ปิดฉากเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว...ไปด้วยเรื่อง “สงครามและสันติภาพ” เปิดฉากสัปดาห์นี้เลยอดไม่ได้ที่คงต้องขออนุญาตไปทบทวนสำรวจ ตรวจสอบถึงความเป็นไปของสันติภาพ ว่ามันจะมีโอกาสขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไปได้ถึงขั้นไหน เพราะแม้ว่าสิ่งที่เรียกว่า “สันติภาพ” นั้น จะถือเป็นสิ่งดี เป็นสิ่งที่พึงปรารถนาสำหรับบรรดาผู้ใฝ่ธรรม ผู้ยึดมั่นในธรรมทั้งหลาย แต่คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่า มันออกจะเป็นอะไรที่ยากซ์ซ์ซ์ลำบากเอามากๆ ในการนิรมิต สร้างสรรค์ ให้เป็นจริง-เป็นจังขึ้นมาได้เพราะหนีไม่พ้นต้องอาศัยสติ-ปัญญา ความอดทน อดกลั้น ต้องอาศัย “ขันติธรรม” กันเป็นจำนวนไม่น้อย ต่างไปจากสิ่งที่ออกไปทางชั่วร้าย เลวร้าย อย่าง “สงคราม” ที่อาศัยเพียงแค่อารมณ์พื้นฐานประเภทความเกลียด ความโกรธ ความอาฆาตพยาบาทแบบหยาบๆ ง่ายๆ ก็สามารถ “เปิดประตูนรก” ได้เสมอๆ...
ดังนั้น...สำหรับเรื่องที่ออกไปทาง “ไฮไลต์” ที่ใครต่อใครอาจให้ความสนใจอย่างเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเรื่อง “สงครามการค้าระหว่างจีนกับอเมริกา” หรือเรื่อง “โจชัว หว่องกับ ธนาธร โหว่” คงต้องขออนุญาตพักเอาไว้สักครู่ โดยลองตามไปดูการเปิดฉากถล่มพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของซีเรียโดยกองทัพตุรกี ที่จะเรียกว่า “สงคราม” แบบเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ คงไม่ถึงกับถนัดปากกันสักเท่าไหร่ เพราะอาจเป็นเพียงแค่ความพยายามของรัฐบาลตุรกี ที่จะหาทางสร้างความมั่นคงปลอดภัยภายใน ให้ประเทศตัวเองด้วยการขับไล่กองกำลังชาวเคิร์ด หรือ “SDF” (Syrian Democratic Forces) ที่เคยร่วมมือกับคุณพ่ออเมริกาก่อกบฏกับรัฐบาลซีเรีย และร่วมปราบผู้ก่อการร้ายสายพันธุ์อื่นๆ ที่ไม่ใช่พวกเดียวกับตัวเองในพื้นที่บริเวณนี้ โดยหวังจะเอาผู้อพยพลี้ภัยชาวซีเรียที่ฝักใฝ่ตุรกีจำนวนประมาณ 3.6 ล้านคน เข้าไปอยู่อาศัยกันแทนที่ ให้กลายเป็นแนวกันชน หรือรัฐกันชน อะไรทำนองนั้น...
ส่วนการที่หนึ่งในผู้ร่วมผลักดันกระบวนการฟื้นฟูสันติภาพให้กับประเทศซีเรีย อย่างรัฐบาลตุรกีของประธานาธิบดี “เออร์โดกัน” ท่านดันคิดสร้างความมั่นคง ปลอดภัย ให้กับประเทศของตัวเองไปในแนวนี้ จะเหมาะ-ไม่เหมาะ ควร-ไม่ควร หรือไม่ประการใด ก็ตามที แต่โดยบุคลิกลักษณะของท่าน ที่ต้องเรียกว่า...จัดอยู่ในประเภท “แขก” ชนิด“เจองูกับเจอแขก...ต้องตีแขกเอาไว้ก่อน” อะไรประมาณนั้น คือออกจะกลมเกลี้ยงประมาณลูกบิลเลียดที่เคลือบวาสลินไว้ถึง 2 ชั้น 3 ชั้น การฉวยจังหวะฉวยโอกาสช่วง “นาทีทอง” ขณะกองทัพอเมริกันถอนทหารออกไปจากพื้นที่ ส่งกองทัพตุรกีเข้าไปยึดพื้นที่เพื่อสร้างแนวกันชน หรือรัฐกันชนให้กับประเทศตัวเอง จึงถูกมองไปได้ในหลายรูป หลายแบบ คือจะมองว่าท่าน “กลิ้งเอาไว้ก่อน...พ่อสอนไว้” ก็อาจพอมองได้ แต่สำหรับผู้นำทางจิตวิญญาณอีกรายหนึ่งของอิหร่าน อย่างท่าน “อยาตอลเลาะห์ คาตามี” (Ayatollah Khatami) ในฐานะหนึ่งในผู้มีส่วนร่วมฟื้นฟูสันติภาพให้กับประเทศซีเรีย ท่านกลับมองว่า...งานนี้แขกตุรกี หรือไก่งวงตุรกีอาจโดนต้ม โดนตุ๋น โดยคุณพ่ออเมริกาก็ไม่แน่!!!
