เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ ว่าเรื่องราวการแพร่ระบาดของเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ อย่าง “COVID-19” ยังคงถือเป็น “ไฮไลต์” ไม่ว่าในระดับโลก หรือระดับสังคมไทยของหมู่เฮาอยู่เช่นเดิม แต่ท่ามกลางความแตกตื่น ตกใจ ความ “หูแหก-ตาแหก” ไปทั่วทั้งโลกนั้น คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้อีกเช่นกันนั่นแหละว่า เชื้อโรคหรือเชื้อไวรัสตัวนี้ มันกำลังเป็นตัวสะท้อนให้เห็นถึงลักษณะ อุปนิสัย กิริยามารยาท ไปจนถึง “วาสนา” หรือ “สันดาน” ของปัจเจกบุคคลแต่ละคน ไปจนถึงระดับสังคม หรือกระทั่งประเทศชาติแต่ละประเทศ ได้อย่างชนิดลึกซึ้ง ถึงแก่นเอามากๆ...
ไม่ว่าประเภทเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ตามพื้นฐานความพึงพอใจแห่ง “ตัวกู-ของกู” ไม่คิดรับผิดชอบใดๆ ต่อผู้อื่น ต่อส่วนรวม แม้ตัวเองอยู่ในข่ายติดเชื้อ ติดโรค กลับไม่คิด “กักตัวเอง” ไว้ในบ้าน ออกมาเพ่นพ่านไปโน่น-ไปนี่ กินโน่น-กินนี่ เที่ยวโน่น-เที่ยวนี่ จนก่อให้เกิด “ซูเปอร์สเปรด” แพร่กระจายเชื้อลุกลามไปสู่ผู้อื่น สู่สังคม หรือประเภทที่ “เอาแต่ด่า...กับ...ด่า” ไม่สนใจความเหนื่อยยากของผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบ ผู้ที่ต้องเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ากับการต่อสู้เพื่อเอาชนะโรคร้าย ชนิดไม่เป็นอันกิน อันนอน แต่ยังถูกหยิบเอามาโพสต์โน่น-โพสต์นี่ ด่าโน่น-ด่านี่ ทั้งที่ตัวเองเพิ่งได้รับการเยียวยารักษา หลังจากไปตั้งวงเลี้ยงฉลอง จนต้อง “ติดเชื้อ” กันจนได้ หรือประเภทหงุดหงิด งุ่นง่าน เพราะถูกห้ามไม่ให้ตั้ง “วงคอนเสิร์ต” จนต้องหันมาแจก “กล้วย” ให้รัฐบาลกันเป็นเครือๆ ไปจนประเภทแอบเอา “สารคัดหลั่ง” ของตัวเอง มาป้ายไว้ในลิฟต์แถวๆ สถานีรถไฟฟ้าแบบสุดแสนจะโรคจิตอะไรถึงปานนั้น ฯลฯ ฯลฯ...
ซึ่งย่อมถือเป็นเรื่อง “ปกติธรรมดา” ของสังคมแต่ละสังคม อันต้องประกอบไปด้วย “คนดีและคนไม่ดี” ผสมปนเปกันไปอย่างมิอาจปฏิเสธได้ แต่สิ่งที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้น...ก็น่าจะเป็นอากัปกิริยาของสังคมแต่ละสังคม หรือประเทศแต่ละประเทศ ที่ได้สะท้อนให้เห็นท่ามกลางความแตกตื่น โกลาหล จนอาจนำไปสู่ข้อสรุปได้ว่า “ใครเป็นใคร” หรือ “ไผเป็นไผ” ได้อย่างแจ่มแจ้ง ชัดเจน ชนิดแทบไม่ต้องเสียเวลานำเอาระบบการเมือง การปกครอง ระบบเศรษฐกิจ หรือวัฒนธรรม ประเพณีใดๆ มาใช้เป็นมาตรฐานในการแยกแยะเอาเลยแม้แต่น้อย...
