ในหลวงทรงรับผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุกราดยิง ที่ จ.นครราชสีมา เป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ และทรงรับศพผู้ที่เสียชีวิต ไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ "จักรทิพย์" คุมเองปฏิบัติการจับตาย "จ่าคลั่ง" ที่ชั้นใต้ดิน ห้างเทอร์มินอล 21 ด้านนายกฯ ยันรัฐบาล-ฝ่ายความมั่นคงไม่ได้ละเลยต่อความรับผิดชอบครั้งนี้ รับสถานการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย และต้องไม่เกิดแบบนี้อีก ญาติร่ำไห้ระงม ทยอยรับศพจากโรงพยาบาล สุดสลด ! 3 ชีวิต พ่อ-แม่-ลูก ดับยกครัว ล่าสุดตาย 30 เจ็บ 53 ราย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงห่วงใยต่อการเกิดเหตุการณ์รุนแรง คนร้ายกราดยิงประชาชน ในพื้นที่ จ.นครราชสีมา
วานนี้ (9 ก.พ.) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ พล.อ.อ.จอม รุ่งสว่าง องคมนตรี เชิญแจกันดอกไม้ และตะกร้าสิ่งของพระราชทานไปมอบแก่ผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ คนร้ายได้นำอาวุธสงคราม ไล่ทำร้ายเจ้าหน้าที่ และประชาชนในพื้นที่ จ.นครราชสีมา เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บหลายราย ( เบื้องต้นเสียชีวิต 30 ราย ซึ่งรวมถึงผู้ก่อเหตุ และบาดเจ็บ 55 ราย) และเข้าพักรักษาอาการบาดเจ็บที่โรงพยาบาล 30 ราย ดังนี้ โรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา 20 ราย โรงพยาบาลกรุงเทพ-นครราชสีมา 4 ราย โรงพยาบาล ป.แพทย์ 1 ราย โรงพยาบาลค่ายสุรนารี 4 ราย และโรงพยาบาลเซนต์ แมรี 2 ราย ส่วนผู้บาดเจ็บกลับบ้านแล้ว 25 ราย โดย พล.อ.อ. ชลิต พุกผาสุข ได้เชิญดอกไม้และตะกร้าสิ่งของพระราชทานไปเยี่ยมผู้บาดเจ็บที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ เชิญดอกไม้และตะกร้าสิ่งของพระราชทาน ไปเยี่ยมผู้บาดเจ็บที่โรงพยาบาลกรุงเทพนครราชสีมา และโรงพยาบาลเซ็นต์แมรี และ พล.อ.อ.จอม รุ่งสว่าง เชิญดอกไม้และตะกร้าสิ่งของพระราชทานไปเยี่ยมผู้บาดเจ็บที่โรงพยาบาล ป.แพทย์ และโรงพยาบาลค่ายสุรนารี
โดยองคมนตรีได้เชิญพระราชกระแสทรงห่วงใย ไปกล่าวแก่ผู้ได้รับบาดเจ็บ และญาติเพื่อเป็นขวัญกำลังใจ และทรงชื่นชม และให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ อาสาสมัครกู้ภัย ตลอดจนแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ ที่ได้ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่เพื่อช่วยคลี่คลายสถานการณ์
ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ ทรงรับผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งหมดไว้เป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ และทรงรับศพผู้ที่เสียชีวิต ไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ ด้วยยังความปลื้มปีติและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแก่ผู้บาดเจ็บและญาติอย่างหาที่สุดมิได้
"จ่าคลั่ง"ก่อเหตุสุดสลด
ทั้งนี้ จากกรณี จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา อายุ 32 ปี สังกัดกองพันสรรพาวุธกระสุนที่ 22 กองบัญชาการช่วยรบที่ 2 ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ จ.นครราชสีมา ก่อเหตุใช้อาวุธปืนยิง พ.อ.อนันต์ฐโรจน์ กระแส อายุ 48 ปี ผู้บังคับกองพันสรรพาวุธกระสุน ที่ 22 กองบัญชาการช่วยรบที่ 2 กองทัพภาคที่ 2 และนางอนงค์ มิตรจันทร์ อายุ 65 ปี แม่ยายของ พ.อ.อนันต์ฐโรจน์ เสียชีวิต ที่บ้านเลขที่ 187 หมู่ 3 บ้านถนนหัก ต.หนองจะบก อ.เมืองฯ จ.นครราชสีมา สาเหตุจากการที่ จ.ส.อ.จักรพันธ์ ไปทวงเงินส่วนเกิน จากนายหน้าซื้อขายที่ดิน แต่ตกลงกันไม่ได้ จึงได้ก่อเหตุดังกล่าว เมื่อเวลาประมาณ 15.30 น. วันที่ 8 ก.พ.
