ผู้จัดการรายวัน360-นายกฯ ลงพื้นที่ จ.ระยอง ตรวจเยี่ยมจุดคัดกรองผู้โดยสารที่สนามบินอู่ตะเภา เปิดด่านมอเตอร์เวย์พัทยา–มาบตาพุด เพิ่มศักยภาพ ขยายการค้า การลงทุน พร้อมพบผู้ประกอบการท่องเที่ยวที่ตลาด 100 เสา เจอ "ไมค์ ระยอง" แกนนำปลดแอกถือป้ายประท้วงโครงการถมทะเล 1 พันไร่ "บิ๊กป้อม"ติดตามการบริหารจัดการน้ำ พื้นที่อีอีซี ย้ำต้องแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำอย่างยั่งยืน
วานนี้ (24 ส.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม พร้อมด้วย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย และคณะ ลงพื้นที่ จ.ระยอง เพื่อตรวจราชการ และติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลในโครงการต่างๆ
โดยนายกฯ ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (EOC) กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา อ.บ้านฉาง จ.ระยอง ก่อนตรวจเยี่ยมจุดคัดกรองผู้โดยสาร ณ อาคารผู้โดยสารแห่งที่ 2 โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข พร้อมด้วยนายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข ให้การต้อนรับ และพาตรวจเยี่ยมสถานที่
ทั้งนี้ ก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะเดินทางออกจากสนามบินอู่ตะเภา ได้มีชาว จ.ระยอง ประมาณ 10 คน ยืนส่งเสียงร้องนายกฯ สู้ๆ พร้อมมอบดอกกุหลาบสีเหลืองให้เป็นกำลังใจ โดยมีการชูป้ายข้อความ ว่า ขอบคุณนายกฯ ที่เสียสละปกป้องชาติและประชาชนให้อยู่รอดปลอดภัย แก้ปัญหาเศรษฐกิจก่อนแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งนายกฯ บอกว่าขอบคุณชาวระยองที่มาให้กำลังใจ เราทุกคนถือเป็นคนไทยด้วยกัน ต้องช่วยกัน ไม่เช่นนั้นประเทศไปไม่รอด
จากนั้น นายกฯ และคณะเดินทางไปที่ด่านเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางอู่ตะเภา อ.บ้านฉาง จ.ระยอง เพื่อเป็นประธานพิธีเปิดการให้บริการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง หมายเลข 7 สายกรุงเทพฯ–บ้านฉาง ส่วนต่อขยายช่วงพัทยา–มาบตาพุด โดยนายกฯ ได้ทำพิธีกดปุ่มเปิดด่านมอเตอร์เวย์พัทยา –มาบตาพุด ขาเข้า และมีการปล่อยขบวนรถยนต์ จำนวน 100 คันแรก เข้ากรุงเทพฯ
นายกฯ กล่าวว่า เส้นทางสายนี้ เป็นทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายประวัติศาสตร์สายแรกของประเทศไทยที่เชื่อมโยงระบบการคมนาคมขนส่ง ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ ตลอดจนเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยว เขตส่งเสริมอุตสาหกรรม เขตพื้นที่ผลิตสินค้าการเกษตร และสินค้าประมงของประเทศ ซึ่งเป็นเส้นทางหลักที่มีความสำคัญต่อระบบคมนาคมขนส่งระหว่างภาคกลาง และภาคตะวันออก โดยเฉพาะภาคการส่งออกที่จะสามารถเชื่อมโยงไปสู่ประตูการค้าระหว่างประเทศ และยังพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจของภาคตะวันออกไปสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจการคมนาคมขนส่งของประเทศและภูมิภาคอาเซียน และพัฒนาทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์สำคัญ ที่จะสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
