ผู้จัดการรายวัน 360 - “สมคิด”ลุ้นไตรมาส 3 และ 4 กระเตื้องขึ้น หลังต้องเจอมรสุมลบทั้งใน-นอกประเทศรุมเร้า พร้อมเดินหน้าผลักดันการลงทุนโครงการเมกะโปรเจกต์ ในพื้นที่อีอีซี เพื่อฟื้นเศรษฐกิจไทยปี 63 พร้อมชูการพัฒนาระบบสื่อสาร 5G ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลและส่งเสริมการลงทุนศูนย์ข้อมูลเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจ
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ปาฐกพิเศษหัวข้อ “Thailand 2020” ว่า ปัจจัยลบทั้งในประเทศและต่างประเทศส่งผลกระทบทำให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวต่อเนื่อง โดยไตรมาส 2 ขยายตัวร้อยละ 2.3 แต่เชื่อว่าไตรมาส 3 และ 4 จะปรับตัวทิศทางดีขึ้น ซึ่งต้องยอมรับว่า ช่วงที่ผ่านมาการจัดตั้งรัฐบาลต้องใช้เวลานาน รวมถึงภาวะเศรษฐกิจโลกไม่ดีส่งผลต่อเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญหลายประเทศ ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทย
ทั้งนี้ รัฐบาลได้พยายามหามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อรักษาอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2563 นอกจากภาคการท่องเที่ยวที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยแล้ว ภาคการลงทุนจะมีส่วนสำคัญโดยเฉพาะการลงทุนพื้นที่อีอีซี ซึ่งมีโครงการระบบคมนาคมที่เป็นโครงการขนาดใหญ่รอการลงทุนมากมาย ทั้งการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง โครงการพัฒนามาบตาพุด โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน
"ต้องผลักผลักดันเมกะโปรเจกต์เหล่านี้เกิดขึ้นให้ได้ เพราะจะเป็นปัจจัยสำคัญสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนต่างชาติ โดยรัฐบาลจะเร่งออกผังเมืองอีอีซี ทำให้การพัฒนาเกิดขึ้นเป็นระบบและมีการจัดการที่ดี"
นายสมคิด กล่าวว่า ปี 63 จะเป็นปีสำคัญในการพัฒนาระบบการสื่อสารแบบ 5G เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล โดยจะเน้นเข้าถึงประชาชน การจัดทำและส่งเสริมการลงทุนศูนย์ข้อมูลเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจ ซึ่งรัฐบาลขอให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) สนับสนุนการลงทุน เพื่อให้ภาคเอกชนเข้ามาลงทุน เนื่องจากการพัฒนาศูนย์ข้อมูลเหล่านี้จะมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนภาคธุรกิจ ซึ่งที่ผ่านมาเอกชนไทยเริ่มดำเนินการไปแล้ว หลังจากนี้ต้องมีการพัฒนาศูนย์ข้อมูลภาครัฐเพื่อก้าวให้ทันกัน
"รัฐบาลยังคงเร่งเดินหน้าผลักดันการลงทุนและการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้เติบโตขึ้นได้ในปี 63 หลังจากที่งบประมาณปี 63 ได้ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรไปแล้ว และจะเริ่มเบิกใช้งบได้ตั้งแต่เดือนม.ค. 63 ทำให้จะเริ่มเห็นความชัดเจนจากการผลักดันการลงทุนโครงการต่างๆ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆที่จะช่วยเหมือในทุกภาคส่วน ทำให้การบริโภคในประเทศมีการเติบโตขึ้น"
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ปาฐกพิเศษหัวข้อ “Thailand 2020” ว่า ปัจจัยลบทั้งในประเทศและต่างประเทศส่งผลกระทบทำให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวต่อเนื่อง โดยไตรมาส 2 ขยายตัวร้อยละ 2.3 แต่เชื่อว่าไตรมาส 3 และ 4 จะปรับตัวทิศทางดีขึ้น ซึ่งต้องยอมรับว่า ช่วงที่ผ่านมาการจัดตั้งรัฐบาลต้องใช้เวลานาน รวมถึงภาวะเศรษฐกิจโลกไม่ดีส่งผลต่อเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญหลายประเทศ ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทย
ทั้งนี้ รัฐบาลได้พยายามหามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อรักษาอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2563 นอกจากภาคการท่องเที่ยวที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยแล้ว ภาคการลงทุนจะมีส่วนสำคัญโดยเฉพาะการลงทุนพื้นที่อีอีซี ซึ่งมีโครงการระบบคมนาคมที่เป็นโครงการขนาดใหญ่รอการลงทุนมากมาย ทั้งการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง โครงการพัฒนามาบตาพุด โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน
"ต้องผลักผลักดันเมกะโปรเจกต์เหล่านี้เกิดขึ้นให้ได้ เพราะจะเป็นปัจจัยสำคัญสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนต่างชาติ โดยรัฐบาลจะเร่งออกผังเมืองอีอีซี ทำให้การพัฒนาเกิดขึ้นเป็นระบบและมีการจัดการที่ดี"
นายสมคิด กล่าวว่า ปี 63 จะเป็นปีสำคัญในการพัฒนาระบบการสื่อสารแบบ 5G เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล โดยจะเน้นเข้าถึงประชาชน การจัดทำและส่งเสริมการลงทุนศูนย์ข้อมูลเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจ ซึ่งรัฐบาลขอให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) สนับสนุนการลงทุน เพื่อให้ภาคเอกชนเข้ามาลงทุน เนื่องจากการพัฒนาศูนย์ข้อมูลเหล่านี้จะมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนภาคธุรกิจ ซึ่งที่ผ่านมาเอกชนไทยเริ่มดำเนินการไปแล้ว หลังจากนี้ต้องมีการพัฒนาศูนย์ข้อมูลภาครัฐเพื่อก้าวให้ทันกัน
"รัฐบาลยังคงเร่งเดินหน้าผลักดันการลงทุนและการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้เติบโตขึ้นได้ในปี 63 หลังจากที่งบประมาณปี 63 ได้ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรไปแล้ว และจะเริ่มเบิกใช้งบได้ตั้งแต่เดือนม.ค. 63 ทำให้จะเริ่มเห็นความชัดเจนจากการผลักดันการลงทุนโครงการต่างๆ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆที่จะช่วยเหมือในทุกภาคส่วน ทำให้การบริโภคในประเทศมีการเติบโตขึ้น"