จากนั้น จ.ส.อ.จักรพันธ์ ได้กลับไปที่ ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ อ.เมืองฯ จ.นครราชสีมา ใช้อาวุธปืนยิงทหารเวรที่เฝ้าคลังอาวุธ เสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บ 1 นาย แล้วเข้าไปนำอาวุธสงคราม พร้อมกระสุนปืน และระเบิด ก่อนขับรถฮัมวี หลบหนีออกด้านหลังค่าย แล้ววกเข้ามาในตัวเมืองนครราชสีมา
ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งเหตุแล้ว จึงพยายามเข้าสกัด แต่ จ.ส.อ.จักรพันธ์ ได้ใช้อาวุธสงคราม กราดยิงใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจและประชาชน ในระหว่างทางที่หลบหนี และได้เข้าไปในศูนย์การค้า เทอร์มินอล 21 ถนนมิตรภาพ อ.เมืองฯ จ.นครราชสีมา เมื่อเวลาประมาณ 17.00 น. ซึ่งมีประชาชนจำนวนมากอยู่ในห้างดังกล่าว มีการจับตัวประชาชนจำนวนหนึ่งไว้เป็นตัวประกัน ส่วนพนักงานในห้างและประชาชนที่จับจ่ายซื้อสินค้าต่างหาที่ปลอดภัยหลบซ่อนตัว และบางส่วนหลบหนีออกจากห้าง
ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ และทหารในพื้นที่ ได้ส่งกำลังเข้าปฏิบัติการปิดล้อมห้างดังกล่าว ทำการช่วยเหลือประชาชนที่ติดอยู่ในห้างออกมาได้อย่างปลอดภัย เป็นระยะๆ จำนวนหลายร้อยคน
ต่อมา พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์บินด่วนจากกรุงเทพฯไปที่ จ.นครราชสีมา เพื่อกำกับการปฏิบัติการด้วยตัวเอง
ขณะที่ผู้บังคับการตำรวจมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ 904 รอ. ก็ได้ส่งกำลังคอมมานโด ไปร่วมปฏิบัติการ ร่วมกับหน่วยหนุมาน จากกองปราบฯ ตำรวจหน่วยนเรศวร 261 ตชด. และเจ้าหน้าที่ทหาร
เช่นเดียวกับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ก็เดินทางไปบัญชาการที่ รพ.มหาราช เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ที่ทะยอยถูกส่งตัวเข้ามารับการรักษา ทั้งที่ รพ.มหาราช และรพ.ในตัวเมือง จ.นครราชสีมา อีกหลายแห่ง
ขณะที่ ตำรวจ สภ.เมืองชัยภูมิ ได้ไปรับตัว นางจรัลศรี แสงชมภู อายุ 63 ปี แม่ของ จ.ส.อ.จักรพันธ์ ที่บ้านพัก ใน อ.เมืองฯ จ.ชัยภูมิ นำตัวไปยังห้างเทอร์มินอล 21 จ.นครราชสีมา เพื่อไปเจรจาเกลี้ยกล่อมให้จ.ส.อ.จักรพันธ์ ยอมปล่อยตัวประกัน และมอบตัวต่อเจ้าหน้าที่ แต่การเจรจาไม่เป็นผล
กระทั่งเวลาประมาณ 24.00 น. เจ้าหน้าที่ที่เข้าปฏิบัติการก็สามารถเคลียร์พื้นที่ ตั้งแต่ชั้น G ขึ้นไปด้านบนได้สำเร็จ สามารถนำประชาชนที่ติดค้างในห้างออกมาได้อย่างปลอดภัย ส่วน จ.ส.อ.จักรพันธ์ ได้ลงไปหลบซ่อนตัวที่ บริเวณฟูดแลนด์ ชั้น LG ซึ่งเป็นชั้นใต้ดินของห้าง โดยยังมีประชาชนและพนักงานของห้างจำนวนหนึ่ง ติดค้างอยู่ที่ ชั้น LGด้วย
ต่อมาเวลาประมาณ 03.20 น. ( 9 ก.พ.) มีเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด คล้ายมีการปะทะกัน ภายในห้างเทอร์มินอล 21 ซึ่งต่อมามีรายงานว่า เป็นการยิงปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ ที่เข้าปฏิบัติการ กับคนร้าย ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ หน่วยอรินทราช เสียชีวิต 1 นาย และตำรวจหน่วยพิเศษ บาดเจ็บ 2 นาย
"บิ๊กแป๊ะ"คุมปฏิบัติการด้วยตัวเอง
กระทั่งเวลา 09.02 น. หลังจากเกิดเหตุมากว่า 17 ชม. เจ้าหน้าที่ชุดหนุมานของกองปราบฯ จึงได้วิสามัญฆาตกรรม จ.ส.อ.จักรพันธ์ ที่ บริเวณฟูดแลนด์ โซน A ชั้น LG ชั้นใต้ดินของห้างเทอร์มินอล 21 นั่นเอง
รายงานข่าวเปิดเผยว่า ก่อนวิสามัญฯ เจ้าหน้าที่ได้เข้าเคลียร์ตามห้องต่างๆ ภายในตัวห้าง โดยเวลา 08.30 น. เจ้าหน้าที่เข้าเคลียร์ในห้องเย็น ซึ่งอยู่ติดกัน 2 ห้อง โดยในห้องแรก พบตัวประกันถูกยิง ทำให้จ.ส.อ.จักรพันธ์ ที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องติดกันกราดยิงใส่เจ้าหน้าที่ ทางเจ้าหน้าที่จึงยิงตอบโต้ และ จ.ส.อ.จักรพันธ์ จึงถูกวิสามัญฆาตกรรม ในที่สุด
นอกจากนี้ ยังมีคลิปเหตุการณ์ภายในห้าง นาทีที่เจ้าหน้าที่ระดมยิงตอบโต้คนร้ายอย่างดุเดือด เสียงปืนดังสนั่น โดยในคลิปมีเสียงของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ที่ได้เข้ากำกับการปฏิบัติการ และตะโกนสั่งการผู้ใต้บังคับบัญชาในเหตุการณ์นี้ด้วยตัวเอง ก่อนสามารถปิดปฏิบัติการจับตายคนร้ายได้สำเร็จ และเจากการเข้าเคลียร์พื้นที่ พบคนร้ายมีอาวุธติดตัวจำนวนมาก จากนั้นได้ส่งหน่วยอีโอดี เข้าตรวจสอบหาระเบิดที่คนร้ายนำติดตัวมาด้วย
สำหรับ จ.ส.อ.จักรพันธ์ เป็นชาว จ.ชัยภูมิ ชาวบ้านหมู่ที่ 6 ต.ในเมือง อ.เมืองฯ จ.ชัยภูมิ เป็นนักเรียนโรงเรียนชัยภูมิภักดีชุมพล รุ่นที่ 106 และเป็นนักเรียนนายสิบทหารบก รุ่นที่ 10/49
นายกฯลั่นต้องไม่เกิดเหตุแบบนี้อีก