คือแบบเดียวกับที่รัฐบาลซาอุฯ เคยถูกยุแยงตะแคงรั่ว โดยคุณพ่ออเมริกาให้บุกประเทศเยเมนนั่นเอง แต่บุกไป-บุกมา ดันเกิดอาการ “ติดหล่ม” ชนิดถอนตัวยังไงก็ยังถอนไม่ขึ้นจนตราบเท่าทุกวันนี้ หรือตามคำพูดที่ท่านได้ออกมาให้ข้อคิดสะกิดใจ ไปถึงรัฐบาลตุรกีเมื่อช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา ประมาณว่า “ซาอุดีอาระเบียเคยรับใช้อเมริกา รับคำแนะนำจากอเมริกา จนต้องติดหล่มสงครามอยู่ในประเทศเยเมนทุกวันนี้ และตุรกีอาจต้องเจอกับสิ่งเหล่านั้น” ไม่ต่างไปจากหัวหอกรายสำคัญในการร่วมผลักดันให้เกิดกระบวนการฟื้นฟูสันติภาพในซีเรีย อย่างผู้นำรัสเซีย ประธานาธิบดี “วลาดิมีร์ ปูติน” ท่านก็ดูจะไม่เห็นควรด้วยกับแนวคิดและการตัดสินใจของรัฐบาลตุรกีในกรณีนี้มากมายสักเท่าไหร่นัก ถึงได้ให้ข้อคิด ความเห็นกับบรรดาผู้สื่อข่าวเมื่อช่วงวันศุกร์ (11 ต.ค.)เอาไว้ว่า... “ผมไม่แน่ใจว่ากองทัพตุรกีจะสามารถควบคุมพื้นที่ให้เป็นไปตามความต้องการของตัวเองได้อย่างไรและเมื่อไหร่” รวมทั้งการเปิดปฏิบัติการทางทหารในลักษณะเช่นนี้อาจส่งผลให้ “ผู้ก่อการร้าย(ตัวจริง)อย่างไอซิส หรือดาเอช มีโอกาสฟื้นตัว ฟื้นกำลัง ขึ้นมาได้อีก”...
เรียกว่า...ถ้ามองกันแบบ 2 ชั้น 3 ชั้น การตัดสินใจถอนตัวของกองทัพอเมริกัน ออกจากบริเวณพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของซีเรีย ด้วยการ “ทรยศ” หรือ “แทงข้างหลัง” พันธมิตรผู้ร่วมพลีเลือด พลีเนื้อให้ตัวเอง อย่างกองกำลังประชาธิปไตยชาวเคิร์ด หรือ “SDF” นั้น มันคงไม่ได้เป็นเพราะความไม่อยากเสียเงิน เสียทอง เสียงบประมาณ หรือไม่อยากสูญเสียชีวิตทหารอเมริกันอีกต่อไป ดังที่ผู้นำอเมริกันอย่าง “ทรัมป์บ้า”ออกมา “ทวีต” เอาไว้แต่เพียงเท่านั้น แต่ยังอาจเป็นความพยายามแพร่พิษ ซ่อนพิษเอาไว้ด้วย เหมือนอย่างที่รัฐมนตรีรัสเซีย “นายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ” ท่านสรุปไว้ว่า เป็นการ “เล่นไพ่ที่อันตราย” อะไรทำนองนั้น โดยเฉพาะการทำให้บรรดาผู้ร่วมผลักดันกระบวนการสันติภาพในซีเรียทั้ง 3 ราย คือรัสเซีย-อิหร่าน-และตุรกี อาจต้องเกิดอาการแปลกแยก หรือกระทั่งแตกแยก ขึ้นมาในวันใด-วันหนึ่ง จนได้ก็ไม่แน่...
อันนี้นี่แหละ...ที่อาจต้องถือเป็นอุทาหรณ์สอนใจ เป็นข้อคิดสะกิดใจที่สำคัญเอามากๆ สำหรับบรรดาผู้ใฝ่ในสันติภาพทั้งหลาย ว่าโดย “หนทางของสันติภาพ” นั้น มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ต้องอาศัยสติ-ปัญญา ความอดทน อดกลั้น และ “ความไม่เห็นแก่ตัว” หรือไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ไม่ว่าในนามของชาติหนึ่ง ชาติใดก็ตามแต่ ไม่เช่นนั้น...สิ่งที่เรียกกันว่า “ผลประโยชน์แห่งชาติ” ที่ต้องแลกมาด้วยเลือดและเนื้อของผู้บริสุทธิ์ ผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ทั้งหลาย มันคงไม่อาจดลบันดาลให้เกิดความยั่งยืนถาวรใดๆ ขึ้นมาได้เลยแม้แต่น้อย...
ภาพของผู้คน พลเมืองจำนวนนับแสนๆ คน ที่ต้องอพยพออกจากพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของซีเรียอันเนื่องมาจากการถล่มทางอากาศและภาคพื้นดินของกองทัพตุรกีต่อบรรดากองกำลังชาวเคิร์ดทั้งหลาย ผู้คนกว่า 400,000 คน ที่ต้องติดแหงกอยู่ในเมือง “Hasakah” ขาดทั้งน้ำ ทั้งอาหาร รวมถึงจำนวน “นักรบ” ของทั้งสองฝ่าย ที่ต้องพลีชีพ พลีเลือด พลีเนื้อให้กับผลประโยชน์ของใครก็ของมัน ขณะที่นักรบฝ่าย “SDF” ตายไปแล้วประมาณ 342 ศพ นักรบของกองทัพตุรกีก็น่าจะถูกเซ่นสังเวยไปแล้วไม่น้อยกว่า 262 ศพ ตามตัวเลขสถิติที่สำนักข่าว “FNA” ของอิหร่านเขาได้รายงานเอาไว้ สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่ไม่ได้ช่วยให้ความหมายของคำว่า “สันติภาพ” ดูดีขึ้นมาได้เลย ยังอาจถือเป็นอุปสรรคขัดขวาง และเป็นตัวบ่อนทำลายความยั่งยืน ถาวรของสันติภาพซะอีกต่างหาก หรือกลายเป็นการเข้าทางเท้า เข้าทางตีนของบรรดาผู้กระหาย “สงคราม” ทั้งหลาย...