xs
xsm
sm
md
lg

ไก่งวงตุรกี...กับ “กฎแห่งกรรม”

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

ผู้อพยพชาวเคิร์ดในซีเรีย
ช่วงระหว่างนี้...คงต้องขออนุญาตเขียนๆ-หยุดๆ ไปเป็นพักๆ เพราะนอกจากต้องแวะไป “ดูใจ” มารดาบังเกิดเกล้า ที่ป่วยติดเตียงมาแล้วเป็นปีๆ ตัวเองยังต้องเข้าๆ-ออกๆโรงหมออีกต่างหาก แต่สำหรับวันนี้ที่ยังพอมีเวลาร่อนไป-ร่อนมา คงหนีไม่พ้นต้องลองร่อนไปดูสถานะอาการของ “ไก่งวงตุรกี” ที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาบุกตะลุยพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศซีเรีย จนก่อให้เกิดบรรยากาศ “วอนทั้งโลก...โขกหัวเธอ” กันเห็นๆ...

คือไม่เพียงแต่บรรดาประเทศพันธมิตรผู้มีส่วนในการกอบกู้สันติภาพในซีเรียร่วมกับตุรกี อย่างรัสเซีย-อิหร่าน รวมไปถึงคุณพี่จีน จะแสดงความ “ไม่เห็นควรด้วย” ต่อการตัดสินใจในลักษณะทำนองนี้ อย่างค่อนข้างชัดเจนพอสมควร กระทั่งคุณพ่ออเมริกา จะด้วยเหตุเพราะเริ่มรู้สึกเสียหน้า เสียรังวัด ขึ้นมามั่งแล้ว ไม่ว่าจะหน้าหนา หน้าทน เพียงใดก็ตาม จากข้อกล่าวหาว่า “ทรยศ” หรือ “แทงข้างหลัง” พันธมิตรผู้เคยพลีเลือด พลีเนื้อให้กับรัฐบาลและกองทัพอเมริกันมาโดยตลอด อย่างพวก “กบฏชาวเคิร์ด” ที่ถูกปล่อยลอยแพให้กองทัพตุรกีไล่ทุบ ไล่กระทืบ ผู้นำอเมริกันอย่าง “ทรัมป์บ้า” จึงนอกจากจะตัดสินใจประกาศ “คว่ำบาตร” รัฐบาลตุรกี ด้วยการระงับข้อตกลงทางการค้ามูลค่า 100,000 ล้านดอลลาร์ ยังถึงกับออกมา “ทวีต” เมื่อช่วงวันจันทร์ (14 ต.ค.) ที่ผ่านมาด้วยข้อความว่า... “ใครที่คิดว่าช่วยซีเรียปกป้องชาวเคิร์ดได้...ผมก็ยินดีทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นรัสเซีย จีน หรือนโปเลียน โบนาปาร์ตก็ตาม เพราะสำหรับเราแล้ว...เราอยู่ไกลไปถึง 7,000 ไมล์” นี่...ต้องเรียกว่าอะไรจะ “กลิ้ง” ไปได้ถึงปานนั้น คือขนาดประธานาธิบดี “เออร์โดกัน” ผู้ได้ชื่อว่า “เจอแขกกับเจองู...ต้องตีเออร์โดกันเอาไว้ก่อน” แต่เมื่อเจอกับผู้นำอเมริกัน ยังแทบไม่รู้ว่า ถ้าต้องเจอ “เออร์โดกัน” กับเจอ “ทรัมป์” ควรจะตีอะไรก่อนกันแน่...

