ผู้จัดการรายวัน 360 - ชาวเน็ตแห่ประณามหนุ่มตี๋หัวร้อนสติหลุดหลังขับรถชนกับกระบะ ด่ากราดคนไทยทั้งประเทศ ดูถูกคู่กรณีชั้นต่ำ ขณะที่บริษัทที่เจ้าตัวทำงานอยู่ ออกประกาศแสดงความเสียใจ มีมติไล่ออกทันที 23 ต.ค.62 ด้านตร.ไล่เก็บหลักฐาน ผิดกฏหมายข้อไหนฟันไม่ละเว้น ก่อนจะควบคุมตัวเค้นสอบเหยียดคู่กรณี-ดูหมิ่นคนไทย
วานนี้ (23 ต.ค.) ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “โต้ เจ็ทโด้” ได้โพสต์คลิปวิดีโอชายเสื้อขาวรายหนึ่งขณะกำลังโวยวายกับผู้โพสต์ หลังเกิดอุบัติเหตุรถชนกันบริเวณถนนอุทยาน (อักษะ) เป็นถนนเชื่อมระหว่างถนนพุทธมณฑลสาย 3 ในพื้นที่แขวงทวีวัฒนา เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ โดยโพสต์ดังกล่าวผู้โพสต์ได้ระบุข้อความว่า
“กลับรถไม่ดูรถ มาทางตรงเลยน่ะเสี่ย ลงมาด่ากุยับเลย ไม่ตะบันหน้าให้ก็บุญแล้ว”
ภายหลังเกิดอุบัติเหตุแล้ว คู่กรณีทั้ง 2 คน ได้นำรถเทียบฟุตปาธและพูดคุยเพื่อหาข้อตกลงกัน แต่ปรากฏว่าชายเสื้อขาวได้เดินเข้ามาต่อว่าคู่กรณีด้วยถ้อยคำดูถูกเหยียดหยาม เช่น
“ขยะสังคม มึงมีปัญญาซื้อรถกูไหม มีปัญญาซื้อไหม มีเงินแสนเท่าไหร่ มีกี่ล้าน ผมมีออมสิน 1 ล้านบาท กูให้มึงดูเลย คนขับกระบะขับแย่ทุกคัน กูไม่เคยแคร์คนไทย คนไทยชั้นต่ำทั้งนั้น กูหมิ่นทุกคนแม้กระทั่งนายกฯ มีแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ อยู่เปล่า แค่ 5 ล้านเอง ลูกเศรษฐีคุณรู้จักเปล่า ขับรถป้ายแดงคันละล้านสอง มีทุกอย่างที่คุณไม่มี ประเทศไทยฉันไม่แคร์” อีกทั้งยังมีการอ้างว่าตนเองไม่กลัวเจ้าหน้าที่ตำรวจ เนื่องจากรู้จักกับเจ้าหน้าที่ตำรวจใหญ่
โดยเรื่องราวดังกล่าวได้ถูกแชร์ออกสู่โลกออนไลน์แล้วกลายเป็นที่สนใจจากชาวเน็ตเป็นอย่างมาก ทำให้มียอดวิวคลิปแล้วกว่า 3 ล้านครั้ง ยอดแชร์โพสต์อีกกว่า 2 แสนครั้ง และมีชาวเน็ตเข้ามาวิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรมของหนุ่มเสื้อขาวเป็นจำนวนมาก ถึงการที่พูดจาดูถูกคนไทยพร้อมไล่ให้ไปอยู่ประเทศอื่น อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายงานว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นฝ่ายใดเป็นผู้กระทำผิดกันแน่
หลังจากนั้น บริษัท กาซ่า ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด ซึ่งหนุ่มตี๋หัวร้อนได้ทำงานอยู่ ได้ออกมาโพสต์ชี้แจงว่า บริษัทฯ ได้จัดตั้งในประเทศไทยและได้ดำเนินกิจการเป็นไปตามกฎหมายไทยตลอดมา บริษัทฯเคารพและเชิดชูในสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์อย่างสูงสุด
จากเหตุการณ์ตามคลิปวิดีโอที่มีพนักงานของบริษัทฯ ใช้คำพูดและแสดงกริยาก้าวร้าวรุนแรง รวมถึงหมิ่นประเทศไทยและสถาบันพระมหากษัตริย์ ทางบริษัทฯรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บริษัทฯได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเหตุการณ์ดังกล่าวและมีมติเป็นเอกฉันท์ให้พนักงานดังกล่าวพ้นสภาพการเป็นพนักงาน ตามมาตรการและระเบียบบริษัทฯ โดยมีผลนับตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม 2562 เป็นต้นไป
