นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ร่วมมือกับเครือข่ายภาคธุรกิจเอกชน ทั้งห้างสรรพสินค้า และร้านสะดวกซื้อ ออกมารณรงค์ และนำร่องงดแจกถุงพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวโดยสิ้นเชิง ในบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งห้างสรรพสินค้าและร้านค้าสะดวกซื้อรายใหญ่กว่า 43 ภาคี อาทิ ห้างเซ็นทรัล เดอะมอลล์ บิ๊กซี เซเว่นอีเลฟเว่น โลตัส ฯลฯ โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.ที่ผ่านมา
แต่การงดใช้ถุงพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวดังกล่าว กลับมิได้มีการเตรียมการหาภาชนะอื่นใดมาใช้ทดแทนให้กับประชาชนผู้มาใช้บริการ ห้างสรรพสินค้า และร้านสะดวกซื้อ แต่อย่างใด แต่กลับเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจห้างสรรพสินค้า และร้านค้าสะดวกซื้อ ที่จะได้ลดต้นทุนด้านการจัดเตรียมถุงพลาสติกไว้ให้บริการลูกค้าลง แถมมีห้างสรรพสินค้าบางราย ฉวยโอกาสในการโขกสับ เรียกค่าภาชนะบรรจุสินค้าในราคาที่สูงเกินควร โดยที่ผู้บริโภคไม่สามารถปฏิเสธได้ ซึ่งเป็นหน้าที่ของร้านค้า ที่จะต้องเตรียมหาภาชนะอื่นมาให้บริการลูกค้าฟรี มิใช่มาขูดรีดเอากับลูกค้า และดูเหมือนภาครัฐก็เพิกเฉย ทั้งๆที่เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องงจัดให้มีมาตรการ หรือกลไกที่มีประสิทธิภาพในการคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิของผู้บริโภคด้านต่างๆ อันเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค ตามรธน. มาตรา 61
การดำเนินการดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นการเอาเปรียบ และละเมิดสิทธิของผู้บริโภคอย่างร้ายแรง แม้การรณรงค์การแบนถุงพลาสติกเป็นสิ่งที่สังคมไทยส่วนใหญ่เห็นด้วย แต่การที่ห้างสรรพสินค้า และร้านสะดวกซื้อ จะฉวยโอกาสในการลดต้นทุนในการบริการ โดยไม่มีการจัดเตรียมภาชนะอื่นใดที่ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม มาให้บริการทดแทน เป็นการผลักภาระให้กับผู้บริโภคในการจัดเตรียมภาชนะไปใส่สินค้าเอง แม้จะมีประชาชนจำนวนมากนำ ถัง ถุงผ้า ถุงปุ๋ย เข่ง กะละมัง ตะกร้า ฯลฯ ไปเตรียมใส่สินค้า โดยถ่ายรูปนำมาแชร์กันในโซเชียลฯ อย่างสนุกสนานนั้น แต่ก็เป็นเพียงกระแสวูบวาบชั่วพักชั่วครู่ หากแต่ในระยะยาวรัฐบาล และห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อจะต้องจัดหาภาชนะบรรจุสินค้าทดแทนมาให้บริการผู้บริโภค จึงจะชอบด้วยกฎหมาย
ดังนั้น ทางสมาคมฯ จะเดินทางไปยื่นคำร้องต่อเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. ให้ใช้อำนาจตาม ม.4 ประกอบ ม.10(1)(9) ของ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค 2522 ในการกำหนดมาตรการอย่างใด เพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคดังกล่าวโดยเร็ว
แต่การงดใช้ถุงพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวดังกล่าว กลับมิได้มีการเตรียมการหาภาชนะอื่นใดมาใช้ทดแทนให้กับประชาชนผู้มาใช้บริการ ห้างสรรพสินค้า และร้านสะดวกซื้อ แต่อย่างใด แต่กลับเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจห้างสรรพสินค้า และร้านค้าสะดวกซื้อ ที่จะได้ลดต้นทุนด้านการจัดเตรียมถุงพลาสติกไว้ให้บริการลูกค้าลง แถมมีห้างสรรพสินค้าบางราย ฉวยโอกาสในการโขกสับ เรียกค่าภาชนะบรรจุสินค้าในราคาที่สูงเกินควร โดยที่ผู้บริโภคไม่สามารถปฏิเสธได้ ซึ่งเป็นหน้าที่ของร้านค้า ที่จะต้องเตรียมหาภาชนะอื่นมาให้บริการลูกค้าฟรี มิใช่มาขูดรีดเอากับลูกค้า และดูเหมือนภาครัฐก็เพิกเฉย ทั้งๆที่เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องงจัดให้มีมาตรการ หรือกลไกที่มีประสิทธิภาพในการคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิของผู้บริโภคด้านต่างๆ อันเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค ตามรธน. มาตรา 61
การดำเนินการดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นการเอาเปรียบ และละเมิดสิทธิของผู้บริโภคอย่างร้ายแรง แม้การรณรงค์การแบนถุงพลาสติกเป็นสิ่งที่สังคมไทยส่วนใหญ่เห็นด้วย แต่การที่ห้างสรรพสินค้า และร้านสะดวกซื้อ จะฉวยโอกาสในการลดต้นทุนในการบริการ โดยไม่มีการจัดเตรียมภาชนะอื่นใดที่ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม มาให้บริการทดแทน เป็นการผลักภาระให้กับผู้บริโภคในการจัดเตรียมภาชนะไปใส่สินค้าเอง แม้จะมีประชาชนจำนวนมากนำ ถัง ถุงผ้า ถุงปุ๋ย เข่ง กะละมัง ตะกร้า ฯลฯ ไปเตรียมใส่สินค้า โดยถ่ายรูปนำมาแชร์กันในโซเชียลฯ อย่างสนุกสนานนั้น แต่ก็เป็นเพียงกระแสวูบวาบชั่วพักชั่วครู่ หากแต่ในระยะยาวรัฐบาล และห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อจะต้องจัดหาภาชนะบรรจุสินค้าทดแทนมาให้บริการผู้บริโภค จึงจะชอบด้วยกฎหมาย
ดังนั้น ทางสมาคมฯ จะเดินทางไปยื่นคำร้องต่อเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. ให้ใช้อำนาจตาม ม.4 ประกอบ ม.10(1)(9) ของ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค 2522 ในการกำหนดมาตรการอย่างใด เพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคดังกล่าวโดยเร็ว