ส่วนบรรดาประเทศในยุโรป ไม่ว่าอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี ก็ประกาศเลิกติดต่อซื้อ-ขายอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ให้กับกองทัพตุรกีไว้ชั่วคราว ไปจนถึงประเทศสันนิบาตชาติอาหรับทั้งหลาย รวมทั้งสหประชาชาติ ต่างก็ไม่เห็นด้วยกับความพยายามที่จะบุกตะลุยเข้าไปในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของซีเรีย โดยกองทัพตุรกีและกองกำลัง “FSA” (Free Syrian Army) หรือพวกกบฏ พวกผู้ก่อการร้ายชาวซีเรีย ที่รัฐบาลตุรกีเคยให้ความสนับสนุนมาตั้งแต่ต้น เพื่อหวังสร้าง “เขตปลอดภัย” หรือ “safe zone” ลึกเข้าไปประมาณ 32 กิโลเมตร ตลอดแนวพรมแดนตุรกี-ซีเรีย เอาไว้รองรับ “ผู้ลี้ภัย” ชาวซีเรียที่หนีไปอออยู่ในตุรกีนับตั้งแต่เกิด “สงครามกลางเมือง” ในซีเรียเมื่อ 8 ปีที่แล้ว บรรดาความไม่เห็นควรด้วยเหล่านี้จึงส่งผลให้รัฐบาลตุรกีของประธานาธิบดี “เออร์โดกัน” ต้องตกอยู่ในสภาพ “วอนทั้งโลก...โขกหัวเธอ” ดังที่กล่าวไปแล้ว...

อย่างไรก็ตาม...คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธไม่ได้นั่นแหละว่า “ปัญหาผู้ลี้ภัย” ชาวซีเรียที่อพยพไปอยู่ในตุรกีนั้น เป็นปัญหาค่อนข้างร้ายแรงและคอขาดบาดตายสำหรับประเทศตุรกีและรัฐบาลประธานาธิบดี “เออร์โดกัน” ยิ่งขึ้นทุกที จนเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องหันมาอาศัยกรรมวิธีแบบหยาบๆ ง่ายๆ ดื้อๆ ทื่อๆ ด้วยการส่งทหารเข้าไปยึดพื้นที่ในประเทศซีเรียเอามาทำ “safe zone” ให้กับผู้ลี้ภัยชาวซีเรีย โดยอาจถือเป็นพื้นที่ “รัฐกันชน” พวกชาวเคิร์ดไปด้วยในตัว เพราะจำนวนผู้ลี้ภัยชาวซีเรียที่อพยพหลบหนีเข้ามาอยู่ในดินแดนตุรกีนับแต่เกิด “สงครามกลางเมือง” ในซีเรีย ช่วง 3 ปีแรก ก็ปาเข้าไปถึง 1.5 ล้านคน ปีถัดๆ มาเพิ่มขึ้นอีกไม่ต่ำกว่า 2.5 ล้านคน จนมีจำนวนประมาณ 3.6 ล้านคนตราบเท่าทุกวันนี้ หรือมีจำนวนถึง 4.4 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากรทั้งหมดในตุรกีปัจจุบัน...

ในจำนวนนี้ มีถึง 520,149 คน ที่เป็นผู้มีอายุประมาณ 4 ขวบหรือต่ำไปกว่านั้น หรือเป็นผู้เพิ่งถือกำเนิดขึ้นมาในประเทศตุรกี 494,646 คน อายุประมาณ 5-9 ขวบ อีกประมาณ 1 ล้านคนอายุประมาณ 9 ขวบ และ 800,000 คน อายุ 15-24 ปี บรรดาเด็กๆ เหล่านี้ ล้วนแต่ไม่ได้รับการศึกษา ถูกทอดทิ้งให้กลายเป็น “ปัญหาทางสังคม” ต่อพื้นที่ต่างๆ ในตุรกี และก่อให้เกิดความหวาดระแวง ความเกลียดชังระหว่างชาวตุรกีกับบรรดาผู้อพยพหนักยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ชนิดที่ต้องกางตัวเลขสถิติคดีอาชญากรรมในระหว่างปี ค.ศ. 2016-2017 ที่เพิ่มขึ้นประมาณ 6.4 เปอร์เซ็นต์ โดยมีการสรุปว่าในจำนวนตัวเลขสถิติที่เพิ่มขึ้นจำนวนถึง 19.6 เปอร์เซ็นต์มีความเกี่ยวข้องกับบรรดาผู้ลี้ภัยชาวซีเรีย ที่แพร่กระจายอยู่ตามเมืองต่างๆ บางเมืองมีจำนวนถึง 15-20 เปอร์เซ็นต์ของพลเมือง โดยเฉพาะบางเมือง เช่นเมือง “Kilis” จำนวนผู้ลี้ภัยชาวซีเรียมีถึง 80 เปอร์เซ็นต์ของพลเมืองเอาเลยถึงขั้นนั้น ดังนั้นสภาวะความตึงเครียด ความหวาดระแวง ไปจนถึงความเกลียดชังผู้อพยพของชาวตุรกีจึงออกจะหนักหน่วงรุนแรง ไม่แพ้บรรดาชาวยุโรป ที่ถูกกองทัพผู้ลี้ภัยหลั่งไหลเข้าไปในแต่ละประเทศนั่นเอง ชนิดส่งผลให้คะแนนนิยมของพรรครัฐบาล อย่างพรรค “AKP” (Justice and Development Party) ของประธานาธิบดี “เออร์โดกัน” ลดลงไปแบบฮวบๆ ฮาบๆ ต้องเสียเก้าอี้ให้กับพรรคฝ่ายค้าน จนอาจนำไปสู่การเสียเก้าอี้ประธานาธิบดี ในการเลือกตั้งปี ค.ศ. 2023 เอาง่ายๆ...