ต่อมาเวลา 11.53 น. ที่ รพ.มหาราช จ.นครราชสีมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวภายหลังการเข้าเยี่ยมผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ว่า ได้ติดตามสถานการณ์ และรับทราบรายงานสถานการณ์มาโดยตลอด ได้กำชับให้ใช้มาตรการที่เหมาะสม คำนึงถึงประชาชน การทำงานไม่ใช่เราไม่มีประสิทธิภาพ แต่ต้องคำนึงถึงการช่วยเหลือประชาชนให้ปลอดภัยมากที่สุด
เมื่อคืนที่ผ่านมา ก็ได้ติดต่อกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตลอดทั้งคืน มีคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องดูแลสถานการณ์ มีการดำเนินการตามขั้นตอนในทุกระดับ ดูแลประชาชนอย่างเต็มที่ ต้องยอมรับว่าสถานการณ์ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย และต้องไม่มีสถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก เพราะไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น
นอกจากนี้ได้มอบหมายกรมสุขภาพจิต เข้ามาดูแลครอบครัว และผู้ที่ได้รับบาดเจ็บรวมทั้งผู้ที่สูญเสียทั้งหมด โดยได้สั่งการในระดับผู้บังคัฐบัญชา ไปเรียบร้อยแล้ว ขอขอบคุณแพทย์ พยาบาล บุคลากรสาธารณสุข เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง รวมทั้งผู้ที่ร่วมกันบริจาคโลหิต ถือว่าได้ทั้งบุญและกุศลวันนี้ สิ่งสำคัญที่สุดทุกคนต้องมีบทเรียน แม้จะเคยผ่านสถานการณ์มาหลายครั้ง แต่ไม่เคยรุนแรงแบบนี้ ทุกอย่างคาดการณ์ไม่ได้ แต่เราต้องเตรียมให้พร้อมวันนี้ครั้งนี้ถือว่ารับมือได้ดี
ทั้งนี้ นายกฯ สรุปว่า มีได้รับบาดเจ็บ 57 ราย กลับบ้านแล้ว 25 อยู่ในรพ.32 ราย เสียชีวิตเบื้องต้น 27 รายรวมผู้ก่อเหตุด้วย
ต่อมา เวลา 13.35น. นายกฯ ได้แถลงข่าวอีกครังหลังเดินทางกลับจาก จ.นครราชสีมา ว่า รัฐบาลโดยตนเอง และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ได้นิ่งนอนใจในการแก้ปัญหา ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน ตามกฎหมายทุกประการ รัฐบาลจะละเลยความรับผิดชอบนี้ไปไม่ได้ รวมถึงฝ่ายความมั่นคงด้วย เป็นสิ่งที่เราจะต้องช่วยเหลือกันว่า จะทำอย่างไรไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก
ประการแรกคือ อยากให้ดูว่า ทำไมผู้ก่อเหตุ ถึงใช้โทรศัพท์ ใช้โซเชียลมีเดียโพสต์ออกมา แสดงว่า เขามีการใช้สื่อโซเชียลฯอย่างกว้างขวาง กว่าเราจะสามารถปิดเฟซบุ๊กของเขาได้ ต้องประสานงานไปที่บริษัทต่างประเทศ เพราะการขอปิดแบบนี้ จะต้องใช้กฎหมายทุกตัว รวมถึงขอคำสั่งศาล ตรงนี้เป็นสิ่งที่หลายคนเป็นห่วงว่า ทำไมรัฐบาลถึงปล่อยให้เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ซึ่งการจะขอให้เว็บไซต์ปิดได้ ก็มีกฎหมายคุ้มครอง รวมถึงเรื่องสิทธิส่วนบุคคล จึงขอให้เข้าใจด้วย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทุกคนทราบดีถึงสาเหตุอยู่แล้วว่า เกิดจากความขัดแย้งส่วนตัว แล้วมีความกดดันต่างๆ ทำให้อารมณ์คลุ้มคลั่ง ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยมาก่อน เราต้องมาย้อนกลับดูว่า การที่ดำเนินการไปแล้วถูกต้องหรือไม่
ทั้งนี้ จากการที่ตนได้ไปฟังรายงานสรุปก็ได้ให้คำแนะนำต่างๆ ไปหลายอย่าง ถ้าทำครบถ้วนแล้ว อาจจะลดความรุนแรงได้มากกว่านี้หรือไม่ จะต้องทำอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ ตั้งแต่มาตรการดูแล ที่แต่เดิมมันเคยเพียงพอ เช่น เจ้าหน้าที่ดูแลเรื่องกระสุน แต่วันนี้เขาถูกทำร้ายจนเสียชีวิตและถูกนำอาวุธออกมาได้ ตรงนี้เราต้องคิดใหม่ และหามาตรการฉุกเฉิน เพราะไม่เคยเกิดขึ้น มันเป็นเหตุการณ์สุดวิสัย ไม่ปกติ
ประการที่ 2 คือ เรื่องการใช้อาวุธของเจ้าหน้าที่ ซึ่งจะต้องระมัดระวังอย่างที่สุด ไม่ว่าจะเป็นผู้ร้ายหรือใครก็ตาม หรือแม้จะทำความผิดรุนแรงขนาดไหนก็ตาม จะต้องมีมาตรการที่เหมาะสมเป็นขั้นตอน ที่สำคัญจะต้องดูว่า คนที่อยู่ในอาคารจะต้องหลบอย่างไร ไม่ให้เกิดการสูญเสียมากขึ้นกว่าเดิม ขั้นตอนคือกว่าจะเอาคนออกมาได้หมด ถึงจะใช้อาวุธได้เต็มที่ แล้วเจ้าหน้าที่ ก็เสียสละชีวิตไปหลายคน เพราะเขาไม่กล้าใช้อาวุธอย่างเต็มที่ ดังนั้นการเข้าไปหา และอีกฝ่ายหนึ่ง อยู่ในที่กำบังที่เหมาะสม ตัวอาคารก็มีซอกมุมที่ใช้หลบได้ง่าย การตรวจการณ์ จึงทำได้ยาก
ขณะที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข โพสต์ข้อ ความขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยและทีมแพทย์ทุกคนที่ร่วมทำงานในเหตุการณ์ครั้งนี้
"ขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกหน่วย และ ทีมแพทย์ทุกคน ทำงานหนักข้ามวันข้ามคืน ไม่ได้หยุดสักนาที ขอบคุณสื่อมวลชน และประชาชนทุกคนที่ให้ความร่วมมือ และ ให้การสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่ เป็นอย่างดี ความร่วมมือของทุกคน จะทำให้เรายุติเหตุการณ์อันโหดร้ายนี้ได้เร็วที่สุด”
