ท่านผู้อ่านที่มีความเชื่อในศาสตร์พยากรณ์ คงจะเคยได้ยินคำว่า สะเดาะเคราะห์ โดยการปล่อยนก ปล่อยปลา และการไถ่ชีวิตโคกระบือ ด้วยการไปซื้อที่โรงฆ่าสัตว์แล้วนำไปถวายวัด นับว่าเป็นการต่ออายุให้แก่ผู้ที่เคราะห์ร้ายจนถึงแก่ชีวิต
ส่วนว่า ท่านที่สะเดาะเคราะห์ตามคำแนะนำของหมอดูแล้วได้ผลตามนั้นหรือไม่ เป็นเรื่องของพื้นดวงชะตาของแต่ละคน เพราะในความเป็นจริง เท่าที่ผู้เขียนมีประสบการณ์ในฐานะโหรสมัครเล่นเป็นเวลา 40 กว่าปี บางคนไปสะเดาะเคราะห์แล้วไม่ประสบเคราะห์กรรม แต่บางคนไปสะเดาะเคราะห์แล้ว ก็ยังประสบเคราะห์ร้ายจนถึงแก่ชีวิต
ดังนั้น จึงอนุมานได้ว่า การสะเดาะเคราะห์ดังกล่าวข้างต้น เป็นเพียงกุศโลบายให้คนไปทำบุญด้วยการให้ทานชีวิตแก่สัตว์ ซึ่งถ้ามองในแง่พุทธศาสนาแล้วถือได้ว่าเป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่ และได้บุญมากประการหนึ่ง เพราะเป็นการปลูกฝังเมตตาธรรมให้เกิดขึ้นในจิตใจของผู้ให้ทานชีวิต และจะทำให้ผู้นั้นไม่คิดจะฆ่าสัตว์
แต่ถ้าจะให้ได้บุญมากที่สุด จะต้องให้ทานชีวิตแก่มนุษย์ ซึ่งเป็นสัตว์ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งปวง เพราะเป็นผู้มีจิตใจสูง
ดังนั้น การที่รัฐบาลโดยคุณมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ผลักดันให้มีการยกเลิกการใช้สารพิษ 3 ชนิดในการทำเกษตรคือ พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต นับได้ว่าเป็นการให้ทานชีวิตแก่คนไทย โดยเฉพาะเกษตรกรผู้ฉีดพ่นซึ่งได้รับอันตรายจากสารพิษโดยตรง และผู้บริโภคผักและผลไม้ รวมทั้งสังคมโดยรวมได้รับอันตรายโดยอ้อมจากการที่สารพิษทั้ง 3 ชนิดนี้ปนเปื้อนในพืช ผัก และผลไม้ รวมไปถึงการตกค้างในดินและน้ำ ดังปรากฏตามรายงานของเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ซึ่งพอจะสรุปได้ดังนี้
1. พาราควอต เป็นสารที่มีพิษเฉียบพลัน และในปัจจุบันยังไม่มียาถอนพิษ ศูนย์พิษวิทยา รามาธิบดี พบว่า ผู้ป่วยที่ได้รับสารพิษนี้ทางผิวหนัง มีอัตราการตายสูงถึง 10.2% และสูงถึง 14.5% ในกรณีของผู้ป่วยที่ได้รับสารพิษจากอุบัติเหตุ
สารพิษเข้าสู่ร่างกายอย่างรวดเร็ว ผ่านแผลเผาไหม้ที่เกิดจากพาราควอตเอง หรือแผลบนผิวหนังของผู้ฉีดพ่น
จากงานวิจัยจากการสังเคราะห์ข้อมูลจากงานศึกษา 104 ชิ้นอย่างเป็นระบบ (Meta Analysis) ของ Gianni Pezzoli และ Emanuelle ยืนยันพาราควอตมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคพาร์กินสัน ประชากรที่ขาดยีน เช่น ชาวเอเชียมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคพาร์กินสันมากถึง 12 เท่า