แต่ก็นั่นแหละ...บรรดา “ปัญหา” เหล่านี้ อาจต้องถือเป็น “ผลกรรม” ของประธานาธิบดี “เออร์โดกัน” อย่างมิอาจปฏิเสธได้ เหมือนอย่างที่บรรดาพรรคฝ่ายค้านในตุรกีนำมาโจมตี ว่าเป็นเพราะ “การดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ผิดพลาด” ของผู้นำตุรกีมาตั้งแต่แรกนั่นเอง คือตั้งแต่หันไปร่วมมือกับอเมริกาและประเทศตะวันตก หวังจะโค่นล้มรัฐบาลประธานาธิบดี “อัล-อัสซาด” ของซีเรียลงไปให้จงได้ โดยตัวประธานาธิบดี “เออร์โดกัน” เองนั่นแหละ ที่เคยลุกขึ้นมาป่าวประกาศว่ารัฐบาลซีเรียจะถูกโค่นล้มลงไปแน่ๆ ภายในช่วงเวลาแค่ 3 เดือนหลังสงครามกลางเมือง การจัดตั้งและให้ความสนับสนุนกบฏซีเรียอย่างกองกำลัง “FSA” รวมทั้งสร้างแคมป์ผู้ลี้ภัยเอาไว้รองรับลูกหลานของนักรบ “FSA” ทั้งหลาย จึงทำให้จำนวนและปริมาณผู้ลี้ภัยชาวซีเรียในตุรกีทุกวันนี้ ต้องกลายเป็นปัญหาสังคมของประเทศตุรกีทั้งประเทศไปจนได้...

ด้วยเหตุนี้...แม้จะพยายาม “แก้กรรม” หรือ “สแกนกรรม” หลังจากที่เห็นว่ารัฐบาล “อัล-อัสซาด” ไม่อาจถูกโค่นลงไปได้ง่ายๆ เพราะการสนับสนุนของรัสเซีย-อิหร่าน-จีน และอะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ ด้วยการพลิกข้าง เปลี่ยนข้าง หันไปร่วมมือกับอิหร่านและรัสเซียกลายเป็นหนึ่งในผู้ร่วมฟื้นฟูกระบวนการสันติภาพในซีเรีย แต่การกลิ้งไป-กลิ้งมา กลิ้งไว้ก่อนพ่อสอนไว้เช่นนี้ ก็ยังมิอาจช่วยให้ “กรรมเก่า” หมดลงไปได้โดยสิ้นเชิง ยิ่งคิดหันมาสร้าง “กรรมใหม่” ด้วยการบุกเข้าไปยึดพื้นที่เพื่อจัดตั้ง “safe zone” ไว้เป็นตัวระบาย ผ่องถ่ายปัญหาภายในของตัวเองให้ลดๆ ลงไปมั่งก็กลับยิ่งกลายเป็นการ “วอนทั้งโลก...โขกหัวเธอ” กันเห็นๆ อันนี้นี่แหละ...ที่อาจนำมาใช้เป็นอุทาหรณ์สอนใจ ว่า “ตาข่ายฟ้า” หรือ “กฎแห่งกรรม” นั้น ละเอียดอ่อนและถี่ยิบไปถึงขั้นไหน...
กำลังโหลดความคิดเห็น