** แม้ว่าพิจารณาจากคำแถลงการณ์ของสถานเอกอัครราชทูตจีนในประเทศไทย ที่มีเนื้อหาเน้นย้ำในเรื่อง“จีนเดียว”ไม่ต้องการให้ภายนอกแทรกแซงกิจการภายใน กรณีการชุมนุมในฮ่องกง ที่จีนถือว่าดินแดนภายใต้อธิปไตยของจีน รวมไปถึงยังเน้นย้ำให้เห็นว่า การชุมนุมดังกล่าวผิดกฎหมาย และมีเจตนาที่จะแบ่งแยกดินแดน ขณะเดียวกันยังได้ประณาม นักการเมืองไทยบางคน ว่ามีท่าทีสนับสนุนและติดต่อกันแกนนำที่มีความเคลื่อนไหวแบ่งแยกดินแดนดังกล่าว พร้อมเตือนให้ระวังจะส่งผลต่อความสัมพันธ์ของไทย-จีน ที่มีมาช้านานอีกด้วย
แม้ว่าในแถลงการณ์ข้างต้นของสถานเอกอัครราชทูตจีน ไม่ได้มีการระบุชื่อนักการเมืองคนใดออกมาให้ชัดก็ตาม แต่หากพิจารณาจากความเคลื่อนไหวก่อนหน้านั้น มันก็ย่อมพอเข้าใจได้ไม่ยาก โดยเฉพาะได้เห็นภาพที่เผยแพร่ออกมาในโลกโซเชียลฯ ที่เห็นภาพของ "ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ถ่ายรูปคู่กับ "โจชัว หว่อง" แกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมในฮ่องกง ที่ถูกทางการจีนหมายหัวเอาไว้ ว่ามีเจตนาเคลื่อนไหวแบ่งแยกดินแดนของจีน
ขณะเดียวกันทางด้าน "ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" ที่แม้ปากจะย้ำว่า ในแถลงการณ์ของสถานทูตจีน ไม่ได้ระบุชื่อถึงใคร หรือระบุชื่อถึงเขา แต่ตัวเองกลับมีการชี้แจงออกมาถึง 9 ข้อ
โดยเฉพาะยืนยันให้เห็นว่า ไม่ได้เคลื่อนไหวสนับสนุน "โจชัว หว่อง" เป็นเพียงการพบกันในงานสัมมนา ที่ได้รับเชิญจากนิตยสารอีโคโนมิสต์ ไปพูดบนเวที และภาพที่เห็นนั้น เป็นเพียงการสนทนาเพียง 5 นาที แล้วแยกย้ายกันไปเท่านั้น พร้อมทั้งยืนยันว่า การได้รับเชิญไปพูดในเวทีทางวิชาการ ยังเป็นการพบปะพูดคุยเรียนรู้ความเห็นจากคนหลากหลาย อีกทั้งยังย้ำว่าเขาสนับสนุนหลักการ “หนึ่งประเทศสองระบบ”ฯลฯ นอกเหนือจากนี้ เขายังพยายามชี้ให้เห็นอีกว่า นี่เป็นแผนเชื่อมโยงเพื่อใส่ร้ายป้ายสีทางการเมือง โดยสังเกตได้จากคำพูดของ ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ เป็นต้น
**แน่นอนว่า นาทีนี้ แม้จะไม่มีการระบุชื่อว่านักการเมืองไทยคนนั้นเป็นใคร แต่การออกรับแบบนี้ของ "ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" ไม่ต้องคิดมากแล้วว่าทางจีน หมายถึงใคร ซึ่งก็น่าจะทราบดี ขณะเดียวกันการออกมาชี้แจงอย่างทันควันของ ธนาธร มันก็แจ่มชัดในตัวของมันเองอยู่แล้ว และแม้ว่าเนื้อหาจะพยายามชี้แจง หรือแก้ตัวว่าตัวเองหนุนหลักการหนึ่งประเทศสองระบบ ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการชุมนุมในฮ่องกง หรือ โจซัว หว่อง ขณะเดียวกันยังได้โบ้ยไปที่คนอื่นว่ามีการเจตนาทำลายทางการเมือง
ก็ว่ากันไป สำหรับประเด็นการเมืองภายในประเทศ ที่ย่อมมีกลุ่มผู้สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ หรือพวกกลุ่มคนที่เป็น “แฟนคลับ”ของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่อาจฟังขึ้นว่าแบบไหนก็ว่าตามกัน แต่แน่นอนว่า สำหรับประเด็น “ต่างประเทศ”โดยเฉพาะความสัมพันธ์กันทางการจีนนั้น รับรองว่าต้องเป็นอีกเรื่องหนึ่งแน่นอน เพราะเชื่อว่าในคำแถลงของสถานทูตจีนในไทย ย่อมต้องเป็นท่าทีโดยนัยจากรัฐบาลของเขาด้วย เพราะหากพิจารณาย้อนไปถือว่าน้อยครั้งมากที่จีนจะมีท่าทีแบบนี้ออกมา นอกเหนือจากเรื่องที่ “ละเอียดอ่อน”ที่เขายอมไม่ได้ เหมือนกับกรณีฮ่องกงในเวลานี้ หรือที่ไต้หวัน เป็นต้น
เชื่อว่า กรณีของประเด็นที่เกี่ยวกับฮ่องกงนั้นทางฝ่ายจีนต้องมีข้อมูลมายืนยันชัดเจนแล้ว ถึงได้ออกแถลงการณ์แบบนั้นออกมา และเชื่อว่าคำชี้แจงของ ธนาธร ไม่น่าจะมีผลต่อความเชื่อของทางการจีน แต่อย่างใด
สิ่งที่ต้องพิจารณากันต่อก็คือ ผลกระทบที่จะตามมา ซึ่งแน่นอนว่า ย่อมส่งผลกระทบต่ออนาคตทางการเมืองของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพรรคอนาคตใหม่ของเขา ในเวทีระหว่างประเทศ โดยเฉพาะหากเขาสามารถฝ่าด่านการเมืองสารพัดที่กำลังเจออยู่ในเวลาผ่านพ้นไปได้จนก้าวไปถึงตำแหน่งผู้นำประเทศในอนาคต ซึ่งเชื่อว่าหากถึงเวลานั้นจริงๆ เขา จะต้องมีปัญหากับทางการจีนอย่างแน่นอน โดยเฉพาะท่าที่ ที่อาจไม่ได้รับการยอมรับจากทางการจีน หรือแม้แต่อาจถูกขึ้นแบล็กลิสต์ ไม่ให้เข้าประเทศนั้นหรือแม้แต่ฮ่องกงในอนาคตอันใกล้นี้ก็ได้
ซึ่งนั่นเท่ากับมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวง หากไม่ได้รับการยอมรับ หรือมีปัญหากับประเทศมหาอำนาจอย่างจีน ซึ่งไม่ใช่กระทบทางด้านส่วนตัวเพียงอย่างเดียวแต่จะกระทบไปถึงผลประโยชน์ระหว่างประเทศอีกด้วย
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากความเคลื่อนไหวดังกล่าวที่สะท้อนออกมาแล้ว ถือว่าเป็นบทเรียนสำคัญโดยตรงต่อ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ไม่รู้จักบทบาทของตัวเอง ที่ว่าสมควรจะยืนในแบบไหน กับการเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง การเป็นนักการเมือง ที่ไม่เคยคำนึงถึงเรื่องอ่อนไหวที่จะตามมา โดยลืมนึกไปว่า ที่ผ่านมาพยายามจะใช้ "โลกล้อมประเทศไทย" เพื่อดิสเครดิตรัฐบาลในปัจจุบัน โดยเดินหลงเข้าไปดินแดน หรือเรื่องราวบางอย่างที่ตัวเองก็คงไม่คาดคิดว่าจะได้รับผลกระทบที่รุนแรงกลับมาแบบนี้
**เชื่อว่าในกรณีนี้คงไม่ได้มีผลกระทบรุนแรงกับประเทศไทย หรือความสัมพันธ์ระหว่าง ไทยกับจีน แต่สำหรับตัว ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพรรคอนาคตใหม่ ย่อมได้รับผลกระทบรุนแรงตามมาแน่ โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับจีนในอนาคต !!