ขณะเดียวกันชาวเน็ตได้ขุดประวัติก่อนหน้าพบว่า ชายคนดังกล่าวเคยได้มีโอกาสไปศึกษาที่ประเทศฝรั่งเศส และรับสอนภาษาฝรั่งเศสในประเทศไทย นอกจากนี้ ชาวเน็ตจำนวนมากเข้ามาถล่มคอมเมนต์วิจารณ์เสียหาย ด่าทอจำนวนมากถึงเพจรับสอนภาษาดังกล่าวด้วย
ด้านพ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) กล่าวว่า ได้รับรายงานจาก สภ.พุทธมณฑล ภ.จว.นครปฐม เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 ต.ค. 62 เวลาประมาณ 11.00 น. บริเวณจุดกลับรถ ด้านหน้าพุทธมณฑล บนถนนพุทธมณฑลสาย4 ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จว.นครปฐม
โดยฝ่ายรถยนต์เก๋งขับมาจากฝั่งถนนเพชรเกษม มากลับรถบริเวณดังกล่าว ต่อมาฝ่ายรถรถยนต์กระบะได้ขับขี่มาในทิศทางตรงจากศาลายา แล้วมาถึงบริเวณจุดกลับรถจึงได้เกิดการเฉี่ยวชนกัน แล้วมีการกระทบกระทั่งพร้อมและพูดจาด่าว่ากัน ตามคลิปที่สื่อสังคมออนไลน์ได้นำเสนอไปแล้วนั้น อีกทั้งจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า คู่กรณีทั้งสองฝ่ายนั้นได้ใช้สิทธิกับบริษัท ประกันภัย ตกลงไกล่เกลี่ย และชดใช้ค่าเสียหายซ่อมรถที่เกิดจากการเกิดเฉี่ยวชนให้แก่กัน
ส่วนในประเด็นที่มีการด่าว่าหรือดูหมิ่นกันนั้น ต้องมีการตรวจสอบว่าเป็นความผิดต่อส่วนตัวหรือเป็นความผิดต่ออาญาแผ่นดิน หากเป็นความผิดต่อส่วนตัวแล้วฝ่ายที่เสียหาย จะต้องมาร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน ให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายเสียก่อน ส่วนหากตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นความผิดต่ออาญาแผ่นดิน เจ้าหน้าที่รัฐก็สามารถกล่าวโทษเองเพื่อดำเนินการตรมขั้นตอนของกฎหมายได้
"ส่วนที่ชายคนดังกล่าวได้พูดในคลิปลักษณะที่ว่า "ตนเองอายุ 24 ปี เป็นลูกเศรษฐี มีรถป้ายแดงคันละล้านสอง มีทุกอย่างที่เจ้าของคลิปไม่มี และตนไม่แคร์ตำรวจ เพราะรู้จักนายตำรวจใหญ่" นั้น ถึงแม้จะเป็นการพูดส่วนตัวของคู่กรณี ก็ไม่อยากให้มาพูดพาดพิงหรือส่งผลเสียต่อองค์กรอื่นโดยหากตรวจสอบแล้วพบว่าการกระทำจากเหตุการณ์ข้างต้น เข้าข่ายเป็นความผิดตามกฎหมายใด ก็จะดำเนินคดีตามพยานหลักฐาน ไม่มีการยกเว้นว่ารู้จักผู้ใดหรือไม่ โดยที่ผ่านมามักมีการแอบอ้างลักษณะนี้เยอะ ทำให้ประชาชนมององค์กรตำรวจไม่ดี"รองโฆษกตร.กล่าว
ต่อมา พ.ต.อ.กัมปนาท ณ วิชัย ผกก.สภ.พุทธมณฑล ได้เชิญหนุ่มคนดังกล่าวมาสอบสวน โดยหนุ่มแว่นคนดังกล่าวเดินมาพร้อมแฟนสาวและครอบครัว โดยประเด็นการใช้วาจาหยาบคายดูหมิ่นซึ่งหน้าคู่กรณีนั้น ตอนนี้ไม่ได้มาแจ้งความร้องทุกข์ แต่มอบหมายให้พนักงานสอบสวนติดต่อผู้เสียหายว่าต้องการประสงค์ดำเนินคดีหรือไม่
