"หมอระวี"วอนสภาฯ รวมพลัง เพื่อชาติ ผลักดันงบฯ 63 ลงมติวันเดียวจบ ไม่ต้องอภิปราย ช่วยเบิกจ่ายเร็วขึ้น ไม่ฉุดเศรษฐกิจดิ่งเหว "องอาจ"ค้านเริ่มต้นนับหนึ่งพิจารณางบฯใหม่ ชี้ควรเร่งให้จบโดยเร็ว เพื่อประโยชน์กับประชาชน ปธ.วิปฯ คาดสิ้นก.พ.นี้ พ.ร.บ.งบฯ 63 ได้ใช้
นพ.ระวี มาศฉมาดล หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ เรียกร้องให้สภาผู้แทนราษฎร รวมใจเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่แบ่งฝ่ายค้านหรือรัฐบาล ผลักดัน ร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ให้ผ่านความเห็นชอบของสภาฯ ภายในวันที่ 13 ก.พ. ด้วยการลงมติ วาระ 2 และวาระ 3 จากนั้นวันที่ 14 ก.พ. ก็จะสามารถส่งไปยังวุฒิสภา ให้พิจารณาต่อได้ ตามคำพิพากษาของศาลรธน. โดยไล่ตั้งแต่ มาตรา 1 แต่ไม่ต้องอภิปรายอีกแล้ว เนื่องจากมีการอภิปราย ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้อย่างเต็มที่มาแล้ว ตั้งแต่วันที่ 8 จนถึงวันที่ 11 ม.ค. ที่ผ่านมา จึงถือว่าทุกฝ่ายได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มกำลังแล้ว ต่อจากนี้เป็นเรื่องที่ต้องทำเพื่อประเทศชาติ คือเร่งให้กฎหมายงบประมาณ ออกมามีผลบังคับใช้โดยเร็วที่สุด การเบิกจ่ายของภาครัฐจะได้ไม่สะดุด จนกระทั่งไปฉุดเศรษฐกิจให้ดิ่งเหว
"ผมอยากเห็นความร่วมมือร่วมใจ ของฝ่ายค้านและรัฐบาล พิสูจน์ให้ประชาชนเห็นว่า การเมืองเป็นเรื่องของบ้านเมือง ไม่ใช่เรื่องของผลประโยชน์ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งจะช่วยทำให้ประชาชนมีความหวัง ว่าสภาฯ เป็นที่พึ่งพิงได้ ไม่ใช่แค่สถานที่เล่นเกมการเมือง ฟาดฟันกันเท่านั้น" นพ.ระวี กล่าว
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธานส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง กรณีที่มีอดีตกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 จะขอหารือในที่ประชุมสภาฯ วันที่ 13 ก.พ.ว่า ควรไปเริ่มต้นพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.ใหม่ ตั้งแต่วาระแรก ว่า ตนไม่เห็นด้วยที่ต้องย้อนกลับไปพิจารณาตั้งแต่วาระแรก เพราะศาลรธน. ได้มีคำวินิจฉัยชัดเจนแล้วว่า ร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2563 ไม่เป็นโมฆะ แต่ให้สภาฯนำร่างกฎหมาย มาพิจารณาลงมติใหม่ ในวาระ 2 และวาระ 3 ดังนั้นสภาฯ ควรปฏิบัติตามที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ทุกคนก็ทราบดีว่า ร่าง พ.ร.บ. งบประมาณปีนี้ ล่าช้ามากแล้ว ไม่ควรไปทำอะไรให้ล่าช้าออกไปอีกโดยไม่จำเป็น เพราะทุกภาคส่วนของสังคมกำลังรองบประมาณแผ่นดิน มาขับเคลื่อนในการพัฒนาประเทศให้เดินหน้าต่อไปได้ ยิ่งขณะนี้ สถานการณ์เศรษฐกิจ มีภาวะแทรกซ้อนจากหลายปัจจัย ทั้งจากภายในประเทศและผลกระทบจากต่างประเทศ การทำให้เงินงบประมาณมาใช้จ่ายหมุนเวียนมากเท่าไหร่ ก็จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากขึ้นเท่านั้น