ล่าสุดตาย 30ศพ บาดเจ็ย 53 ราย
ล่าสุดเมื่อเวลา 18.00น. วานนี้ (9ก.พ.)นายวิเชียร จันทรโณทัย ผวจ.นครราชสีมา แจ้งว่า จากเหตุการณ์ดังกล่าว มีผู้เสียชีวิตรวม 30 ศพ (รวมคนร้ายผู้ก่อเหตุ) บาดเจ็บ 53 ราย และยังคงมีผู้บาดเจ็บสาหัส ที่ยังอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
แถลงการณ์ทบ. เสียใจอย่างสุดซึ้ง
ด้านกองทัพบก ได้ออกแถลงการณ์ แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ต่อญาติและครอบครัวของผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ โดยทันทีที่เกิดเหตุ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. ได้สั่งการให้กองทัพภาคที่ 2 เข้าควบคุมสถานการณ์ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยให้ดูแลความปลอดภัยของประชาชนทุกคนเป็นสำคัญ รวมทั้งได้เดินทางไปร่วมแก้ไขสถานการณ์ในพื้นที่ด้วยตัวเอง
ทั้งนี้ ผู้ก่อเหตุได้กระทำการอุกอาจ เป็นภัยอย่างยิ่งต่อบุคคลอื่น อีกทั้งยังได้ใช้อาวุธปืนยิงทหารรักษาการณ์ จนเสียชีวิต และบุกเข้าไปนำปืนและกระสุนของทางราชการไปทำร้ายผู้บริสุทธิ์ ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และประชาชน อันถือเป็นการกระทำความผิดที่ร้ายแรง และไม่สามารถยอมรับได้
การก่อเหตุที่เกิดขึ้น นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รวมทั้งได้สั่งการให้ทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการอย่างเร็วที่สุด โดยมีบัญชาให้ พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม เดินทางไปกำกับดูแลในพื้นที่ด้วย
กองทัพบกได้ดำเนินการอย่างเต็มที่ในการควบคุมพื้นที่ ทั้งในและนอกอาคาร โดยมีความปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญ พร้อมกับสอบสวนหาสาเหตุของการกระทำการครั้งนี้ และขอยืนยันว่าจะดูแลช่วยเหลือผู้บาดเจ็บและครอบครัวผู้เสียชีวิตอย่างดีที่สุด
หดหู่!ดับยกครัวพ่อ-แม่-ลูก 2 ขวบ
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่โรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา มีญาติผู้เสียชีวิตจำนวนมาก มาติดต่อรอรับศพ บรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้า ซึ่งทางโรงพยาบาลได้นำป้ายขนาดใหญ่ มาติดตั้งเป็นจุดรับศพเพื่อให้ญาติได้ติดต่อสะดวก โดยญาติผู้เสียชีวิตรายหนึ่ง กล่าวว่า ยังทำใจไม่ได้ เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่คาดคิดว่าลูกตัวเองจะอายุสั้นขนาดนี้ เพียงแต่ไปประสบเหตุการณ์ก็ถูกคนร้ายยิงจนเสียชีวิต
นอกจากนี้ ที่วัดหนองโคพรหมนิมิต บ้านหนองโค หมู่ที่ 1 ต.ตะแบกบาน อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา พระปลัดสุเทพสุรเมธี เจ้าอาวาสวัดหนองโคพรหมนิมิต ได้นำพี่น้องประชาชนชาวบ้านในพื้นที่ ร่วมกันสวดมนต์แผ่เมตตาให้กับผู้ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ประชาชนผู้เคราะห์ร้ายที่หลบอยู่ในห้าง และโชคร้ายถูกยิงเสียชีวิต ถูกนำศพออกมาและไปตรวจพิสูจน์ที่โรงพยาบาล และข้อมูลรายชื่อถูกเปิดเผยว่าเป็นใครบ้าง
โดยเป็นที่น่าหดหู่อย่างยิ่ง ที่ชาวเน็ตในโคราช ทราบข่าว และพากันโพสต์แสดงความเสียใจต่อครอบครัวหนึ่งรวม 3 ชีวิต ที่เป็นเหยื่อทหารคลั่ง ซึ่งเป็นเจ้าของร้านชวนจิว ตั้งอยู่บริเวณสี่แยกสวนหมาก เขตเทศบาลนครนครราชสีมา ต่างคอมเมนต์ด่าคนร้ายต่างๆ นานา ระบุว่า...มันเหี้...มาก แม้แต่เด็กมันก็ไม่เว้น ถูกยิงเสียชีวิตทั้ง 3 คน ที่ชั้น LG ของห้างเทอร์มินอล 21 โคราช
เพจโปลิศไทยแลนด์สดุดีตร.กล้าพลีชีพ 2 นาย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจโปลิศไทยแลนด์ ได้ทำการโพสต์สดุดีตำรวจผู้กล้า ที่ได้พลีชีพปิดปฏิบัติโคราช และติดแฮชแท็ก #สดุดีตำรวจผู้กล้า 2 นายพลีชีพ ปิดปฏิบัติการโคราช โดยระบุข้อความว่า
"ตายในสนามรบ เป็นเกียรติของค่ายนเรศวร" สู่สุขคติ ร.ต.อ.ตระกูล ทาอาษา ตำรวจพลร่ม รุ่น74 นสต.2/49 และส.ต.ท.กฤษฎา การุณ สังกัดอรินทราช 26 ซึ่งเป็นหนึ่ง นายทหารที่เสียชีวิต
จ่อลงดาบสื่อละเมิดคำสั่งรายงานสด
รายงานจากเพจสำนักงาน กสทช. เปิดเผยว่า ภายหลังที่สำนักงานได้ออกคำสั่งไปยังสถานีโทรทัศน์ทุกข่อง ให้งดการนำเสนอภาพข่าว การรายงานสด ที่จะส่งผลกระทบต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติการในเหตุการณ์ ใน จ.นครราชสีมา
จากการตรวจสอบของสำนักงาน กสทช. พบว่า ยังมีบางสถานี ที่ไม่ได้ปฎิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด จึงได้โทรศัพท์แจ้งเตือนโดยตลอด จนทำให้ระดับการรายงานข่าวที่ส่งผลกระทบต่อการปฎิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสำนักงาน กสทช. ได้ดำเนินงานอย่างเต็มกำลัง เพื่อแก้ไขปัญหาอันเกิดจากสถานการณ์เร่งด่วนดังกล่าว
หลังจากนี้ สำนักงานฯจะรีบบรรจุเรื่องนี้เป็นวาระเร่งด่วน เสนอที่ประชุม กสทช. เพื่อเรียกสถานีโทรทัศน์ทุกช่อง โดยเฉพาะสถานีที่มีการรายงานสด มาให้ข้อมูล พร้อมทั้งพิจารณาหลักฐานประกอบ ก่อนที่กสทช. จะลงมติดำเนินการกับช่องทีวีเหล่านั้นต่อไป และสำนักงาน กสทช. จะได้เรียกสถานีโทรทัศน์ทุกสถานี มาทำความเข้าใจการนำเสนอเนื้อหาที่มีความละเอียดอ่อน ส่งผลกระทบต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่ ที่ปฏิบัติงาน ชีวิต ความเป็นอยู่ของประชาชนอีกครั้ง เพื่อดำเนินการเสนอมาตรการรองรับการออกอากาศรายการในลักษณะดังกล่าว ต่อไป
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงห่วงใยต่อการเกิดเหตุการณ์รุนแรง คนร้ายกราดยิงประชาชน ในพื้นที่ จ.นครราชสีมา
วานนี้ (9 ก.พ.) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ พล.อ.อ.จอม รุ่งสว่าง องคมนตรี เชิญแจกันดอกไม้ และตะกร้าสิ่งของพระราชทานไปมอบแก่ผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ คนร้ายได้นำอาวุธสงคราม ไล่ทำร้ายเจ้าหน้าที่ และประชาชนในพื้นที่ จ.นครราชสีมา เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บหลายราย ( เบื้องต้นเสียชีวิต 30 ราย ซึ่งรวมถึงผู้ก่อเหตุ และบาดเจ็บ 55 ราย) และเข้าพักรักษาอาการบาดเจ็บที่โรงพยาบาล 30 ราย ดังนี้ โรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา 20 ราย โรงพยาบาลกรุงเทพ-นครราชสีมา 4 ราย โรงพยาบาล ป.แพทย์ 1 ราย โรงพยาบาลค่ายสุรนารี 4 ราย และโรงพยาบาลเซนต์ แมรี 2 ราย ส่วนผู้บาดเจ็บกลับบ้านแล้ว 25 ราย โดย พล.อ.อ. ชลิต พุกผาสุข ได้เชิญดอกไม้และตะกร้าสิ่งของพระราชทานไปเยี่ยมผู้บาดเจ็บที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ เชิญดอกไม้และตะกร้าสิ่งของพระราชทาน ไปเยี่ยมผู้บาดเจ็บที่โรงพยาบาลกรุงเทพนครราชสีมา และโรงพยาบาลเซ็นต์แมรี และ พล.อ.อ.จอม รุ่งสว่าง เชิญดอกไม้และตะกร้าสิ่งของพระราชทานไปเยี่ยมผู้บาดเจ็บที่โรงพยาบาล ป.แพทย์ และโรงพยาบาลค่ายสุรนารี
โดยองคมนตรีได้เชิญพระราชกระแสทรงห่วงใย ไปกล่าวแก่ผู้ได้รับบาดเจ็บ และญาติเพื่อเป็นขวัญกำลังใจ และทรงชื่นชม และให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ อาสาสมัครกู้ภัย ตลอดจนแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ ที่ได้ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่เพื่อช่วยคลี่คลายสถานการณ์
ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ ทรงรับผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งหมดไว้เป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ และทรงรับศพผู้ที่เสียชีวิต ไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ ด้วยยังความปลื้มปีติและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแก่ผู้บาดเจ็บและญาติอย่างหาที่สุดมิได้
"จ่าคลั่ง"ก่อเหตุสุดสลด
ทั้งนี้ จากกรณี จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา อายุ 32 ปี สังกัดกองพันสรรพาวุธกระสุนที่ 22 กองบัญชาการช่วยรบที่ 2 ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ จ.นครราชสีมา ก่อเหตุใช้อาวุธปืนยิง พ.อ.อนันต์ฐโรจน์ กระแส อายุ 48 ปี ผู้บังคับกองพันสรรพาวุธกระสุน ที่ 22 กองบัญชาการช่วยรบที่ 2 กองทัพภาคที่ 2 และนางอนงค์ มิตรจันทร์ อายุ 65 ปี แม่ยายของ พ.อ.อนันต์ฐโรจน์ เสียชีวิต ที่บ้านเลขที่ 187 หมู่ 3 บ้านถนนหัก ต.หนองจะบก อ.เมืองฯ จ.นครราชสีมา สาเหตุจากการที่ จ.ส.อ.จักรพันธ์ ไปทวงเงินส่วนเกิน จากนายหน้าซื้อขายที่ดิน แต่ตกลงกันไม่ได้ จึงได้ก่อเหตุดังกล่าว เมื่อเวลาประมาณ 15.30 น. วันที่ 8 ก.พ.
จากนั้น จ.ส.อ.จักรพันธ์ ได้กลับไปที่ ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ อ.เมืองฯ จ.นครราชสีมา ใช้อาวุธปืนยิงทหารเวรที่เฝ้าคลังอาวุธ เสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บ 1 นาย แล้วเข้าไปนำอาวุธสงคราม พร้อมกระสุนปืน และระเบิด ก่อนขับรถฮัมวี หลบหนีออกด้านหลังค่าย แล้ววกเข้ามาในตัวเมืองนครราชสีมา
ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งเหตุแล้ว จึงพยายามเข้าสกัด แต่ จ.ส.อ.จักรพันธ์ ได้ใช้อาวุธสงคราม กราดยิงใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจและประชาชน ในระหว่างทางที่หลบหนี และได้เข้าไปในศูนย์การค้า เทอร์มินอล 21 ถนนมิตรภาพ อ.เมืองฯ จ.นครราชสีมา เมื่อเวลาประมาณ 17.00 น. ซึ่งมีประชาชนจำนวนมากอยู่ในห้างดังกล่าว มีการจับตัวประชาชนจำนวนหนึ่งไว้เป็นตัวประกัน ส่วนพนักงานในห้างและประชาชนที่จับจ่ายซื้อสินค้าต่างหาที่ปลอดภัยหลบซ่อนตัว และบางส่วนหลบหนีออกจากห้าง
ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ และทหารในพื้นที่ ได้ส่งกำลังเข้าปฏิบัติการปิดล้อมห้างดังกล่าว ทำการช่วยเหลือประชาชนที่ติดอยู่ในห้างออกมาได้อย่างปลอดภัย เป็นระยะๆ จำนวนหลายร้อยคน
ต่อมา พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์บินด่วนจากกรุงเทพฯไปที่ จ.นครราชสีมา เพื่อกำกับการปฏิบัติการด้วยตัวเอง
ขณะที่ผู้บังคับการตำรวจมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ 904 รอ. ก็ได้ส่งกำลังคอมมานโด ไปร่วมปฏิบัติการ ร่วมกับหน่วยหนุมาน จากกองปราบฯ ตำรวจหน่วยนเรศวร 261 ตชด. และเจ้าหน้าที่ทหาร
เช่นเดียวกับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ก็เดินทางไปบัญชาการที่ รพ.มหาราช เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ที่ทะยอยถูกส่งตัวเข้ามารับการรักษา ทั้งที่ รพ.มหาราช และรพ.ในตัวเมือง จ.นครราชสีมา อีกหลายแห่ง
ขณะที่ ตำรวจ สภ.เมืองชัยภูมิ ได้ไปรับตัว นางจรัลศรี แสงชมภู อายุ 63 ปี แม่ของ จ.ส.อ.จักรพันธ์ ที่บ้านพัก ใน อ.เมืองฯ จ.ชัยภูมิ นำตัวไปยังห้างเทอร์มินอล 21 จ.นครราชสีมา เพื่อไปเจรจาเกลี้ยกล่อมให้จ.ส.อ.จักรพันธ์ ยอมปล่อยตัวประกัน และมอบตัวต่อเจ้าหน้าที่ แต่การเจรจาไม่เป็นผล
กระทั่งเวลาประมาณ 24.00 น. เจ้าหน้าที่ที่เข้าปฏิบัติการก็สามารถเคลียร์พื้นที่ ตั้งแต่ชั้น G ขึ้นไปด้านบนได้สำเร็จ สามารถนำประชาชนที่ติดค้างในห้างออกมาได้อย่างปลอดภัย ส่วน จ.ส.อ.จักรพันธ์ ได้ลงไปหลบซ่อนตัวที่ บริเวณฟูดแลนด์ ชั้น LG ซึ่งเป็นชั้นใต้ดินของห้าง โดยยังมีประชาชนและพนักงานของห้างจำนวนหนึ่ง ติดค้างอยู่ที่ ชั้น LGด้วย
ต่อมาเวลาประมาณ 03.20 น. ( 9 ก.พ.) มีเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด คล้ายมีการปะทะกัน ภายในห้างเทอร์มินอล 21 ซึ่งต่อมามีรายงานว่า เป็นการยิงปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ ที่เข้าปฏิบัติการ กับคนร้าย ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ หน่วยอรินทราช เสียชีวิต 1 นาย และตำรวจหน่วยพิเศษ บาดเจ็บ 2 นาย
"บิ๊กแป๊ะ"คุมปฏิบัติการด้วยตัวเอง
กระทั่งเวลา 09.02 น. หลังจากเกิดเหตุมากว่า 17 ชม. เจ้าหน้าที่ชุดหนุมานของกองปราบฯ จึงได้วิสามัญฆาตกรรม จ.ส.อ.จักรพันธ์ ที่ บริเวณฟูดแลนด์ โซน A ชั้น LG ชั้นใต้ดินของห้างเทอร์มินอล 21 นั่นเอง
รายงานข่าวเปิดเผยว่า ก่อนวิสามัญฯ เจ้าหน้าที่ได้เข้าเคลียร์ตามห้องต่างๆ ภายในตัวห้าง โดยเวลา 08.30 น. เจ้าหน้าที่เข้าเคลียร์ในห้องเย็น ซึ่งอยู่ติดกัน 2 ห้อง โดยในห้องแรก พบตัวประกันถูกยิง ทำให้จ.ส.อ.จักรพันธ์ ที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องติดกันกราดยิงใส่เจ้าหน้าที่ ทางเจ้าหน้าที่จึงยิงตอบโต้ และ จ.ส.อ.จักรพันธ์ จึงถูกวิสามัญฆาตกรรม ในที่สุด
นอกจากนี้ ยังมีคลิปเหตุการณ์ภายในห้าง นาทีที่เจ้าหน้าที่ระดมยิงตอบโต้คนร้ายอย่างดุเดือด เสียงปืนดังสนั่น โดยในคลิปมีเสียงของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ที่ได้เข้ากำกับการปฏิบัติการ และตะโกนสั่งการผู้ใต้บังคับบัญชาในเหตุการณ์นี้ด้วยตัวเอง ก่อนสามารถปิดปฏิบัติการจับตายคนร้ายได้สำเร็จ และเจากการเข้าเคลียร์พื้นที่ พบคนร้ายมีอาวุธติดตัวจำนวนมาก จากนั้นได้ส่งหน่วยอีโอดี เข้าตรวจสอบหาระเบิดที่คนร้ายนำติดตัวมาด้วย
สำหรับ จ.ส.อ.จักรพันธ์ เป็นชาว จ.ชัยภูมิ ชาวบ้านหมู่ที่ 6 ต.ในเมือง อ.เมืองฯ จ.ชัยภูมิ เป็นนักเรียนโรงเรียนชัยภูมิภักดีชุมพล รุ่นที่ 106 และเป็นนักเรียนนายสิบทหารบก รุ่นที่ 10/49
นายกฯลั่นต้องไม่เกิดเหตุแบบนี้อีก
ต่อมาเวลา 11.53 น. ที่ รพ.มหาราช จ.นครราชสีมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวภายหลังการเข้าเยี่ยมผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ว่า ได้ติดตามสถานการณ์ และรับทราบรายงานสถานการณ์มาโดยตลอด ได้กำชับให้ใช้มาตรการที่เหมาะสม คำนึงถึงประชาชน การทำงานไม่ใช่เราไม่มีประสิทธิภาพ แต่ต้องคำนึงถึงการช่วยเหลือประชาชนให้ปลอดภัยมากที่สุด
เมื่อคืนที่ผ่านมา ก็ได้ติดต่อกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตลอดทั้งคืน มีคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องดูแลสถานการณ์ มีการดำเนินการตามขั้นตอนในทุกระดับ ดูแลประชาชนอย่างเต็มที่ ต้องยอมรับว่าสถานการณ์ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย และต้องไม่มีสถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก เพราะไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น
