“บิ๊กป้อม” ปัดมีวิ่งเต้นล้มคดี “บิลลี่” แจง โยก “กรวัชร์” เป็นการตบรางวัล เดี๋ยวก็กลับมาใหม่ ยันยังให้ดูแลคดีอยู่ แย้ม 25 ต.ค.นี้จะเคาะออกหมายจับ-หมายเรียกใครบ้าง เลขาฯรมว.ยธ.ยันคดีฆาตกรรม”บิลลี่”ไม่มีมวยล้ม รมว.ทส.ไฟเขียวให้ทำคดีตรงไปตรงมา
วานนี้ (17 ต.ค.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสข่าวมีการวิ่งเต้นผู้ใหญ่ในทำเนียบรัฐบาล เพื่อให้ล้มคดีอุ้มฆ่านายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ แกนนำกลุ่มชาติพันธุ์เชื้อสายกะเหรี่ยง รวมถึงการโยกย้าย พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งรับผิดชอบคดี ไปเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม ทำให้เกิดมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมา พ.ต.ท.กรวัชร์ มีบทบาทสืบสวนสอบสวน คดีฆาตกรรมนายพอละจี ว่า “ไม่มี ผมไม่รู้เรื่อง ส่วนการโยกย้าย พ.ต.ท.กรวัชร์นั้น เป็นการตบรางวัล ไม่ได้เกี่ยวกันกับคดี และฤดูนี้เป็นฤดูโยกย้ายของเขา กระทรวงเขาก็ทำไป แล้วเดี๋ยวเขาก็กลับมาได้ ไม่เห็นเป็นอะไรเลย และถึงแม้ว่าจะอยู่ในตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรมก็ดูแลคดีได้”
ด้าน พ.ต.ท.กรวัชร์ เปิดเผยถึงการ ลงพื้นที่ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 7 ตำรวจภูธร ภาค7 จากการตรวจสอบถังน้ำมันของกลางซึ่งเป็นหลักฐานในคดีฆาตกรรมนายพอละจีว่า ต้องลงไปตรวจสอบเพื่อหาความชัดเจนว่าถังน้ำมันผ่านมาความร้อนในระดับไหนมีความสัมพันธ์กับชิ้นส่วนกระดูกที่พบหรือไม่ ซึ่งทางสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ระบุว่า ถังน้ำมันถูกเผาด้วยความร้อนสูง รายละเอียดยังบอกไม่ได้ทั้งหมด แต่ยืนยันว่าสอดรับกับรูปคดีของเรามากและสามารถนำมาเป็นพยานหลักฐานในคดีได้ ในช่วงที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ พยายามเน้นหลักฐานทางด้านนิติวิทยาศาสตร์ทั้งหมด และหากทราบผลทั้งหมดแล้วจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง
พ.ต.ท.กรวัชร์ กล่าวต่อว่า สำหรับกรณีที่ต้องนำถังน้ำมันของกลางได้นำเก็บรักษาไว้ที่ที่ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 7 เนื่องจากมีความเชี่ยวชาญ ความรู้และเครื่องมือที่สามารถตรวจสอบได้ และมีขั้นตอนการตรวจสอบจะหาความเชื่อมโยงทั้งหมดว่ามีการนำถังมาจากแหล่งใดบ้าง ต้องไล่หมดในทุกประเด็นทุกเรื่องเพื่อจะได้ตอบคำถามได้ ตามกระบวนการในการพิสูจน์เมื่อพบพยานหลักฐาน ทั้งพยานแวดล้อม พยานบุคคล รวมทั้งพยานหลักฐานที่สำคัญก็คือ นิติวิทยาศาสตร์เพื่อนำไปดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด เจ้าหน้าที่ดีเอสไอต้องหาหลักฐานให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
“วันที่ 25 ต.ค.นี้ในเวลา 09.00 น.จะมีการเรียกประชุมพนักงานสอบสวนคดีฆาตกรรมนายพอละจี ที่ลงพื้นที่ไปทำคดีอีกครั้ง ส่วนจะมีการออกหมายจับ หมายเรียก หรือหมายค้นหรือไม่นั้นต้องรอฟังว่าพยานหลักฐานที่รวบรวมได้มีมากขนาดไหน รวมทั้งต้องรอผลตรวจกระดูกส่วนที่เหลือจากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ด้วยเช่นกัน เชื่อว่าผลตรวจกระดูกน่าจะออกทันภายในวันที่ 25 ต.ค. ซึ่งคาดว่าทางนิติวิทยาศาสตร์จะดำเนินการทั้งหมดให้ครบวงรอบ” พ.ต.ท.กรวัชร์ ระบุ
วันเดียวกัน ที่กระทรวงยุติธรรม ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการ รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงกระแสข่าวว่ามีความพยายามวิ่งเต้นล้มคดีนายพอละจีว่า ไม่เป็นความจริงเ พราะก่อนหน้านี้ตนเองเคยหารือกับ นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แล้ว และนายวราวุธได้แจ้งว่าให้เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา ดังนั้นการทำงานของเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ จึงไม่มีแรงกดดันใดๆทั้งสิ้น อย่างไรก็ตามสำหรับข้อกังวลของกลุ่มนักสิทธิมนุษยชนและเอ็นจีโอ ที่เกรงว่าคดีนี้อาจจะสะดุดลง หรือกลัวว่าจะไม่มีการออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องในคดีนี้ไม่ต้องห่วง คดีนี้ไม่มีมวยล้ม แต่ละช่วงเวลาเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ก็จะมีการรายงายความคืบหน้าของคดีนี้ให้รับทราบเป็นระยะ และหากรวบรวมพยานหลักฐานครบสมบูรณ์หรือเพียงพอที่จะขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องหาแน่นอน
