"บิ๊กลือ" มอบให้คณะกรรมการโครงการเรือดำน้ำคุย “จีน” ขอคง “ราคา-ออปชั่นเดิม” เรือดำน้ำลำที่ 2-3 ยันไม่มีการลงนามก่อน
วานนี้ (3 ก.ย.) มีรายงานว่า พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ได้มอบหมาย คณะกรรมการบริหารโครงการจัดหาเรือดำน้ำ ไปพูดคุยกับทางการจีน หลังกองทัพเรือไทยได้ขอเลื่อนการจัดซื้อเรือดำน้ำ ลำที่ 2 และ 3 ออกไปอีกหนึ่งปี ซึ่งเป็นการเลื่อนครั้งที่ 2 โดยในปีงบประมาณ 2563 ได้นำงบประมาณส่วนนี้ ไปช่วยแก้วิกฤตการณ์โควิด-19
ทั้งนี้ ประเด็นที่กองทัพเรือจะไปพูดคุยทางจีนคือ การคงข้อตกลงเดิมในเรื่องของวงเงินในการจัดหาเรือดำน้ำ 2 ลำ มูลค่า 22,500 ล้านบาท พร้อมอุปกรณ์ติดตั้งเพิ่มเติม และระบบอาวุธ 2,100 ล้านบาท ที่ทางจีนมอบให้ไทยโดยไม่คิดมูลค่า ซึ่งการพูดคุยในขณะนี้มีข้อจำกัดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จึงทำให้อยู่ระหว่างการพิจารณาช่องการในการเจรจา ว่าจะใช้วิธีใด ระหว่างทางออนไลน์ หรือการพบปะกันโดยตรง
"กองทัพเรือเห็นว่า การที่คณะของสองชาติได้พูดคุย และพบหน้ากันโดยตรง เป็นหลักการโดยทั่วไปในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพเรือที่มีความใกล้ชิดกัน อย่างไรก็ตาม ในการพบปะครั้งนี้จะไม่มีการลงนามในสัญญาแต่อย่างใด เนื่องจากยังไม่มีกรอบวงเงินงบประมาณที่ได้รับการอนุมัติจากสภาฯ ซึ่งต้องรอการพิจารณาในปีถัดไป" แหล่งข่าว ระบุ
วานนี้ (3 ก.ย.) มีรายงานว่า พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ได้มอบหมาย คณะกรรมการบริหารโครงการจัดหาเรือดำน้ำ ไปพูดคุยกับทางการจีน หลังกองทัพเรือไทยได้ขอเลื่อนการจัดซื้อเรือดำน้ำ ลำที่ 2 และ 3 ออกไปอีกหนึ่งปี ซึ่งเป็นการเลื่อนครั้งที่ 2 โดยในปีงบประมาณ 2563 ได้นำงบประมาณส่วนนี้ ไปช่วยแก้วิกฤตการณ์โควิด-19
ทั้งนี้ ประเด็นที่กองทัพเรือจะไปพูดคุยทางจีนคือ การคงข้อตกลงเดิมในเรื่องของวงเงินในการจัดหาเรือดำน้ำ 2 ลำ มูลค่า 22,500 ล้านบาท พร้อมอุปกรณ์ติดตั้งเพิ่มเติม และระบบอาวุธ 2,100 ล้านบาท ที่ทางจีนมอบให้ไทยโดยไม่คิดมูลค่า ซึ่งการพูดคุยในขณะนี้มีข้อจำกัดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จึงทำให้อยู่ระหว่างการพิจารณาช่องการในการเจรจา ว่าจะใช้วิธีใด ระหว่างทางออนไลน์ หรือการพบปะกันโดยตรง
"กองทัพเรือเห็นว่า การที่คณะของสองชาติได้พูดคุย และพบหน้ากันโดยตรง เป็นหลักการโดยทั่วไปในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพเรือที่มีความใกล้ชิดกัน อย่างไรก็ตาม ในการพบปะครั้งนี้จะไม่มีการลงนามในสัญญาแต่อย่างใด เนื่องจากยังไม่มีกรอบวงเงินงบประมาณที่ได้รับการอนุมัติจากสภาฯ ซึ่งต้องรอการพิจารณาในปีถัดไป" แหล่งข่าว ระบุ