อย่างเช่น ประเทศที่แม้เป็นบ่อเกิด หรือเป็นต้นกำเนิดของเชื้อโรคชนิดนี้ อย่างประเทศจีน เป็นต้น...ถึงถูกกล่าวหามาตั้งแต่แรกโดย “สื่อตะวันตก” อย่างเช่น หนังสือพิมพ์ “New York Times” ว่าได้ใช้ความเป็น “เผด็จการ” กระทำการล่วงละเมิดสิทธิมนุษย์และเสรีภาพส่วนบุคคลภายในประเทศตัวเอง ระหว่างตัดสินใจปิดบ้าน ปิดเมือง หลังตรวจพบการแพร่ระบาดแบบชนิดฉับพลัน-ทันที แต่มาถึงขั้นนี้...คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธว่า ความเป็นเผด็จการของจีน...ไม่เพียงแต่ได้ช่วยชีวิตชาวจีน หรือพลเมืองภายในประเทศตัวเอง ไม่ให้ต้องบาดเจ็บล้มตายมากมายเกินไปกว่านี้ ยังมีส่วนช่วยให้บรรดาชาวโลกทั้งหลาย ไม่ต้องติดเชื้อ แพร่เชื้อ กระจัดกระจายเกินไปกว่าเท่าที่เป็นอยู่ จนกลายเป็นแบบอย่าง ตัวอย่างให้กับประเทศใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าประชาธิปไตย หรือเผด็จการ ไล่มาตั้งแต่อิหร่าน, อิตาลี, ปากีสถาน, เดนมาร์ก, แอลจีเรีย ฯลฯ นำไปใช้เป็นแนวทางรับมือกับการแพร่ระบาดของเชื้อโรคชนิดนี้ภายในประเทศของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล...
อีกทั้งหลังจากที่สามารถ “เอาอยู่” ภายในประเทศตัวเองไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้อีกนั่นแหละว่า การแสดงออกถึงความมุ่งมั่น ตั้งใจของรัฐบาลจีน ความเพียรพยายามที่จะให้ความร่วมมือ-ร่วมใจกับบรรดาเพื่อนผู้ร่วมโลกทั้งหลาย ในการต่อสู้เพื่อเอาชนะโรคร้ายชนิดนี้ ค่อนข้างเป็นไปอย่างจริงจังและจริงใจเอามากๆ ไม่ว่าการขนเอาอุปกรณ์ เครื่องมือ และเวชภัณฑ์ นับหมื่นๆ แสนๆ ตัน ไปช่วยประเทศที่กำลังถูกคุกคามในระดับหนักหนาสาหัส โดยแทบไม่ออกอาการลังเลใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย เช่น ในอิตาลี ระหว่างที่รัฐบาลอิตาลีไม่รู้จะหันหน้าไปทางไหน ขณะประเทศพันธมิตรที่ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของอียูมาโดยตลอด อย่างฝรั่งเศสและเยอรมนี ประกาศห้ามส่งออกอุปกรณ์ เครื่องมือที่จำเป็นในการป้องกันการแพร่ระบาด ไม่ว่าจะเป็นหน้ากากอนามัย หรือเวชภัณฑ์ทั้งหลาย ภาพ “เครื่องบินจีน” ที่ขนเอาอุปกรณ์นานาชนิดไปมอบให้กับรัฐบาลอิตาลีถึงกรุงโรม เมื่อวันที่ 12 มีนาคม ตามด้วยเรือบรรทุกเครื่องเวชภัณฑ์อีกเป็นพะเรอเกวียนไปยังท่าเรือเมืองมิลาน เมื่อวันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมา จนทำให้รัฐมนตรีต่างประเทศอิตาลี “นายLuigi Di Maio” อดไม่ได้ต้องนำมาโพสต์ไว้ในเฟซบุ๊กของตัวเอง และทำให้บรรดาชาวอิตาเลียนทั้งหลาย ถึงกับต้องร่วมประสานเสียง “ร้องเพลงชาติจีน” บนระเบียงบ้านไปตามๆ กัน อันนี้...ไม่ว่าจะถือเป็นปฏิบัติการจิตวิทยา หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ต้องถือเป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกลักษณะ กิริยามารยาทของรัฐบาลจีน อย่างมิอาจปฏิเสธได้...