ต่อมานายกฯ และคณะ ไปเยี่ยมชมตลาดสินค้าครบวงจรเทศบาลบ้านเพ (ตลาด 100 เสา) ต.บ้านเพ อ.เมืองฯ จ.ระยอง พร้อมพบปะชาวระยองและตัวแทนผู้ประกอบการการท่องเที่ยว จ.ระยอง ระหว่างนั้น ปรากฏว่า นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ระยอง หนึ่งในแกนนำคณะประชาชนปลดแอก ได้มาถือป้าย ข้อความว่า "ถมทะเล 1,000 ไร่ ชาวระยองได้อะไร" โดยกล่าวว่า ต้องการให้นายกฯ ตอบคำถามด้วยว่า ถมทะเล 1,000 ไร่ แล้วชาวระยองได้อะไร รวมถึงการทำอีไอเอได้อย่างไร และทำโดยคนกลุ่มไหน ทำไมคนระยองถึงไม่รู้เรื่อง ดังนั้น จึงขอเรียกร้องให้ทำอีไอเอใหม่ และขอทวงถามเรื่องการถมทะเลด้วยว่า การอนุมัติดังกล่าวจะทบทวนได้หรือไม่
ขณะที่นายภาณุพงศ์ ได้ชูป้ายอยู่นั้น มีเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบ พยายามเข้าชี้แจงถึงกรณีที่มีหมายจับนายภาณุพงศ์ ดังนั้น จึงขออ่านหมายจับ และเข้าจับกุมตัว ซึ่งนายภาณุพงศ์ พยายามขัดขืน แต่ก็ได้รับทราบหมายจับดังกล่าว พร้อมกับยืนยันว่า ตนมาในฐานะคนระยอง มาทวงถามโครงการถมทะเลเพียงเรื่องเดียว ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองแต่อย่างใด จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำตัวนายภาณุพงศ์ ขึ้นรถตู้ไปที่ สภ.เพ ท่ามกลางเสียงประชาชนตะโกนว่า "ไมค์สู้ๆ" โดยก่อนที่ประตูรถจะปิดนายภาณุพงศ์ ได้ชูสามนิ้ว และตะโกนว่า"ตำรวจอุ้มประชาชน"
จากนั้น นายกฯ ได้ไปเยี่ยมชมวิถีกลุ่มประมงเรือเล็กพื้นบ้านสวนสน-แกลง 1 และตรวจเยี่ยมการส่งเสริมอาชีพประมง การแปรรูปอาหารทะเล และการฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์ทะเล และโครงการธนาคารปู และได้ร่วมประกอบอาหารทำเมนูยำสัมพันธ์ 5 สหาย โดยระบุถึงการแก้ไขปัญหาประมงพื้นบ้าน ว่า กำลังแก้ปัญหาให้อยู่ แต่ทุกอย่างจะเริ่มต้นด้วยการทะเลาะเบาะแว้งไม่ได้ มีหลายเรื่องที่ต้องดูแล ทั้งเรื่องเรือประมง และเรือพาณิชย์ และยังได้ร่วมปล่อยแม่พันธุ์ปูม้าลงสู่ทะเลด้วย พร้อมกล่าวว่า อย่าไปซื้อปูที่มีไข่มากินนะ ให้เขาได้แพร่พันธุ์ พร้อมคุยกับแม่ปูว่า เจริญเติบโตนะ ขออโหสิกรรม กินไปเยอะแล้ว โดยก่อนกลับ ชาวบ้านได้ตะโกน สู้ สู้ และบอกกี่สมัย เลือกตั้งกี่ที กี่หน ก็จะเลือกนายกฯ คนนี้ คนเดียว ทำให้พล.อ.ประยุทธ์ ต้องรีบห้ามโดยกล่าวว่า “ขอบคุณๆ แต่อย่าเพิ่งเลือกตอนนี้
ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) และนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมช.แรงงาน พร้อมคณะ ได้เดินทางลงพื้นที่ จ.ระยอง เพื่อร่วมรับฟังการบริหารราชการ และติดตามความคืบหน้าการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก ณ ศาลากลางจังหวัดระยอง
พล.อ.ประวิตร ได้ขอบคุณทุกส่วนราชการที่ร่วมกันดูแลพัฒนาเศรษฐกิจ และความมั่นคงในพื้นที่ที่ผ่านมา โดยย้ำถึงความสำคัญของ จ.ระยอง ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม การเกษตร และการบริการของภาคตะวันออก ที่ต้องบริหารจัดการและการจัดระเบียบสังคมควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อมร่วมกันไปอย่างสมดุล ทั้งนี้ ได้กำชับให้มีมาตรการ และตัวชี้วัดที่เป็นรูปธรรมในการแก้ปัญหายาเสพติด แรงงานต่างด้าว และการค้ามนุษย์ในแรงงานภาคอุตสาหกรรมและภาคประมง ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญในพื้นที่
จากนั้น พล.อ.ประวิตร ได้เดินทางไปติดตามการบริหารจัดการน้ำเพื่อความมั่นคง ณ อ่างเก็บน้ำดอกกราย อ.ปลวกแดง ซึ่งในภาพรวม มีความคืบหน้าไปมาก และได้กำชับให้ สทนช. และกรมชลประทาน ร่วมกันพัฒนาสร้างความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ให้เป็นไปตามแผน และขอให้บูรณาการรองรับการขาดแคลนน้ำของกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกในฤดูแล้งควบคู่กันไปในภาพรวม โดยเฉพาะกับ 3 อำเภอ ประกอบด้วย อ.เมืองฯ อ.บ้านค่าย และ อ.ปลวกแดง ที่ประสบทั้งปัญหาภัยแล้ง และอุทกภัยในแต่ละปี
พล.อ.ประวิตร ยังได้ย้ำการแก้ปัญหาความเสี่ยงขาดแคลนน้ำภาคตะวันออก โดยขอให้เตรียมมาตรการระยะเร่งด่วน ช่วยกระจายแบ่งปันน้ำให้ทั่วถึงทั้งภาคเกษตร และภาคอุตสาหกรรม โดยให้ระบายน้ำและผันน้ำระหว่างแหล่งน้ำต่างๆ เพื่อช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำ เช่น จากอ่างเก็บน้ำคลองหลวง ไปยังอ่างเก็บน้ำบางพระ จากอ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ และแม่น้ำระยองไปยังอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล รวมทั้งการพิจารณานำน้ำจากคลองหู มาใช้ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด
สำหรับมาตรการระยะยาว ขอให้ปรับปรุงฝายบ้านวังใหม่ จ.จันทบุรี และระบบท่อส่งน้ำและระบบชลประทาน ให้สามารถรองรับการสูบผันน้ำกลับจากพื้นที่น้ำมากไปยังพื้นที่น้ำน้อย โดยพยายามไม่ให้น้ำไหลลงทะเลอย่างสูญเปล่า รวมทั้งให้เพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักน้ำ ทั้งใน จ.จันทบุรี จ.ระยอง จ.ชลบุรี และ จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อลดความเสี่ยงของปัญหาการขาดแคลนน้ำ
วานนี้ (24 ส.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม พร้อมด้วย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย และคณะ ลงพื้นที่ จ.ระยอง เพื่อตรวจราชการ และติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลในโครงการต่างๆ
โดยนายกฯ ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (EOC) กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา อ.บ้านฉาง จ.ระยอง ก่อนตรวจเยี่ยมจุดคัดกรองผู้โดยสาร ณ อาคารผู้โดยสารแห่งที่ 2 โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข พร้อมด้วยนายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข ให้การต้อนรับ และพาตรวจเยี่ยมสถานที่
ทั้งนี้ ก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะเดินทางออกจากสนามบินอู่ตะเภา ได้มีชาว จ.ระยอง ประมาณ 10 คน ยืนส่งเสียงร้องนายกฯ สู้ๆ พร้อมมอบดอกกุหลาบสีเหลืองให้เป็นกำลังใจ โดยมีการชูป้ายข้อความ ว่า ขอบคุณนายกฯ ที่เสียสละปกป้องชาติและประชาชนให้อยู่รอดปลอดภัย แก้ปัญหาเศรษฐกิจก่อนแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งนายกฯ บอกว่าขอบคุณชาวระยองที่มาให้กำลังใจ เราทุกคนถือเป็นคนไทยด้วยกัน ต้องช่วยกัน ไม่เช่นนั้นประเทศไปไม่รอด