วานนี้ (17 ต.ค.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสข่าวมีการวิ่งเต้นผู้ใหญ่ในทำเนียบรัฐบาล เพื่อให้ล้มคดีอุ้มฆ่านายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ แกนนำกลุ่มชาติพันธุ์เชื้อสายกะเหรี่ยง รวมถึงการโยกย้าย พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งรับผิดชอบคดี ไปเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม ทำให้เกิดมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมา พ.ต.ท.กรวัชร์ มีบทบาทสืบสวนสอบสวน คดีฆาตกรรมนายพอละจี ว่า “ไม่มี ผมไม่รู้เรื่อง ส่วนการโยกย้าย พ.ต.ท.กรวัชร์นั้น เป็นการตบรางวัล ไม่ได้เกี่ยวกันกับคดี และฤดูนี้เป็นฤดูโยกย้ายของเขา กระทรวงเขาก็ทำไป แล้วเดี๋ยวเขาก็กลับมาได้ ไม่เห็นเป็นอะไรเลย และถึงแม้ว่าจะอยู่ในตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรมก็ดูแลคดีได้”
ด้าน พ.ต.ท.กรวัชร์ เปิดเผยถึงการ ลงพื้นที่ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 7 ตำรวจภูธร ภาค7 จากการตรวจสอบถังน้ำมันของกลางซึ่งเป็นหลักฐานในคดีฆาตกรรมนายพอละจีว่า ต้องลงไปตรวจสอบเพื่อหาความชัดเจนว่าถังน้ำมันผ่านมาความร้อนในระดับไหนมีความสัมพันธ์กับชิ้นส่วนกระดูกที่พบหรือไม่ ซึ่งทางสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ระบุว่า ถังน้ำมันถูกเผาด้วยความร้อนสูง รายละเอียดยังบอกไม่ได้ทั้งหมด แต่ยืนยันว่าสอดรับกับรูปคดีของเรามากและสามารถนำมาเป็นพยานหลักฐานในคดีได้ ในช่วงที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ พยายามเน้นหลักฐานทางด้านนิติวิทยาศาสตร์ทั้งหมด และหากทราบผลทั้งหมดแล้วจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง
พ.ต.ท.กรวัชร์ กล่าวต่อว่า สำหรับกรณีที่ต้องนำถังน้ำมันของกลางได้นำเก็บรักษาไว้ที่ที่ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 7 เนื่องจากมีความเชี่ยวชาญ ความรู้และเครื่องมือที่สามารถตรวจสอบได้ และมีขั้นตอนการตรวจสอบจะหาความเชื่อมโยงทั้งหมดว่ามีการนำถังมาจากแหล่งใดบ้าง ต้องไล่หมดในทุกประเด็นทุกเรื่องเพื่อจะได้ตอบคำถามได้ ตามกระบวนการในการพิสูจน์เมื่อพบพยานหลักฐาน ทั้งพยานแวดล้อม พยานบุคคล รวมทั้งพยานหลักฐานที่สำคัญก็คือ นิติวิทยาศาสตร์เพื่อนำไปดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด เจ้าหน้าที่ดีเอสไอต้องหาหลักฐานให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
“วันที่ 25 ต.ค.นี้ในเวลา 09.00 น.จะมีการเรียกประชุมพนักงานสอบสวนคดีฆาตกรรมนายพอละจี ที่ลงพื้นที่ไปทำคดีอีกครั้ง ส่วนจะมีการออกหมายจับ หมายเรียก หรือหมายค้นหรือไม่นั้นต้องรอฟังว่าพยานหลักฐานที่รวบรวมได้มีมากขนาดไหน รวมทั้งต้องรอผลตรวจกระดูกส่วนที่เหลือจากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ด้วยเช่นกัน เชื่อว่าผลตรวจกระดูกน่าจะออกทันภายในวันที่ 25 ต.ค. ซึ่งคาดว่าทางนิติวิทยาศาสตร์จะดำเนินการทั้งหมดให้ครบวงรอบ” พ.ต.ท.กรวัชร์ ระบุ
วันเดียวกัน ที่กระทรวงยุติธรรม ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการ รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงกระแสข่าวว่ามีความพยายามวิ่งเต้นล้มคดีนายพอละจีว่า ไม่เป็นความจริงเ พราะก่อนหน้านี้ตนเองเคยหารือกับ นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แล้ว และนายวราวุธได้แจ้งว่าให้เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา ดังนั้นการทำงานของเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ จึงไม่มีแรงกดดันใดๆทั้งสิ้น อย่างไรก็ตามสำหรับข้อกังวลของกลุ่มนักสิทธิมนุษยชนและเอ็นจีโอ ที่เกรงว่าคดีนี้อาจจะสะดุดลง หรือกลัวว่าจะไม่มีการออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องในคดีนี้ไม่ต้องห่วง คดีนี้ไม่มีมวยล้ม แต่ละช่วงเวลาเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ก็จะมีการรายงายความคืบหน้าของคดีนี้ให้รับทราบเป็นระยะ และหากรวบรวมพยานหลักฐานครบสมบูรณ์หรือเพียงพอที่จะขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องหาแน่นอน