ไม่ต่างไปจากประเทศที่เจอกับภัยคุกคามจากเชื้อโรคตัวนี้ ชนิดหนักหนาสาหัสไม่แพ้กัน เช่นประเทศอิหร่าน เป็นต้น ก็ด้วยการระดมความช่วยเหลืออย่างชนิดไม่อั้น จากประเทศจีนนี่แหละ ที่พอช่วยเยียวยาความทุกข์ยากของชาวอิหร่าน ให้พอลดๆ ลงไปได้มั่งไม่มากก็น้อย ต่างไปจากมหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกาแบบชนิดหน้ามือเป็นหลังตีน เพราะขณะที่รัฐบาลอิหร่านซึ่งถูก “ศัตรูคู่กัด” อย่างคุณพ่ออเมริกาเล่นงานมาโดยตลอด พยายามหันไปกู้เงินจาก “ไอเอ็มเอฟ” แค่สักประมาณ 5 พันล้านดอลลาร์ เอาไว้ติดปลายนวมในการต่อสู้กับเชื้อ “COVID-19” ไปตามสภาพ รัฐบาลอเมริกันโดยหน่วยงานตัวแทนพิเศษสำหรับกิจการอิหร่าน (US Special Representative for Iranian Affairs) ก็ได้จังหวะออกมาประกาศ “มาตรการแซงชั่นขั้นสูงสุด” ต่ออิหร่าน ไปเมื่อวันศุกร์ (20 มี.ค.) ที่ผ่านมา หรือเพื่อตัดมือ ตัดตีน ไม่ให้รัฐบาลอิหร่านมีโอกาสช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกที่เป็นชาวอิหร่านได้โดยเด็ดขาด หรือได้จังหวะหันไป “กระทืบซ้ำ” รัฐบาลอิหร่าน ให้ยิ่งจมธรณียิ่งขึ้นไปกว่านั้น...
และแม้ขณะที่ไวรัส “COVID-19” กำลังทำให้ใครต่อใคร ต้องยกเลิกปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันและกัน เลิกรวมกลุ่มตั้งแต่ 5 คน 10 คนขึ้นไป เลิกกีฬาแมตช์ดังๆ ไม่ว่าฟุตบอลพรีเมียร์ลีก, ลาลีกา, กัลโช่ เซเรีย อา ฯลฯ เทนนิสเฟรนช์โอเพน, วิมเบิลดัน ฯลฯไปจนถึงมหกรรมโอลิมปิก 2020 ก็อาจต้องถูกยกเลิก ถูกเลื่อนเอาง่ายๆ แต่ด้วยเหตุเพราะอยากหาทางเล่นงาน “ศัตรูคู่แข่ง” อย่างประเทศรัสเซีย อย่างไม่คิดจะลด-ละ-เลิก หน่วยบัญชาการกองกำลังสหรัฐฯ ในยุโรป ก็ยังอุตส่าห์ออกมาประกาศยืนยันให้ “นาโต” ดำเนินการ “ซ้อมรบ” ที่เรียกว่า “Defender Europe 2020” ต่อไป โดยไม่คิดจะเลื่อนเอาเลยแม้แต่น้อย แม้ต้องนำเอาทหารของแต่ละประเทศ มารวมตัว รวมกลุ่มกันเป็นจำนวนนับหมื่นๆ คน และแม้ว่าผู้บัญชาการกองกำลังสหรัฐฯ ในยุโรป นายพล “Christopher Cavoli” จะกลายเป็นผู้ติดเชื้อ “COVID-19” จนต้องถูกกักตัวไปแล้วก็ตาม...
แต่ที่น่าเกลียด น่าทุเรศ ยิ่งไปกว่านั้น...คือขณะที่บริษัทผลิต “วัคซีน” ในเยอรมนี อย่างบริษัท “CureVac” ทำท่าว่าอาจประดิษฐ์คิดค้นวัคซีนที่สามารถช่วยป้องกันมวลมนุษย์ทั้งหลายจากเชื้อ “COVID-19” ได้อีกไม่นาน-ไม่ช้า ถ้าว่ากันตามรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์เยอรมนี “Die Welt” เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ระบุเอาไว้ชัดเจนว่า...ประธานาธิบดีอเมริกันพยายามที่จะเสนอเงินตอบแทนนับพันๆ ล้านดอลลาร์ เพื่อให้บริษัทดังกล่าวย้ายไปอยู่ในอเมริกา หรือเพื่อให้ประเทศอเมริกาเป็นเพียงประเทศเดียวที่มีสิทธิใช้วัคซีนชนิดนี้ นี่...เอาไป-เอามา อะไรมันจะหนักซะยิ่งกว่า “ไอ้โรคจิต” ที่พยายามเอาสารคัดหลั่งของตัวเอง มาป้ายไว้ตามลิฟต์ อะไรประมาณนั้น เรียกว่า...ไม่เพียงแต่การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “COVID-19” คราวนี้ จะสะท้อนถึงความเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัวของรัฐบาลอเมริกัน ที่น่าเกลียด น่าทุเรศเอามากๆ ยังสะท้อนให้เห็นถึงอาการโรคจิต อาการมุ่งร้าย หมายขวัญต่อผู้อื่น หรือผู้ที่ตัวเองจงเกลียดจงชัง โดยไม่คำนึงถึงความเป็นมนุษย์ ความเป็นเพื่อนร่วมโลก ร่วมวัฏสังสารเอาเลยแม้แต่น้อย...