารถชะลอการตายจากการระบาดของโรคได้ เรียกว่า flattening the curve ดังรูปด้านล่างนี้
อย่าลืมนะครับว่ารอบแรกของโควิด-19 ในเมืองไทยที่กระจายไปทั่วประเทศมาจากการไปชมมวยที่สนามมวยลุมพินี ที่จัดโดยกรมพลาธิการทหารบก แล้วแฟนมวย เซียนมวยที่เข้ามาชมมวยนี่ก็มาจากทั่วประเทศเหมือนกัน แล้วที่จะมาชุมนุมกันวันที่ 19 กันยายนนี้ ก็มาจากทั่วประเทศเช่นกัน และถ้ามี super spreader เหมือนเวทีมวยลุมพินี ที่ social distancing ไม่ดีก็ระบาดไปทั่วเช่นกัน แม้ความเสี่ยงจะไม่เท่าเพราะอยู่ในพื้นที่เปิด
แต่ถ้าจะบุกรุกธรรมศาสตร์แล้วไปเปิดใช้หอประชุมธรรมศาสตร์กันในการชุมนุม ถ้าเป็นเช่นที่ว่านี้นอกจากจะบุกรุกและทำลายทรัพย์สินทางราชการแล้วยังเพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้โควิด-19 ระบาดได้ง่ายขึ้นด้วย เพราะจะไปรวมกันในพื้นที่ปิด การถ่ายเทของอากาศย่อมไม่ดีเท่ากับกลางแจ้ง (อันนี้เป็นเรื่องสมมุติที่เป็นห่วงครับ)
หะแรกผมห่วงความปลอดภัยของน้องๆ ว่าจะเจองูเห่า กระบอง ระเบิด กระสุน กระสุนยาง ผมจะสวดมนต์ภาวนาให้น้องๆ ทุกคนปลอดภัย แคล้วคลาดจากมือที่สาม
แต่ตอนนี้ผมคิดว่าผมห่วงคนไทยทุกคนที่อาจจะเกิด second outbreak และคุมไม่อยู่จากการชุมนุมทางการเมืองก็เป็นไปได้
อย่าลืมว่า พาเหรด หรือ การชุมนุมทางการเมือง ทำให้ social distancing ถูกละเลย แม้จะใส่หน้ากากอนามัยก็ไม่ปลอดภัยเลย เสี่ยงต่อการระบาดมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมี super spreader หน้ากากอนามัยก็เอาไม่อยู่
หวังว่าจะมีการคัดกรองตรวจอุณหภูมิก่อนเข้าร่วมชุมนุมทุกเส้นทางที่ต้องมีการปิดล้อมให้ดี ไม่ให้เข้าออกในทางที่มิได้กำหนดเพื่อให้มีการคัดกรอง COVID-19 อย่างเข้มงวด มีการแสกน QR-code ผ่านแอปพลิเคชั่นไทยชนะให้ครบถ้วนทุกคนเพื่อแจ้งให้ทราบหากมีการระบาดหรือพบผู้ติดเชื้อในการชุมนุม มีการล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ก่อนเข้าในสถานที่ชุมชนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด มีการกำหนดระยะห่างทางสังคมระหว่างผู้เข้าร่วมชุมนุม ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้จัดการชุมนุมจะได้ระวังเรื่องเหล่านี้หรือไม่ ทำให้อดเป็นห่วงไม่ได้เลยจริงๆ ครับ
ขอให้ทุกคนระมัดระวังให้เต็มที่ครับ ไม่ทำให้เกิดการระบาดหนัก จนสังคมไทยและประเทศไทยเดือดร้อน