จากนั้น นายกฯ และคณะเดินทางไปที่ด่านเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางอู่ตะเภา อ.บ้านฉาง จ.ระยอง เพื่อเป็นประธานพิธีเปิดการให้บริการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง หมายเลข 7 สายกรุงเทพฯ–บ้านฉาง ส่วนต่อขยายช่วงพัทยา–มาบตาพุด โดยนายกฯ ได้ทำพิธีกดปุ่มเปิดด่านมอเตอร์เวย์พัทยา –มาบตาพุด ขาเข้า และมีการปล่อยขบวนรถยนต์ จำนวน 100 คันแรก เข้ากรุงเทพฯ
นายกฯ กล่าวว่า เส้นทางสายนี้ เป็นทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายประวัติศาสตร์สายแรกของประเทศไทยที่เชื่อมโยงระบบการคมนาคมขนส่ง ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ ตลอดจนเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยว เขตส่งเสริมอุตสาหกรรม เขตพื้นที่ผลิตสินค้าการเกษตร และสินค้าประมงของประเทศ ซึ่งเป็นเส้นทางหลักที่มีความสำคัญต่อระบบคมนาคมขนส่งระหว่างภาคกลาง และภาคตะวันออก โดยเฉพาะภาคการส่งออกที่จะสามารถเชื่อมโยงไปสู่ประตูการค้าระหว่างประเทศ และยังพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจของภาคตะวันออกไปสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจการคมนาคมขนส่งของประเทศและภูมิภาคอาเซียน และพัฒนาทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์สำคัญ ที่จะสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
ต่อมานายกฯ และคณะ ไปเยี่ยมชมตลาดสินค้าครบวงจรเทศบาลบ้านเพ (ตลาด 100 เสา) ต.บ้านเพ อ.เมืองฯ จ.ระยอง พร้อมพบปะชาวระยองและตัวแทนผู้ประกอบการการท่องเที่ยว จ.ระยอง ระหว่างนั้น ปรากฏว่า นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ระยอง หนึ่งในแกนนำคณะประชาชนปลดแอก ได้มาถือป้าย ข้อความว่า "ถมทะเล 1,000 ไร่ ชาวระยองได้อะไร" โดยกล่าวว่า ต้องการให้นายกฯ ตอบคำถามด้วยว่า ถมทะเล 1,000 ไร่ แล้วชาวระยองได้อะไร รวมถึงการทำอีไอเอได้อย่างไร และทำโดยคนกลุ่มไหน ทำไมคนระยองถึงไม่รู้เรื่อง ดังนั้น จึงขอเรียกร้องให้ทำอีไอเอใหม่ และขอทวงถามเรื่องการถมทะเลด้วยว่า การอนุมัติดังกล่าวจะทบทวนได้หรือไม่
ขณะที่นายภาณุพงศ์ ได้ชูป้ายอยู่นั้น มีเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบ พยายามเข้าชี้แจงถึงกรณีที่มีหมายจับนายภาณุพงศ์ ดังนั้น จึงขออ่านหมายจับ และเข้าจับกุมตัว ซึ่งนายภาณุพงศ์ พยายามขัดขืน แต่ก็ได้รับทราบหมายจับดังกล่าว พร้อมกับยืนยันว่า ตนมาในฐานะคนระยอง มาทวงถามโครงการถมทะเลเพียงเรื่องเดียว ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองแต่อย่างใด จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำตัวนายภาณุพงศ์ ขึ้นรถตู้ไปที่ สภ.เพ ท่ามกลางเสียงประชาชนตะโกนว่า "ไมค์สู้ๆ" โดยก่อนที่ประตูรถจะปิดนายภาณุพงศ์ ได้ชูสามนิ้ว และตะโกนว่า"ตำรวจอุ้มประชาชน"
จากนั้น นายกฯ ได้ไปเยี่ยมชมวิถีกลุ่มประมงเรือเล็กพื้นบ้านสวนสน-แกลง 1 และตรวจเยี่ยมการส่งเสริมอาชีพประมง การแปรรูปอาหารทะเล และการฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์ทะเล และโครงการธนาคารปู และได้ร่วมประกอบอาหารทำเมนูยำสัมพันธ์ 5 สหาย โดยระบุถึงการแก้ไขปัญหาประมงพื้นบ้าน ว่า กำลังแก้ปัญหาให้อยู่ แต่ทุกอย่างจะเริ่มต้นด้วยการทะเลาะเบาะแว้งไม่ได้ มีหลายเรื่องที่ต้องดูแล ทั้งเรื่องเรือประมง และเรือพาณิชย์ และยังได้ร่วมปล่อยแม่พันธุ์ปูม้าลงสู่ทะเลด้วย พร้อมกล่าวว่า อย่าไปซื้อปูที่มีไข่มากินนะ ให้เขาได้แพร่พันธุ์ พร้อมคุยกับแม่ปูว่า เจริญเติบโตนะ ขออโหสิกรรม กินไปเยอะแล้ว โดยก่อนกลับ ชาวบ้านได้ตะโกน สู้ สู้ และบอกกี่สมัย เลือกตั้งกี่ที กี่หน ก็จะเลือกนายกฯ คนนี้ คนเดียว ทำให้พล.อ.ประยุทธ์ ต้องรีบห้ามโดยกล่าวว่า “ขอบคุณๆ แต่อย่าเพิ่งเลือกตอนนี้
ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) และนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมช.แรงงาน พร้อมคณะ ได้เดินทางลงพื้นที่ จ.ระยอง เพื่อร่วมรับฟังการบริหารราชการ และติดตามความคืบหน้าการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก ณ ศาลากลางจังหวัดระยอง
พล.อ.ประวิตร ได้ขอบคุณทุกส่วนราชการที่ร่วมกันดูแลพัฒนาเศรษฐกิจ และความมั่นคงในพื้นที่ที่ผ่านมา โดยย้ำถึงความสำคัญของ จ.ระยอง ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม การเกษตร และการบริการของภาคตะวันออก ที่ต้องบริหารจัดการและการจัดระเบียบสังคมควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อมร่วมกันไปอย่างสมดุล ทั้งนี้ ได้กำชับให้มีมาตรการ และตัวชี้วัดที่เป็นรูปธรรมในการแก้ปัญหายาเสพติด แรงงานต่างด้าว และการค้ามนุษย์ในแรงงานภาคอุตสาหกรรมและภาคประมง ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญในพื้นที่
จากนั้น พล.อ.ประวิตร ได้เดินทางไปติดตามการบริหารจัดการน้ำเพื่อความมั่นคง ณ อ่างเก็บน้ำดอกกราย อ.ปลวกแดง ซึ่งในภาพรวม มีความคืบหน้าไปมาก และได้กำชับให้ สทนช. และกรมชลประทาน ร่วมกันพัฒนาสร้างความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ให้เป็นไปตามแผน และขอให้บูรณาการรองรับการขาดแคลนน้ำของกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกในฤดูแล้งควบคู่กันไปในภาพรวม โดยเฉพาะกับ 3 อำเภอ ประกอบด้วย อ.เมืองฯ อ.บ้านค่าย และ อ.ปลวกแดง ที่ประสบทั้งปัญหาภัยแล้ง และอุทกภัยในแต่ละปี
พล.อ.ประวิตร ยังได้ย้ำการแก้ปัญหาความเสี่ยงขาดแคลนน้ำภาคตะวันออก โดยขอให้เตรียมมาตรการระยะเร่งด่วน ช่วยกระจายแบ่งปันน้ำให้ทั่วถึงทั้งภาคเกษตร และภาคอุตสาหกรรม โดยให้ระบายน้ำและผันน้ำระหว่างแหล่งน้ำต่างๆ เพื่อช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำ เช่น จากอ่างเก็บน้ำคลองหลวง ไปยังอ่างเก็บน้ำบางพระ จากอ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ และแม่น้ำระยองไปยังอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล รวมทั้งการพิจารณานำน้ำจากคลองหู มาใช้ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด
สำหรับมาตรการระยะยาว ขอให้ปรับปรุงฝายบ้านวังใหม่ จ.จันทบุรี และระบบท่อส่งน้ำและระบบชลประทาน ให้สามารถรองรับการสูบผันน้ำกลับจากพื้นที่น้ำมากไปยังพื้นที่น้ำน้อย โดยพยายามไม่ให้น้ำไหลลงทะเลอย่างสูญเปล่า รวมทั้งให้เพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักน้ำ ทั้งใน จ.จันทบุรี จ.ระยอง จ.ชลบุรี และ จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อลดความเสี่ยงของปัญหาการขาดแคลนน้ำ