วานนี้ (28พ.ย.) ที่ห้องประชุมคณะกรรมาธิการ(กมธ.)วิสามัญพิจารณาศึกษา ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ได้มีการพิจารณางบฯของกระทรวงกลาโหม โดยมีตัวแทนจาก 6 หน่วยงาน ประกอบด้วย พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทส.) พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) พล.อ.อ.มานัต วงษ์วาทย์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ) พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.ร.อ.สมประสงค์ นิลสมัย รองปลัดกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.อ.ดร.ปรีชา ประดับมุข ผอ.สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ เข้าชี้แจง
พล.อ.ณัฐ ชี้แจงว่า ตามร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2563 กระทรวงกลาโหมได้รับการจัดสรรงบประมาณ จำนวน 233,353,433,300 บาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2562 จำนวน 6,226 ล้านบาท คิดเป็น 2.74 เปอร์เซ็นต์ ต่อวงเงินงบประมาณดังกล่าว เราจะนำไปดำเนินตามกิจการของกระทรวงกลาโหมที่ได้รับมอบหมาย ภายใต้แผนปฏิบัติราชการประจำปี 2563 ของกระทรวงกลาโหม ซึ่งก็มีความเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติ อำนาจภายใต้ยุทธศาสสตร์ชาติ และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผนปฏิรูประเทศ และยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณประจำปีงบประมาณ 2563
พล.อ.ณัฐ ชี้แจงเพิ่มเติมในรายละเอียดว่า กระทรวงกลาโหมได้รับมอบภารกิจในการพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ ปกป้องเอกราช รักษาอธิปไตยความมั่นคงของรัฐ และผลประโยชน์ของประเทศชาติ ดำรงไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อยของประเทศชาติ และความสงบของประชาชน โดยยึดมั่นสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษติรย์ และประชาชน
กระทรวงกลาโหมจึงต้องเสริมสร้างความพร้อมรบ ทั้งในด้านกำลังพล ยุทโธปกรณ์ แผนการปฏิบัติด้านการรบ เพื่อให้มีความพร้อมที่จะนำไปสู่ภารกิจการป้องกัน และรักษาประเทศไว้ อีกทั้งยังสามารถรับมือกับภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติในทุกมิติได้ รวมทั้งกระชับความสัมพันธ์อันดีเพื่อสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน และลดความหวาดระแวงด้านสันติภาพ เสถียรภาพ และความมั่นคงให้เกิดขึ้นในภูมิภาค โดยได้มีการกำหนดวิสัยทัศน์เอาไว้ว่า ต้องมีศักยภาพทางการทหารทัดเทียมกับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายในปี 2569 ซึ่งได้มีการเสริมสร้าง พัฒนากองทัพให้มีโครงสร้างและศักยภาพเพียงพอและเหมาะสม ทั้งในด้านกำลังพล การข่าวด้านยุทธการ ตลอดจนอาวุธยุทโปกรณ์ และส่งเสริมงานด้ายวิจัยวิทยาศาตร์ และเทคโนโลยี และอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ให้มีความเข้มแข็งมุ่งไปสู่การพึ่งพาตนเองได้
พล.อ.ณัฐ กล่าวว่า ในปี 2562 ที่ผ่านมา ทางกระทรวงกลาโหมได้มีการดำเนินงานด้านความมั่นคงบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ได้กำหนดไว้ โดยมีเรื่องของการแก้ปัญหายาเสพติด การค้าอาวุธสงครามและสิ่งผิดกฎหมาย ด้วยการจัดกำลังลาดตระเวน สนธิกำลังเข้าตรวจค้น และจุดตรวจจุดค้นตลอดแนวชายแดน และช่องทางธรรมชาติ รวมทั้งได้มีการประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อบ้าน เพื่อขจัดปัญหาที่เกิดขึ้นตามแนวชายแดน การสร้างสภาวะแวดล้อมให้เป็นแนวปลอดภัยของชีวิต แก้ไขปัญหาผู้มีอิทธิพล การค้ามนุษย์ และสิ่งผิดกฎหมายอื่น