ส่วนที่อดีตกรรมาธิการฯ ท่านนี้ กล่าวว่า อาจมีการกดบัตรแทนกันในวาระที่ 1 และอาจถูกร้องภายหลัง จึงควรทำให้รอบคอบด้วยการย้อนกลับ ไปเริ่มตั้งแต่วาระที่ 1 ใหม่นั้น ตนคิดว่าในเมื่อศาลฯ วินิจฉัยออกมาชัดเจนแล้ว เราก็ควรปฏิบัติไปตามที่ศาลฯ วินิจฉัย ไม่ควรไปคาดการณ์อาจจะเกิดเหตุการณ์นั้นเหตุการณ์นี้ ทั้งๆ ที่ยังไม่มีใครรู้ได้ว่า จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นตามที่วิตกกังวลหรือไม่
การที่สภาฯ นัดประชุมวันที่ 13 ก.พ.นี้ ด้วยความรอบคอบ รวดเร็ว เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมายที่ถูกต้องน่าจะเกิดประโยชน์กับพี่น้องประชาชนคนไทยอย่างถูกต้องเหมาะสมแล้ว
ด้าน นายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาล กล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ.งบฯ 63 ที่จะเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯในวันที่ 13-14 ก.พ.นี้ และถ้าไม่เสร็จ ก็ต่อวันที่ 15 ก.พ.หากพิจารณาเสร็จ ก็จะเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภาได้ ในวันที่ 17 ก.พ. หลังจากนั้น 4-5 วัน คงถึงมือรัฐบาล คาดว่าภายในสิ้นเดือนก.พ.นี้ ทุกอย่างจะเรียบร้อย
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในการพิจารณา วาระ 2-3 จะสามารถอภิปรายใหม่ ได้หรือไม่ หรือโหวตอย่างเดียว นายวิรัช กล่าวว่า หากเป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลฯ เพื่อไม่เป็นการสุ่มเสี่ยง ก็อภิปรายใหม่ แต่ก็ขอส.ส.ฝ่ายค้านว่า อะไรที่อภิปรายไปแล้ว ก็ไม่ต้องอภิปรายซ้ำ แต่ประเด็นไหนที่ติดใจ เราก็เปิด โอกาสให้อภิปราย
"หากเปิดอภิปรายทั้งวาระ 2-3 คงต้องใช้เวลาถึง 4 วัน ดังนั้น ขอว่าสัก 2 วัน ก็น่าจะเพียงพอ หรือวันเดียวได้ก็ดี อย่างไรก็ตามได้ประสานความร่วมมือกับฝ่ายค้านอยู่ตลอด แต่ยังไม่ขอลงรายละเอียด เพราะยังมีเวลา" นายวิรัช กล่าว
นพ.ระวี มาศฉมาดล หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ เรียกร้องให้สภาผู้แทนราษฎร รวมใจเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่แบ่งฝ่ายค้านหรือรัฐบาล ผลักดัน ร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ให้ผ่านความเห็นชอบของสภาฯ ภายในวันที่ 13 ก.พ. ด้วยการลงมติ วาระ 2 และวาระ 3 จากนั้นวันที่ 14 ก.พ. ก็จะสามารถส่งไปยังวุฒิสภา ให้พิจารณาต่อได้ ตามคำพิพากษาของศาลรธน. โดยไล่ตั้งแต่ มาตรา 1 แต่ไม่ต้องอภิปรายอีกแล้ว เนื่องจากมีการอภิปราย ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้อย่างเต็มที่มาแล้ว ตั้งแต่วันที่ 8 จนถึงวันที่ 11 ม.ค. ที่ผ่านมา จึงถือว่าทุกฝ่ายได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มกำลังแล้ว ต่อจากนี้เป็นเรื่องที่ต้องทำเพื่อประเทศชาติ คือเร่งให้กฎหมายงบประมาณ ออกมามีผลบังคับใช้โดยเร็วที่สุด การเบิกจ่ายของภาครัฐจะได้ไม่สะดุด จนกระทั่งไปฉุดเศรษฐกิจให้ดิ่งเหว
"ผมอยากเห็นความร่วมมือร่วมใจ ของฝ่ายค้านและรัฐบาล พิสูจน์ให้ประชาชนเห็นว่า การเมืองเป็นเรื่องของบ้านเมือง ไม่ใช่เรื่องของผลประโยชน์ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งจะช่วยทำให้ประชาชนมีความหวัง ว่าสภาฯ เป็นที่พึ่งพิงได้ ไม่ใช่แค่สถานที่เล่นเกมการเมือง ฟาดฟันกันเท่านั้น" นพ.ระวี กล่าว