แม้ว่าในแถลงการณ์ข้างต้นของสถานเอกอัครราชทูตจีน ไม่ได้มีการระบุชื่อนักการเมืองคนใดออกมาให้ชัดก็ตาม แต่หากพิจารณาจากความเคลื่อนไหวก่อนหน้านั้น มันก็ย่อมพอเข้าใจได้ไม่ยาก โดยเฉพาะได้เห็นภาพที่เผยแพร่ออกมาในโลกโซเชียลฯ ที่เห็นภาพของ "ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ถ่ายรูปคู่กับ "โจชัว หว่อง" แกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมในฮ่องกง ที่ถูกทางการจีนหมายหัวเอาไว้ ว่ามีเจตนาเคลื่อนไหวแบ่งแยกดินแดนของจีน
ขณะเดียวกันทางด้าน "ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" ที่แม้ปากจะย้ำว่า ในแถลงการณ์ของสถานทูตจีน ไม่ได้ระบุชื่อถึงใคร หรือระบุชื่อถึงเขา แต่ตัวเองกลับมีการชี้แจงออกมาถึง 9 ข้อ
โดยเฉพาะยืนยันให้เห็นว่า ไม่ได้เคลื่อนไหวสนับสนุน "โจชัว หว่อง" เป็นเพียงการพบกันในงานสัมมนา ที่ได้รับเชิญจากนิตยสารอีโคโนมิสต์ ไปพูดบนเวที และภาพที่เห็นนั้น เป็นเพียงการสนทนาเพียง 5 นาที แล้วแยกย้ายกันไปเท่านั้น พร้อมทั้งยืนยันว่า การได้รับเชิญไปพูดในเวทีทางวิชาการ ยังเป็นการพบปะพูดคุยเรียนรู้ความเห็นจากคนหลากหลาย อีกทั้งยังย้ำว่าเขาสนับสนุนหลักการ “หนึ่งประเทศสองระบบ”ฯลฯ นอกเหนือจากนี้ เขายังพยายามชี้ให้เห็นอีกว่า นี่เป็นแผนเชื่อมโยงเพื่อใส่ร้ายป้ายสีทางการเมือง โดยสังเกตได้จากคำพูดของ ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ เป็นต้น
**แน่นอนว่า นาทีนี้ แม้จะไม่มีการระบุชื่อว่านักการเมืองไทยคนนั้นเป็นใคร แต่การออกรับแบบนี้ของ "ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" ไม่ต้องคิดมากแล้วว่าทางจีน หมายถึงใคร ซึ่งก็น่าจะทราบดี ขณะเดียวกันการออกมาชี้แจงอย่างทันควันของ ธนาธร มันก็แจ่มชัดในตัวของมันเองอยู่แล้ว และแม้ว่าเนื้อหาจะพยายามชี้แจง หรือแก้ตัวว่าตัวเองหนุนหลักการหนึ่งประเทศสองระบบ ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการชุมนุมในฮ่องกง หรือ โจซัว หว่อง ขณะเดียวกันยังได้โบ้ยไปที่คนอื่นว่ามีการเจตนาทำลายทางการเมือง
ก็ว่ากันไป สำหรับประเด็นการเมืองภายในประเทศ ที่ย่อมมีกลุ่มผู้สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ หรือพวกกลุ่มคนที่เป็น “แฟนคลับ”ของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่อาจฟังขึ้นว่าแบบไหนก็ว่าตามกัน แต่แน่นอนว่า สำหรับประเด็น “ต่างประเทศ”โดยเฉพาะความสัมพันธ์กันทางการจีนนั้น รับรองว่าต้องเป็นอีกเรื่องหนึ่งแน่นอน เพราะเชื่อว่าในคำแถลงของสถานทูตจีนในไทย ย่อมต้องเป็นท่าทีโดยนัยจากรัฐบาลของเขาด้วย เพราะหากพิจารณาย้อนไปถือว่าน้อยครั้งมากที่จีนจะมีท่าทีแบบนี้ออกมา นอกเหนือจากเรื่องที่ “ละเอียดอ่อน”ที่เขายอมไม่ได้ เหมือนกับกรณีฮ่องกงในเวลานี้ หรือที่ไต้หวัน เป็นต้น