แนวทางการแก้ปัญหาของรัฐบาล เช่น การทำประมงผิดกฎหมาย การจัดระเบียบสังคม โดยจัดตั้งศูนย์บรรเทาสาธารณภัย ของกระทรวงกลาโหม และกองทัพไทย โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้ เพื่อสร้างความปลอดภัยในชีวิต ด้วยการปฏิบัติการทางทหาร การพัฒนาช่วยเหลือประชาชน และสนับสนุนการพูดคุยเพื่อสร้างความสงบสุข ให้เกิดขึ้น นอกจากนี้ยังมีการกระชับความสัมพันธ์ เสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงกับประเทศเพื่อนบ้าน และกลุ่มอาเซียน
พล.อ.ณัฐ ชี้แจงว่า ตามร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2563 กระทรวงกลาโหมได้รับการจัดสรรงบประมาณ จำนวน 233,353,433,300 บาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2562 จำนวน 6,226 ล้านบาท คิดเป็น 2.74 เปอร์เซ็นต์ ต่อวงเงินงบประมาณดังกล่าว เราจะนำไปดำเนินตามกิจการของกระทรวงกลาโหมที่ได้รับมอบหมาย ภายใต้แผนปฏิบัติราชการประจำปี 2563 ของกระทรวงกลาโหม ซึ่งก็มีความเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติ อำนาจภายใต้ยุทธศาสสตร์ชาติ และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผนปฏิรูประเทศ และยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณประจำปีงบประมาณ 2563
พล.อ.ณัฐ ชี้แจงเพิ่มเติมในรายละเอียดว่า กระทรวงกลาโหมได้รับมอบภารกิจในการพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ ปกป้องเอกราช รักษาอธิปไตยความมั่นคงของรัฐ และผลประโยชน์ของประเทศชาติ ดำรงไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อยของประเทศชาติ และความสงบของประชาชน โดยยึดมั่นสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษติรย์ และประชาชน
กระทรวงกลาโหมจึงต้องเสริมสร้างความพร้อมรบ ทั้งในด้านกำลังพล ยุทโธปกรณ์ แผนการปฏิบัติด้านการรบ เพื่อให้มีความพร้อมที่จะนำไปสู่ภารกิจการป้องกัน และรักษาประเทศไว้ อีกทั้งยังสามารถรับมือกับภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติในทุกมิติได้ รวมทั้งกระชับความสัมพันธ์อันดีเพื่อสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน และลดความหวาดระแวงด้านสันติภาพ เสถียรภาพ และความมั่นคงให้เกิดขึ้นในภูมิภาค โดยได้มีการกำหนดวิสัยทัศน์เอาไว้ว่า ต้องมีศักยภาพทางการทหารทัดเทียมกับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายในปี 2569 ซึ่งได้มีการเสริมสร้าง พัฒนากองทัพให้มีโครงสร้างและศักยภาพเพียงพอและเหมาะสม ทั้งในด้านกำลังพล การข่าวด้านยุทธการ ตลอดจนอาวุธยุทโปกรณ์ และส่งเสริมงานด้ายวิจัยวิทยาศาตร์ และเทคโนโลยี และอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ให้มีความเข้มแข็งมุ่งไปสู่การพึ่งพาตนเองได้
พล.อ.ณัฐ กล่าวว่า ในปี 2562 ที่ผ่านมา ทางกระทรวงกลาโหมได้มีการดำเนินงานด้านความมั่นคงบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ได้กำหนดไว้ โดยมีเรื่องของการแก้ปัญหายาเสพติด การค้าอาวุธสงครามและสิ่งผิดกฎหมาย ด้วยการจัดกำลังลาดตระเวน สนธิกำลังเข้าตรวจค้น และจุดตรวจจุดค้นตลอดแนวชายแดน และช่องทางธรรมชาติ รวมทั้งได้มีการประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อบ้าน เพื่อขจัดปัญหาที่เกิดขึ้นตามแนวชายแดน การสร้างสภาวะแวดล้อมให้เป็นแนวปลอดภัยของชีวิต แก้ไขปัญหาผู้มีอิทธิพล การค้ามนุษย์ และสิ่งผิดกฎหมายอื่น
แนวทางการแก้ปัญหาของรัฐบาล เช่น การทำประมงผิดกฎหมาย การจัดระเบียบสังคม โดยจัดตั้งศูนย์บรรเทาสาธารณภัย ของกระทรวงกลาโหม และกองทัพไทย โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้ เพื่อสร้างความปลอดภัยในชีวิต ด้วยการปฏิบัติการทางทหาร การพัฒนาช่วยเหลือประชาชน และสนับสนุนการพูดคุยเพื่อสร้างความสงบสุข ให้เกิดขึ้น นอกจากนี้ยังมีการกระชับความสัมพันธ์ เสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงกับประเทศเพื่อนบ้าน และกลุ่มอาเซียน