ทั้งสารพิษชนิดนี้ยังตกค้างในสิ่งแวดล้อม ดังที่ปรากฏตามรายงานทางวิชาการของสถาบันวิจัยเพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการ และนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม ม.นเรศวร พบการปนเปื้อนในน้ำผิวดิน น้ำใต้ดิน น้ำประปาและน้ำดื่มบรรจุขวดในจ.น่าน รวมทั้งปลาที่เลี้ยง และจับได้จากแม่น้ำน่านมีปริมาณของสารพาราควอตเกินมาตรฐาน
2. คลอร์ไพริฟอส เป็นสารที่มีพิษต่อความผิดปกติด้านพัฒนาการด้านสมองของเด็กที่แม่ได้รับสารชนิดนี้ระหว่างตั้งครรภ์ ทำให้เด็กมีพัฒนาการช้า ความจำสั้น การเคลื่อนไหวแย่ลง หรือการตอบสนองช้า ไอคิวต่ำ สมาธิสั้น รวมไปถึงการพัฒนาการด้านจิตใจ และมีผลต่อเนื่องถึงแม้จะโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม ทั้งยังกระตุ้นให้เซลล์มะเร็งลำไส้ H29 เติบโตโดยผ่านทางตัวรับ EGFR และเป็นสาร EDCS ซึ่งมีผลต่อการควบคุมเมตาบอลิซึมของไขมันและกลูโคสในหนู ส่งผลกระทบต่อระบบต่อมไทรอยด์ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการมีพฤติกรรมซึมเศร้า และการฆ่าตัวตายได้
ทั้งยังเป็นสารที่ตกค้างในสิ่งแวดล้อม
3. ไกลโฟเซต เป็นสารที่น่าจะก่อให้เกิดมะเร็งเต้านมชนิดที่อาศัยฮอร์โมนเอสโตรเจน ทั้งเป็นสารที่รบกวนระบบทำงานของต่อมไร้ท่อ ดังที่ปรากฏตามรายงานของสมาคมต่อมไร้ท่อของสหรัฐฯ และยังเป็นสารที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อเซลล์รกของมนุษย์ภายใน 18 ชั่วโมง หลังจากที่ได้รับสารชนิดนี้
จากข้อสรุปข้างต้น จะเห็นได้ว่าสารพิษทั้ง 3 ชนิดนี้เป็นอันตราย ทั้งแก่เกษตรกรผู้ใช้ และแก่ผู้บริโภคผลผลิตทางด้านการเกษตร ทั้งหลายประเทศได้ประกาศเลิกใช้แล้ว
ดังนั้น การที่ประเทศไทยภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยกเลิกการใช้สารพิษ 3 ชนิดที่ได้จนเกิดผลในทางปฏิบัติได้ 100% คือยกเลิกการใช้ให้เด็ดขาด ไม่มีการใช้ทั้งในนาข้าว สวนผัก และผลไม้ โดยหันไปทำเกษตรอินทรีย์แทนในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวกับเกษตร ก็จะทำให้คุณภาพชีวิตของคนไทยดีขึ้น และถ้าทำได้เช่นนี้จริงก็เท่ากับว่าได้ทำทานชีวิตแก่คนไทยทั้งประเทศ รวมไปถึงชาวโลกที่บริโภคสินค้าเกษตรจากประเทศไทยด้วย
แต่ก่อนจะก้าวไปถึงจุดนี้ได้ ผู้เขียนเชื่อว่ารัฐบาลจะต้องเผชิญกับกระบวนการต่อต้านจากนายทุนผู้นำเข้าสาร 3 ชนิดนี้ โดยอาศัยเกษตรกรเป็นเครื่องมือในการต่อต้านแน่นอน และถ้ารัฐบาลอ่อนข้อให้ การเลิกจะเป็นได้แค่การควบคุมการใช้ ซึ่งเป็นได้แค่มาตรการบังหน้าเท่านั้น เพราะแท้จริงแล้วคงจะมีการใช้อย่างเดิม แต่อันตรายจะเกิดขึ้นกับเกษตรกรไทยผู้มีทุนน้อย และแรงงานต่างด้าวจะรับกรรมแทน เพราะในปัจจุบันแรงงานประเภทนี้คนไทยไม่ทำแล้ว ปล่อยให้แรงงานต่างด้าวยึดครองตลาดล่างของแรงงานไปเกือบหมดแล้ว