เชื่อว่า กรณีของประเด็นที่เกี่ยวกับฮ่องกงนั้นทางฝ่ายจีนต้องมีข้อมูลมายืนยันชัดเจนแล้ว ถึงได้ออกแถลงการณ์แบบนั้นออกมา และเชื่อว่าคำชี้แจงของ ธนาธร ไม่น่าจะมีผลต่อความเชื่อของทางการจีน แต่อย่างใด
สิ่งที่ต้องพิจารณากันต่อก็คือ ผลกระทบที่จะตามมา ซึ่งแน่นอนว่า ย่อมส่งผลกระทบต่ออนาคตทางการเมืองของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพรรคอนาคตใหม่ของเขา ในเวทีระหว่างประเทศ โดยเฉพาะหากเขาสามารถฝ่าด่านการเมืองสารพัดที่กำลังเจออยู่ในเวลาผ่านพ้นไปได้จนก้าวไปถึงตำแหน่งผู้นำประเทศในอนาคต ซึ่งเชื่อว่าหากถึงเวลานั้นจริงๆ เขา จะต้องมีปัญหากับทางการจีนอย่างแน่นอน โดยเฉพาะท่าที่ ที่อาจไม่ได้รับการยอมรับจากทางการจีน หรือแม้แต่อาจถูกขึ้นแบล็กลิสต์ ไม่ให้เข้าประเทศนั้นหรือแม้แต่ฮ่องกงในอนาคตอันใกล้นี้ก็ได้
ซึ่งนั่นเท่ากับมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวง หากไม่ได้รับการยอมรับ หรือมีปัญหากับประเทศมหาอำนาจอย่างจีน ซึ่งไม่ใช่กระทบทางด้านส่วนตัวเพียงอย่างเดียวแต่จะกระทบไปถึงผลประโยชน์ระหว่างประเทศอีกด้วย
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากความเคลื่อนไหวดังกล่าวที่สะท้อนออกมาแล้ว ถือว่าเป็นบทเรียนสำคัญโดยตรงต่อ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ไม่รู้จักบทบาทของตัวเอง ที่ว่าสมควรจะยืนในแบบไหน กับการเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง การเป็นนักการเมือง ที่ไม่เคยคำนึงถึงเรื่องอ่อนไหวที่จะตามมา โดยลืมนึกไปว่า ที่ผ่านมาพยายามจะใช้ "โลกล้อมประเทศไทย" เพื่อดิสเครดิตรัฐบาลในปัจจุบัน โดยเดินหลงเข้าไปดินแดน หรือเรื่องราวบางอย่างที่ตัวเองก็คงไม่คาดคิดว่าจะได้รับผลกระทบที่รุนแรงกลับมาแบบนี้
**เชื่อว่าในกรณีนี้คงไม่ได้มีผลกระทบรุนแรงกับประเทศไทย หรือความสัมพันธ์ระหว่าง ไทยกับจีน แต่สำหรับตัว ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพรรคอนาคตใหม่ ย่อมได้รับผลกระทบรุนแรงตามมาแน่ โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับจีนในอนาคต !!