บีโอไอเผยยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนช่วง 6 เดือนแรกปี 2563 รวม 754 โครงการเพิ่มขึ้น 7% มูลค่าเงินลงทุน 158,890 ล้านบาท อุตสาหกรรมเป้าหมายยังมาแรงโดยเฉพาะอุตฯการแพทย์มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริม 52 รายเพิ่มขึ้น 174%
วานนี้ (6 ส.ค.) น.ส.ดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ภาวะการส่งเสริมการลงทุนช่วง 6 เดือนของปี 2563 (ม.ค.-มิ.ย.) มียอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนรวมทั้งสิ้น 754 โครงการ เพิ่มขึ้น 7 %เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวน 703 โครงการ ขณะที่มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 158,890 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน17% ซึ่งมีมูลค่ารวม 190,330 ล้านบาท ทั้งนี้เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และในช่วงเดียวกันของปี 2562 มีโครงการขนาดใหญ่ด้านพลังงานไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวลยื่นขอรับการส่งเสริม แต่มีแนวโน้มดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสแรกของปีนี้
สำหรับยอดขอรับการส่งเสริมส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย จำนวน 371 โครงการ มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 83,140 ล้านบาท คิดเป็น 52% ของมูลค่าคำขอรับการส่งเสริมทั้งหมด โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการแพทย์ ที่มีการยื่นขอรับการส่งเสริมเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดทั้งจำนวนโครงการและเงินลงทุน โดยมีการยื่นขอรับการส่งเสริมรวม 52 โครงการ เพิ่มขึ้น 174% มูลค่าเงินลงทุนรวม 13,070 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 123% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งเป็นผลจากมาตรการเร่งรัดการลงทุนที่บอร์ดบีโอไอเห็นชอบมาตรการเมื่อเม.ย.ที่ผ่านมาเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น
สำหรับยอดขอรับการส่งเสริมในช่วง 6 เดือนของปี 2563 จำแนกตามอุตสาหกรรมเป้าหมาย อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเงินลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ มูลค่า 28,250 ล้านบาท ตามด้วยอุตสาหกรรมเกษตรและแปรรูปอาหาร มูลค่า 15,300 ล้านบาท อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน มูลค่า 13,510 ล้านบาท อุตสาหกรรมการแพทย์ 13,070 ล้านบาท และอุตสาหกรรมปิโตรและเคมีภัณฑ์ 4,380 ล้านบาท
ด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในช่วง 6 เดือน มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริม จำนวน 459 โครงการ เพิ่มขึ้น 5% มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 75,902 ล้านบาท ลดลง 34%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยประเทศญี่ปุ่น มีจำนวนโครงการและมูลค่าเงินลงทุนที่ยื่นขอรับการส่งเสริมมากที่สุด จำนวน 99 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนสูงสุดอยู่ที่ 22,636 ล้านบาท คิดเป็น 30%ของมูลค่าเงินลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมด ตามด้วยจีน จำนวน 95 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 17,461 ล้านบาท และสิงคโปร์ จำนวน 55 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 10,624 ล้านบาท
ทั้งนี้ จากสถิติภาวะการส่งเสริมการลงทุนช่วง 6 เดือนของปีนี้ เป็นที่น่าสนใจว่ามีนักลงทุนรายใหม่ ให้ความสนใจขอรับการส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง แม้จะอยู่ภายใต้สถานการณ์ไม่ปกติ โดยพบว่าเป็นการยื่นขอรับการส่งเสริมในโครงการใหม่ถึง 366 โครงการ คิดเป็น 49% ของจำนวนคำขอรับการส่งเสริมทั้งหมด มีเงินลงทุนรวม 42,520 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 27 ของเงินลงทุนทั้งหมด นอกจากนี้ คำขอรับการส่งเสริมในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ เป็นการลงทุนในพื้นที่อีอีซี จำนวนทั้งหมด 225 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 85,480 ล้านบาท
วานนี้ (6 ส.ค.) น.ส.ดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ภาวะการส่งเสริมการลงทุนช่วง 6 เดือนของปี 2563 (ม.ค.-มิ.ย.) มียอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนรวมทั้งสิ้น 754 โครงการ เพิ่มขึ้น 7 %เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวน 703 โครงการ ขณะที่มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 158,890 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน17% ซึ่งมีมูลค่ารวม 190,330 ล้านบาท ทั้งนี้เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และในช่วงเดียวกันของปี 2562 มีโครงการขนาดใหญ่ด้านพลังงานไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวลยื่นขอรับการส่งเสริม แต่มีแนวโน้มดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสแรกของปีนี้
สำหรับยอดขอรับการส่งเสริมส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย จำนวน 371 โครงการ มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 83,140 ล้านบาท คิดเป็น 52% ของมูลค่าคำขอรับการส่งเสริมทั้งหมด โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการแพทย์ ที่มีการยื่นขอรับการส่งเสริมเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดทั้งจำนวนโครงการและเงินลงทุน โดยมีการยื่นขอรับการส่งเสริมรวม 52 โครงการ เพิ่มขึ้น 174% มูลค่าเงินลงทุนรวม 13,070 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 123% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งเป็นผลจากมาตรการเร่งรัดการลงทุนที่บอร์ดบีโอไอเห็นชอบมาตรการเมื่อเม.ย.ที่ผ่านมาเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น
สำหรับยอดขอรับการส่งเสริมในช่วง 6 เดือนของปี 2563 จำแนกตามอุตสาหกรรมเป้าหมาย อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเงินลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ มูลค่า 28,250 ล้านบาท ตามด้วยอุตสาหกรรมเกษตรและแปรรูปอาหาร มูลค่า 15,300 ล้านบาท อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน มูลค่า 13,510 ล้านบาท อุตสาหกรรมการแพทย์ 13,070 ล้านบาท และอุตสาหกรรมปิโตรและเคมีภัณฑ์ 4,380 ล้านบาท
ด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในช่วง 6 เดือน มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริม จำนวน 459 โครงการ เพิ่มขึ้น 5% มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 75,902 ล้านบาท ลดลง 34%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยประเทศญี่ปุ่น มีจำนวนโครงการและมูลค่าเงินลงทุนที่ยื่นขอรับการส่งเสริมมากที่สุด จำนวน 99 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนสูงสุดอยู่ที่ 22,636 ล้านบาท คิดเป็น 30%ของมูลค่าเงินลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมด ตามด้วยจีน จำนวน 95 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 17,461 ล้านบาท และสิงคโปร์ จำนวน 55 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 10,624 ล้านบาท
ทั้งนี้ จากสถิติภาวะการส่งเสริมการลงทุนช่วง 6 เดือนของปีนี้ เป็นที่น่าสนใจว่ามีนักลงทุนรายใหม่ ให้ความสนใจขอรับการส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง แม้จะอยู่ภายใต้สถานการณ์ไม่ปกติ โดยพบว่าเป็นการยื่นขอรับการส่งเสริมในโครงการใหม่ถึง 366 โครงการ คิดเป็น 49% ของจำนวนคำขอรับการส่งเสริมทั้งหมด มีเงินลงทุนรวม 42,520 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 27 ของเงินลงทุนทั้งหมด นอกจากนี้ คำขอรับการส่งเสริมในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ เป็นการลงทุนในพื้นที่อีอีซี จำนวนทั้งหมด 225 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 85,480 ล้านบาท