ส่วนกรณีการใช้วาจาไม่เหมาะสมไปกระทบต่อบุคคลอื่น คงต้องมีการสอบสวนว่า มีผู้ใดเป็นฝ่ายเสียหายหรือไม่ หากมีเจ้าทุกข์เข้าแจ้งความร้องเรียนต้องดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
วานนี้ (23 ต.ค.) ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “โต้ เจ็ทโด้” ได้โพสต์คลิปวิดีโอชายเสื้อขาวรายหนึ่งขณะกำลังโวยวายกับผู้โพสต์ หลังเกิดอุบัติเหตุรถชนกันบริเวณถนนอุทยาน (อักษะ) เป็นถนนเชื่อมระหว่างถนนพุทธมณฑลสาย 3 ในพื้นที่แขวงทวีวัฒนา เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ โดยโพสต์ดังกล่าวผู้โพสต์ได้ระบุข้อความว่า
“กลับรถไม่ดูรถ มาทางตรงเลยน่ะเสี่ย ลงมาด่ากุยับเลย ไม่ตะบันหน้าให้ก็บุญแล้ว”
ภายหลังเกิดอุบัติเหตุแล้ว คู่กรณีทั้ง 2 คน ได้นำรถเทียบฟุตปาธและพูดคุยเพื่อหาข้อตกลงกัน แต่ปรากฏว่าชายเสื้อขาวได้เดินเข้ามาต่อว่าคู่กรณีด้วยถ้อยคำดูถูกเหยียดหยาม เช่น
“ขยะสังคม มึงมีปัญญาซื้อรถกูไหม มีปัญญาซื้อไหม มีเงินแสนเท่าไหร่ มีกี่ล้าน ผมมีออมสิน 1 ล้านบาท กูให้มึงดูเลย คนขับกระบะขับแย่ทุกคัน กูไม่เคยแคร์คนไทย คนไทยชั้นต่ำทั้งนั้น กูหมิ่นทุกคนแม้กระทั่งนายกฯ มีแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ อยู่เปล่า แค่ 5 ล้านเอง ลูกเศรษฐีคุณรู้จักเปล่า ขับรถป้ายแดงคันละล้านสอง มีทุกอย่างที่คุณไม่มี ประเทศไทยฉันไม่แคร์” อีกทั้งยังมีการอ้างว่าตนเองไม่กลัวเจ้าหน้าที่ตำรวจ เนื่องจากรู้จักกับเจ้าหน้าที่ตำรวจใหญ่
โดยเรื่องราวดังกล่าวได้ถูกแชร์ออกสู่โลกออนไลน์แล้วกลายเป็นที่สนใจจากชาวเน็ตเป็นอย่างมาก ทำให้มียอดวิวคลิปแล้วกว่า 3 ล้านครั้ง ยอดแชร์โพสต์อีกกว่า 2 แสนครั้ง และมีชาวเน็ตเข้ามาวิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรมของหนุ่มเสื้อขาวเป็นจำนวนมาก ถึงการที่พูดจาดูถูกคนไทยพร้อมไล่ให้ไปอยู่ประเทศอื่น อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายงานว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นฝ่ายใดเป็นผู้กระทำผิดกันแน่
หลังจากนั้น บริษัท กาซ่า ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด ซึ่งหนุ่มตี๋หัวร้อนได้ทำงานอยู่ ได้ออกมาโพสต์ชี้แจงว่า บริษัทฯ ได้จัดตั้งในประเทศไทยและได้ดำเนินกิจการเป็นไปตามกฎหมายไทยตลอดมา บริษัทฯเคารพและเชิดชูในสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์อย่างสูงสุด
จากเหตุการณ์ตามคลิปวิดีโอที่มีพนักงานของบริษัทฯ ใช้คำพูดและแสดงกริยาก้าวร้าวรุนแรง รวมถึงหมิ่นประเทศไทยและสถาบันพระมหากษัตริย์ ทางบริษัทฯรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บริษัทฯได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเหตุการณ์ดังกล่าวและมีมติเป็นเอกฉันท์ให้พนักงานดังกล่าวพ้นสภาพการเป็นพนักงาน ตามมาตรการและระเบียบบริษัทฯ โดยมีผลนับตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม 2562 เป็นต้นไป