นอกจากนี้ได้มอบหมายกรมสุขภาพจิต เข้ามาดูแลครอบครัว และผู้ที่ได้รับบาดเจ็บรวมทั้งผู้ที่สูญเสียทั้งหมด โดยได้สั่งการในระดับผู้บังคัฐบัญชา ไปเรียบร้อยแล้ว ขอขอบคุณแพทย์ พยาบาล บุคลากรสาธารณสุข เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง รวมทั้งผู้ที่ร่วมกันบริจาคโลหิต ถือว่าได้ทั้งบุญและกุศลวันนี้ สิ่งสำคัญที่สุดทุกคนต้องมีบทเรียน แม้จะเคยผ่านสถานการณ์มาหลายครั้ง แต่ไม่เคยรุนแรงแบบนี้ ทุกอย่างคาดการณ์ไม่ได้ แต่เราต้องเตรียมให้พร้อมวันนี้ครั้งนี้ถือว่ารับมือได้ดี
ทั้งนี้ นายกฯ สรุปว่า มีได้รับบาดเจ็บ 57 ราย กลับบ้านแล้ว 25 อยู่ในรพ.32 ราย เสียชีวิตเบื้องต้น 27 รายรวมผู้ก่อเหตุด้วย
ต่อมา เวลา 13.35น. นายกฯ ได้แถลงข่าวอีกครังหลังเดินทางกลับจาก จ.นครราชสีมา ว่า รัฐบาลโดยตนเอง และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ได้นิ่งนอนใจในการแก้ปัญหา ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน ตามกฎหมายทุกประการ รัฐบาลจะละเลยความรับผิดชอบนี้ไปไม่ได้ รวมถึงฝ่ายความมั่นคงด้วย เป็นสิ่งที่เราจะต้องช่วยเหลือกันว่า จะทำอย่างไรไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก
ประการแรกคือ อยากให้ดูว่า ทำไมผู้ก่อเหตุ ถึงใช้โทรศัพท์ ใช้โซเชียลมีเดียโพสต์ออกมา แสดงว่า เขามีการใช้สื่อโซเชียลฯอย่างกว้างขวาง กว่าเราจะสามารถปิดเฟซบุ๊กของเขาได้ ต้องประสานงานไปที่บริษัทต่างประเทศ เพราะการขอปิดแบบนี้ จะต้องใช้กฎหมายทุกตัว รวมถึงขอคำสั่งศาล ตรงนี้เป็นสิ่งที่หลายคนเป็นห่วงว่า ทำไมรัฐบาลถึงปล่อยให้เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ซึ่งการจะขอให้เว็บไซต์ปิดได้ ก็มีกฎหมายคุ้มครอง รวมถึงเรื่องสิทธิส่วนบุคคล จึงขอให้เข้าใจด้วย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทุกคนทราบดีถึงสาเหตุอยู่แล้วว่า เกิดจากความขัดแย้งส่วนตัว แล้วมีความกดดันต่างๆ ทำให้อารมณ์คลุ้มคลั่ง ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยมาก่อน เราต้องมาย้อนกลับดูว่า การที่ดำเนินการไปแล้วถูกต้องหรือไม่
ทั้งนี้ จากการที่ตนได้ไปฟังรายงานสรุปก็ได้ให้คำแนะนำต่างๆ ไปหลายอย่าง ถ้าทำครบถ้วนแล้ว อาจจะลดความรุนแรงได้มากกว่านี้หรือไม่ จะต้องทำอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ ตั้งแต่มาตรการดูแล ที่แต่เดิมมันเคยเพียงพอ เช่น เจ้าหน้าที่ดูแลเรื่องกระสุน แต่วันนี้เขาถูกทำร้ายจนเสียชีวิตและถูกนำอาวุธออกมาได้ ตรงนี้เราต้องคิดใหม่ และหามาตรการฉุกเฉิน เพราะไม่เคยเกิดขึ้น มันเป็นเหตุการณ์สุดวิสัย ไม่ปกติ
ประการที่ 2 คือ เรื่องการใช้อาวุธของเจ้าหน้าที่ ซึ่งจะต้องระมัดระวังอย่างที่สุด ไม่ว่าจะเป็นผู้ร้ายหรือใครก็ตาม หรือแม้จะทำความผิดรุนแรงขนาดไหนก็ตาม จะต้องมีมาตรการที่เหมาะสมเป็นขั้นตอน ที่สำคัญจะต้องดูว่า คนที่อยู่ในอาคารจะต้องหลบอย่างไร ไม่ให้เกิดการสูญเสียมากขึ้นกว่าเดิม ขั้นตอนคือกว่าจะเอาคนออกมาได้หมด ถึงจะใช้อาวุธได้เต็มที่ แล้วเจ้าหน้าที่ ก็เสียสละชีวิตไปหลายคน เพราะเขาไม่กล้าใช้อาวุธอย่างเต็มที่ ดังนั้นการเข้าไปหา และอีกฝ่ายหนึ่ง อยู่ในที่กำบังที่เหมาะสม ตัวอาคารก็มีซอกมุมที่ใช้หลบได้ง่าย การตรวจการณ์ จึงทำได้ยาก
ขณะที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข โพสต์ข้อ ความขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยและทีมแพทย์ทุกคนที่ร่วมทำงานในเหตุการณ์ครั้งนี้
"ขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกหน่วย และ ทีมแพทย์ทุกคน ทำงานหนักข้ามวันข้ามคืน ไม่ได้หยุดสักนาที ขอบคุณสื่อมวลชน และประชาชนทุกคนที่ให้ความร่วมมือ และ ให้การสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่ เป็นอย่างดี ความร่วมมือของทุกคน จะทำให้เรายุติเหตุการณ์อันโหดร้ายนี้ได้เร็วที่สุด”
ล่าสุดตาย 30ศพ บาดเจ็ย 53 ราย
ล่าสุดเมื่อเวลา 18.00น. วานนี้ (9ก.พ.)นายวิเชียร จันทรโณทัย ผวจ.นครราชสีมา แจ้งว่า จากเหตุการณ์ดังกล่าว มีผู้เสียชีวิตรวม 30 ศพ (รวมคนร้ายผู้ก่อเหตุ) บาดเจ็บ 53 ราย และยังคงมีผู้บาดเจ็บสาหัส ที่ยังอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
แถลงการณ์ทบ. เสียใจอย่างสุดซึ้ง
ด้านกองทัพบก ได้ออกแถลงการณ์ แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ต่อญาติและครอบครัวของผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ โดยทันทีที่เกิดเหตุ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. ได้สั่งการให้กองทัพภาคที่ 2 เข้าควบคุมสถานการณ์ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยให้ดูแลความปลอดภัยของประชาชนทุกคนเป็นสำคัญ รวมทั้งได้เดินทางไปร่วมแก้ไขสถานการณ์ในพื้นที่ด้วยตัวเอง
ทั้งนี้ ผู้ก่อเหตุได้กระทำการอุกอาจ เป็นภัยอย่างยิ่งต่อบุคคลอื่น อีกทั้งยังได้ใช้อาวุธปืนยิงทหารรักษาการณ์ จนเสียชีวิต และบุกเข้าไปนำปืนและกระสุนของทางราชการไปทำร้ายผู้บริสุทธิ์ ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และประชาชน อันถือเป็นการกระทำความผิดที่ร้ายแรง และไม่สามารถยอมรับได้
การก่อเหตุที่เกิดขึ้น นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รวมทั้งได้สั่งการให้ทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการอย่างเร็วที่สุด โดยมีบัญชาให้ พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม เดินทางไปกำกับดูแลในพื้นที่ด้วย
กองทัพบกได้ดำเนินการอย่างเต็มที่ในการควบคุมพื้นที่ ทั้งในและนอกอาคาร โดยมีความปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญ พร้อมกับสอบสวนหาสาเหตุของการกระทำการครั้งนี้ และขอยืนยันว่าจะดูแลช่วยเหลือผู้บาดเจ็บและครอบครัวผู้เสียชีวิตอย่างดีที่สุด
หดหู่!ดับยกครัวพ่อ-แม่-ลูก 2 ขวบ
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่โรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา มีญาติผู้เสียชีวิตจำนวนมาก มาติดต่อรอรับศพ บรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้า ซึ่งทางโรงพยาบาลได้นำป้ายขนาดใหญ่ มาติดตั้งเป็นจุดรับศพเพื่อให้ญาติได้ติดต่อสะดวก โดยญาติผู้เสียชีวิตรายหนึ่ง กล่าวว่า ยังทำใจไม่ได้ เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่คาดคิดว่าลูกตัวเองจะอายุสั้นขนาดนี้ เพียงแต่ไปประสบเหตุการณ์ก็ถูกคนร้ายยิงจนเสียชีวิต
นอกจากนี้ ที่วัดหนองโคพรหมนิมิต บ้านหนองโค หมู่ที่ 1 ต.ตะแบกบาน อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา พระปลัดสุเทพสุรเมธี เจ้าอาวาสวัดหนองโคพรหมนิมิต ได้นำพี่น้องประชาชนชาวบ้านในพื้นที่ ร่วมกันสวดมนต์แผ่เมตตาให้กับผู้ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ประชาชนผู้เคราะห์ร้ายที่หลบอยู่ในห้าง และโชคร้ายถูกยิงเสียชีวิต ถูกนำศพออกมาและไปตรวจพิสูจน์ที่โรงพยาบาล และข้อมูลรายชื่อถูกเปิดเผยว่าเป็นใครบ้าง
โดยเป็นที่น่าหดหู่อย่างยิ่ง ที่ชาวเน็ตในโคราช ทราบข่าว และพากันโพสต์แสดงความเสียใจต่อครอบครัวหนึ่งรวม 3 ชีวิต ที่เป็นเหยื่อทหารคลั่ง ซึ่งเป็นเจ้าของร้านชวนจิว ตั้งอยู่บริเวณสี่แยกสวนหมาก เขตเทศบาลนครนครราชสีมา ต่างคอมเมนต์ด่าคนร้ายต่างๆ นานา ระบุว่า...มันเหี้...มาก แม้แต่เด็กมันก็ไม่เว้น ถูกยิงเสียชีวิตทั้ง 3 คน ที่ชั้น LG ของห้างเทอร์มินอล 21 โคราช
เพจโปลิศไทยแลนด์สดุดีตร.กล้าพลีชีพ 2 นาย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจโปลิศไทยแลนด์ ได้ทำการโพสต์สดุดีตำรวจผู้กล้า ที่ได้พลีชีพปิดปฏิบัติโคราช และติดแฮชแท็ก #สดุดีตำรวจผู้กล้า 2 นายพลีชีพ ปิดปฏิบัติการโคราช โดยระบุข้อความว่า
"ตายในสนามรบ เป็นเกียรติของค่ายนเรศวร" สู่สุขคติ ร.ต.อ.ตระกูล ทาอาษา ตำรวจพลร่ม รุ่น74 นสต.2/49 และส.ต.ท.กฤษฎา การุณ สังกัดอรินทราช 26 ซึ่งเป็นหนึ่ง นายทหารที่เสียชีวิต
จ่อลงดาบสื่อละเมิดคำสั่งรายงานสด
รายงานจากเพจสำนักงาน กสทช. เปิดเผยว่า ภายหลังที่สำนักงานได้ออกคำสั่งไปยังสถานีโทรทัศน์ทุกข่อง ให้งดการนำเสนอภาพข่าว การรายงานสด ที่จะส่งผลกระทบต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติการในเหตุการณ์ ใน จ.นครราชสีมา
จากการตรวจสอบของสำนักงาน กสทช. พบว่า ยังมีบางสถานี ที่ไม่ได้ปฎิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด จึงได้โทรศัพท์แจ้งเตือนโดยตลอด จนทำให้ระดับการรายงานข่าวที่ส่งผลกระทบต่อการปฎิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสำนักงาน กสทช. ได้ดำเนินงานอย่างเต็มกำลัง เพื่อแก้ไขปัญหาอันเกิดจากสถานการณ์เร่งด่วนดังกล่าว
หลังจากนี้ สำนักงานฯจะรีบบรรจุเรื่องนี้เป็นวาระเร่งด่วน เสนอที่ประชุม กสทช. เพื่อเรียกสถานีโทรทัศน์ทุกช่อง โดยเฉพาะสถานีที่มีการรายงานสด มาให้ข้อมูล พร้อมทั้งพิจารณาหลักฐานประกอบ ก่อนที่กสทช. จะลงมติดำเนินการกับช่องทีวีเหล่านั้นต่อไป และสำนักงาน กสทช. จะได้เรียกสถานีโทรทัศน์ทุกสถานี มาทำความเข้าใจการนำเสนอเนื้อหาที่มีความละเอียดอ่อน ส่งผลกระทบต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่ ที่ปฏิบัติงาน ชีวิต ความเป็นอยู่ของประชาชนอีกครั้ง เพื่อดำเนินการเสนอมาตรการรองรับการออกอากาศรายการในลักษณะดังกล่าว ต่อไป