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธานส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง กรณีที่มีอดีตกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 จะขอหารือในที่ประชุมสภาฯ วันที่ 13 ก.พ.ว่า ควรไปเริ่มต้นพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.ใหม่ ตั้งแต่วาระแรก ว่า ตนไม่เห็นด้วยที่ต้องย้อนกลับไปพิจารณาตั้งแต่วาระแรก เพราะศาลรธน. ได้มีคำวินิจฉัยชัดเจนแล้วว่า ร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2563 ไม่เป็นโมฆะ แต่ให้สภาฯนำร่างกฎหมาย มาพิจารณาลงมติใหม่ ในวาระ 2 และวาระ 3 ดังนั้นสภาฯ ควรปฏิบัติตามที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ทุกคนก็ทราบดีว่า ร่าง พ.ร.บ. งบประมาณปีนี้ ล่าช้ามากแล้ว ไม่ควรไปทำอะไรให้ล่าช้าออกไปอีกโดยไม่จำเป็น เพราะทุกภาคส่วนของสังคมกำลังรองบประมาณแผ่นดิน มาขับเคลื่อนในการพัฒนาประเทศให้เดินหน้าต่อไปได้ ยิ่งขณะนี้ สถานการณ์เศรษฐกิจ มีภาวะแทรกซ้อนจากหลายปัจจัย ทั้งจากภายในประเทศและผลกระทบจากต่างประเทศ การทำให้เงินงบประมาณมาใช้จ่ายหมุนเวียนมากเท่าไหร่ ก็จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากขึ้นเท่านั้น
ส่วนที่อดีตกรรมาธิการฯ ท่านนี้ กล่าวว่า อาจมีการกดบัตรแทนกันในวาระที่ 1 และอาจถูกร้องภายหลัง จึงควรทำให้รอบคอบด้วยการย้อนกลับ ไปเริ่มตั้งแต่วาระที่ 1 ใหม่นั้น ตนคิดว่าในเมื่อศาลฯ วินิจฉัยออกมาชัดเจนแล้ว เราก็ควรปฏิบัติไปตามที่ศาลฯ วินิจฉัย ไม่ควรไปคาดการณ์อาจจะเกิดเหตุการณ์นั้นเหตุการณ์นี้ ทั้งๆ ที่ยังไม่มีใครรู้ได้ว่า จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นตามที่วิตกกังวลหรือไม่
การที่สภาฯ นัดประชุมวันที่ 13 ก.พ.นี้ ด้วยความรอบคอบ รวดเร็ว เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมายที่ถูกต้องน่าจะเกิดประโยชน์กับพี่น้องประชาชนคนไทยอย่างถูกต้องเหมาะสมแล้ว
ด้าน นายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาล กล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ.งบฯ 63 ที่จะเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯในวันที่ 13-14 ก.พ.นี้ และถ้าไม่เสร็จ ก็ต่อวันที่ 15 ก.พ.หากพิจารณาเสร็จ ก็จะเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภาได้ ในวันที่ 17 ก.พ. หลังจากนั้น 4-5 วัน คงถึงมือรัฐบาล คาดว่าภายในสิ้นเดือนก.พ.นี้ ทุกอย่างจะเรียบร้อย
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในการพิจารณา วาระ 2-3 จะสามารถอภิปรายใหม่ ได้หรือไม่ หรือโหวตอย่างเดียว นายวิรัช กล่าวว่า หากเป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลฯ เพื่อไม่เป็นการสุ่มเสี่ยง ก็อภิปรายใหม่ แต่ก็ขอส.ส.ฝ่ายค้านว่า อะไรที่อภิปรายไปแล้ว ก็ไม่ต้องอภิปรายซ้ำ แต่ประเด็นไหนที่ติดใจ เราก็เปิด โอกาสให้อภิปราย
"หากเปิดอภิปรายทั้งวาระ 2-3 คงต้องใช้เวลาถึง 4 วัน ดังนั้น ขอว่าสัก 2 วัน ก็น่าจะเพียงพอ หรือวันเดียวได้ก็ดี อย่างไรก็ตามได้ประสานความร่วมมือกับฝ่ายค้านอยู่ตลอด แต่ยังไม่ขอลงรายละเอียด เพราะยังมีเวลา" นายวิรัช กล่าว