ขณะเดียวกันชาวเน็ตได้ขุดประวัติก่อนหน้าพบว่า ชายคนดังกล่าวเคยได้มีโอกาสไปศึกษาที่ประเทศฝรั่งเศส และรับสอนภาษาฝรั่งเศสในประเทศไทย นอกจากนี้ ชาวเน็ตจำนวนมากเข้ามาถล่มคอมเมนต์วิจารณ์เสียหาย ด่าทอจำนวนมากถึงเพจรับสอนภาษาดังกล่าวด้วย
ด้านพ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) กล่าวว่า ได้รับรายงานจาก สภ.พุทธมณฑล ภ.จว.นครปฐม เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 ต.ค. 62 เวลาประมาณ 11.00 น. บริเวณจุดกลับรถ ด้านหน้าพุทธมณฑล บนถนนพุทธมณฑลสาย4 ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จว.นครปฐม
โดยฝ่ายรถยนต์เก๋งขับมาจากฝั่งถนนเพชรเกษม มากลับรถบริเวณดังกล่าว ต่อมาฝ่ายรถรถยนต์กระบะได้ขับขี่มาในทิศทางตรงจากศาลายา แล้วมาถึงบริเวณจุดกลับรถจึงได้เกิดการเฉี่ยวชนกัน แล้วมีการกระทบกระทั่งพร้อมและพูดจาด่าว่ากัน ตามคลิปที่สื่อสังคมออนไลน์ได้นำเสนอไปแล้วนั้น อีกทั้งจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า คู่กรณีทั้งสองฝ่ายนั้นได้ใช้สิทธิกับบริษัท ประกันภัย ตกลงไกล่เกลี่ย และชดใช้ค่าเสียหายซ่อมรถที่เกิดจากการเกิดเฉี่ยวชนให้แก่กัน
ส่วนในประเด็นที่มีการด่าว่าหรือดูหมิ่นกันนั้น ต้องมีการตรวจสอบว่าเป็นความผิดต่อส่วนตัวหรือเป็นความผิดต่ออาญาแผ่นดิน หากเป็นความผิดต่อส่วนตัวแล้วฝ่ายที่เสียหาย จะต้องมาร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน ให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายเสียก่อน ส่วนหากตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นความผิดต่ออาญาแผ่นดิน เจ้าหน้าที่รัฐก็สามารถกล่าวโทษเองเพื่อดำเนินการตรมขั้นตอนของกฎหมายได้
"ส่วนที่ชายคนดังกล่าวได้พูดในคลิปลักษณะที่ว่า "ตนเองอายุ 24 ปี เป็นลูกเศรษฐี มีรถป้ายแดงคันละล้านสอง มีทุกอย่างที่เจ้าของคลิปไม่มี และตนไม่แคร์ตำรวจ เพราะรู้จักนายตำรวจใหญ่" นั้น ถึงแม้จะเป็นการพูดส่วนตัวของคู่กรณี ก็ไม่อยากให้มาพูดพาดพิงหรือส่งผลเสียต่อองค์กรอื่นโดยหากตรวจสอบแล้วพบว่าการกระทำจากเหตุการณ์ข้างต้น เข้าข่ายเป็นความผิดตามกฎหมายใด ก็จะดำเนินคดีตามพยานหลักฐาน ไม่มีการยกเว้นว่ารู้จักผู้ใดหรือไม่ โดยที่ผ่านมามักมีการแอบอ้างลักษณะนี้เยอะ ทำให้ประชาชนมององค์กรตำรวจไม่ดี"รองโฆษกตร.กล่าว
ต่อมา พ.ต.อ.กัมปนาท ณ วิชัย ผกก.สภ.พุทธมณฑล ได้เชิญหนุ่มคนดังกล่าวมาสอบสวน โดยหนุ่มแว่นคนดังกล่าวเดินมาพร้อมแฟนสาวและครอบครัว โดยประเด็นการใช้วาจาหยาบคายดูหมิ่นซึ่งหน้าคู่กรณีนั้น ตอนนี้ไม่ได้มาแจ้งความร้องทุกข์ แต่มอบหมายให้พนักงานสอบสวนติดต่อผู้เสียหายว่าต้องการประสงค์ดำเนินคดีหรือไม่
ส่วนกรณีการใช้วาจาไม่เหมาะสมไปกระทบต่อบุคคลอื่น คงต้องมีการสอบสวนว่า มีผู้ใดเป็นฝ่ายเสียหายหรือไม่ หากมีเจ้าทุกข์เข้าแจ้งความร้องเรียนต้องดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป