xs
xsm
sm
md
lg

บทสรุปของ “กะปอม” ทั้งหลาย

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

โจชัว หว่อง แกนนำนักเคลื่อนไหวชาวฮ่องกง  โพสต์ภาพถ่ายคู่กับธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค อนาคตใหม่ ระหว่างการเข้าร่วมงาน “Open Future Forum” จัดขึ้นโดยนิตยสารอีโคโนมิสต์ ที่เกาะฮ่องกง  เมื่อวันที่ 5 ต.ค.ที่ผ่านมา
เท่าที่ฟังๆ จาก “ข่าวล่า-มาเรือ” ...เห็นว่าสำหรับ “กะปอมอิรัก” น่าจะเบาๆ ลงไปมั่งแล้ว หลังการประท้วงรัฐบาลผ่านมาเกือบๆ สัปดาห์ หรือหลังจากสังเวยชีวิตผู้คนไปแล้วร่วมร้อย หรือเกินกว่านั้น ซึ่งย่อมมีทั้งพลเรือนผู้บริสุทธิ์และบรรดาเจ้าหน้าที่ปะปนกันไป แต่อาจด้วยเพราะการตั้งรับอย่างมี “สติ” อยู่พอสมควร โดยรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี “Ade Abdul Mahdi” คือไม่ได้เอาแต่ไล่ทุบ ไล่ตี บรรดาพวกเด็กๆและเยาวชนของตัวเอง เพื่อสนองตอบความเปรี้ยวมือ เปรี้ยวตีน แต่เพียงเท่านั้น แต่ยังพยายาม “ขจัดเงื่อนไข” ของการลุกฮือ ด้วยการอาศัยสถานการณ์พิเศษงัดเอา “มาตรการปฏิรูป” ออกมาประกาศเป็นล็อตๆ มีทั้งปฏิรูปที่ดิน ปฏิรูปการบริการสาธารณะ ปฏิรูปสวัสดิการสังคม ฯลฯ ไม่ต่ำกว่าสิบๆ มาตรการ อะไรต่อมิอะไรมันเลยน่าจะเย็นๆ ลงไปได้บ้าง...

เหลือแต่ปัญหาการบริหารจัดการกับ “ชายชุดดำ” หรือ “กองกำลังไม่ทราบฝ่าย” ที่ออกมาเพ่นพ่าน ยิงโน่น ยิงนี่ เพื่อจุดกระแสไม่ให้ “หัวตก” เกินไปกว่านี้ เรียกว่า...ยิงทั้งผู้ประท้วงที่เป็นพลเรือนผู้บริสุทธิ์ ยิงทั้งเจ้าหน้าที่ ตายไปฝ่ายละราย-สองราย แถมยังโผล่ไปกราดยิงใส่สื่อฯ หรือใส่สถานีโทรทัศน์ทั้งสถานี “Al-Arabiya” ของซาอุฯ และ “NRT” ของอิรัก แต่นั่นก็คงเป็นแค่ “ปัญหาทางเทคนิค” ซึ่งไม่ได้ถึงกับลำบากยากเย็น เท่ากับปัญหาที่ถูกหยิบมาเป็น “เงื่อนไข” หรือ “เหตุปัจจัย” การอาศัยกรรมวิธีต่างๆ นานา เช่นการ “ปิดอินเทอร์เน็ต” ชั่วคราว เพื่อตัดขาดการสื่อสาร และการสร้างแรงกระตุ้น ไปพร้อมๆ การป้องกันการซุ่มยิงในแต่ละจุด แต่ละพื้นที่ ฯลฯ ถือเป็น “การตั้งรับทางยุทธวิธี” ที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของทุกชาติ ทุกประเทศ ล้วนแล้วแต่ได้รับการฝึกปรือ อบรมบ่มสอนมาโดยตลอด ต่างไปจาก “การตั้งรับทางยุทธศาสตร์” อันถือเป็นเรื่องของรัฐบาล เป็นเรื่องนโยบาย ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าใครจะมองออก มองทะลุ ไปได้ถึงขั้นไหน...

แต่สำหรับ “กะปอมฮ่องกง” นี่สิ!!!...แม้จะผ่านมาถึง 18 สัปดาห์ นับเป็นร้อยๆ วันเข้าไปแล้ว นอกจากไม่ได้ออกอาการ “หัวตก” ยังทำท่าว่าจะแรงขึ้นๆ จนอดไม่ได้ที่จะต้องหยิบมาพูดถึง กล่าวถึงกันอีกรอบ โดยเฉพาะหลังจากเผอิญไปได้เห็น “เฟซบุ๊ก” ของ “หัวหน้ากะปอม” อย่างคุณน้อง “โจชัว หว่อง” (Joshua Wong) ที่ได้โพสต์ภาพ ถ่ายภาพยืนเคียงคู่กับคุณน้อง “ธนาธร โหว่” หัวหน้าพรรค “อนาคตใหม่” ของบ้านเราระหว่างไปจ๊ะๆ จ๋าๆ ไปร่วมสัมมนา เสวนากันในเวที “Open Future Forum” ซึ่งจัดขึ้นโดยสื่อกระแสหลักตะวันตก อย่างนิตสาร “อีโคโนมิสต์” ที่เกาะฮ่องกง เมื่อช่วงวันที่ 5 ตุลาคมที่ผ่านมา...

คือจะเป็นเพราะความเชี่ยวชาญ เชี่ยวกรำของคุณน้อง “ธนาธร โหว่” บ้านเรา ซึ่งเคยผ่านเหตุการณ์ ผ่านประสบการณ์ระดับ “แดงทั้งแผ่นดิน” ในช่วง “ทศวรรษแห่งความมืดมน” มาแล้ว หรือเป็นเพราะความโฟร์เอสสร้างสรรค์ของบรรดา “กะปอมฮ่องกง” ด้วยตัวเองก็แล้วแต่ ฉากเหตุการณ์ที่อุบัติขึ้นในเกาะฮ่องกงตั้งแต่เมื่อช่วงวันเสาร์ (5 ต.ค.) ที่ผ่านมา มันเลยออกจะคล้ายๆ กับฉากเหตุการณ์ที่เคยอุบัติขึ้นมาในบ้านเราเมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว คือฉากเหตุการณ์ประเภท “เผามันเลยครับพี่น้อง...ผมรับผิดชอบเอง” อะไรประมาณนั้น คือเกิดรายการ “จุดไฟในนาคร” เผาโน่น เผานี่ ผสมผสานไปกับการไล่ทุบ ไล่ตี ปาระเบิดขวด ปิดถนนหนทาง ปิดสถานีรถไฟ ฯลฯ จนเป็นอัมพาตไปแทบทั่วทั้งเกาะฮ่องกง หลังจากฝ่ายบริหารเกาะฮ่องกง เขาหันไปงัดกฎหมายฉุกเฉิน ออกคำสั่งห้ามไม่ให้ผู้ประท้วงรายใด “สวมหน้ากาก” เพื่อปกปิดอาชญากรรมและความรุนแรงที่ตัวเองก่อขึ้น ใครยังสวมหน้ากากออกมาเดินเทิ่งๆ กับขบวนผู้ประท้วง มีสิทธิ์ติดคุก 1 ปี ไม่ก็ต้องเสียค่าปรับเป็นเงินถึง 25,000 ดอลลาร์ฮ่องกง หรือ 3,187 ดอลลาร์อเมริกัน...

ด้วยคำประกาศหรือคำสั่งเหล่านี้นี่เอง...เลยถูกหยิบมาใช้เป็นเงื่อนไข เหตุปัจจัย ในการ “จุดไฟในนาคร” ขึ้นมาในฮ่องกงกันอีกรอบ โดยรอบนี้...เห็นว่าธนาคารจีนแผ่นดินใหญ่ หรือ “แบงก์ ออฟ ไชนา” จะโดนเข้าหนักหน่อย ไม่เพียงแต่ภายในตึกรามอาคารจะเต็มไปด้วยควันไฟ เปลวไฟคลุ้งขโมงพอๆ กับ “ตึกเซ็นทรัลเวิลด์” ของบ้านเราเมื่อหลายปีที่แล้ว บรรดาตู้เอทีเอ็มของธนาคาร ยังถูกทุบ ถูกทำลาย ไปพร้อมๆ กับบรรดาร้านค้า อาคาร ของผู้ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เช่นเดียวกับผู้ใช้บริการรถไฟฮ่องกง ไม่ต่ำกว่า 4 ล้านคนในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นไดโนเสาร์หรือกะปอมก็แล้วแต่ ก็พลอยต้อง “ซวย” ไปด้วย เมื่อสถานีต่างๆ ถูกปิดซะเกลี้ยง เพิ่งมาเปิดได้ 45 สถานี เมื่อวันอาทิตย์ (6 ต.ค.) ที่ผ่านมานี่เอง แต่อีก 48 สถานียังต้องปิดต่อ เพราะการออกฤทธิ์ ออกเดช ของบรรดากุมารฮ่องกงทั้งหลาย...

เรียกว่า...ใครก็ตามที่ไม่เห็นด้วย หรือที่ไปทำอะไรให้ขัดหู ขัดตา ขัดใจ บรรดา “กะปอม” เหล่านี้ ต่างมีโอกาส “ซวย...กับ...ซวย” ไปด้วยกันทั้งสิ้น มีทั้งถูกลากไปทุบในร้านอาหารเอาน้ำร้อนราดกันสดๆ แม้แต่ผู้หญิงยังถูกล้อมกรอบ ขู่คำราม หรือถึงขั้นถูกทุบ ถูกตี ถูกใช้ความรุนแรงในรูปแบบที่ไม่ต่างไปจาก “อาชญากรรม” นั่นแหละ ด้วยเหตุนี้...การที่ทางการฮ่องกง เขาต้องไปงัดเอากฎหมายฉุกเฉิน ออกคำสั่งไม่ให้ผู้ประท้วงสวมหน้ากาก เพื่อปกปิดอาชญากรรมความรุนแรงของตัวเอง จึงไม่ได้เป็นสิ่งที่ไร้เหตุไร้ผล หรือออกไปทาง “เผด็จการ” ที่น่าเกลียด น่าขยะแขยงอะไรกันมากมาย เพราะแม้แต่รัฐบาลประเภทประชาธิปไตยทั้งแท่ง ทั้งด้าม อย่างรัฐบาลแคนาดา ก็เคยออกกฎหมายห้ามผู้ประท้วงสวมหน้ากากมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2013 โน่นเลย กระทั่งในรัฐนิวยอร์กของคุณพ่ออเมริกา ที่บรรดา “กะปอมฮ่องกง” ทั้งหลายไปหยิบเอาธงชาติมาถือ มาโบกกันอุตลุด ก็เคยออกกฎหมายทำนองนี้มาตั้งแต่ศตวรรษที่แล้ว เอาเลยก็ว่าได้...

แต่ก็นั่นแหละ...เมื่อบรรดาเด็กๆ ชาวฮ่องกง เขาดันหันมาเดินแนวทางเดียวกันกับบรรดาพวก “แดงเอย...โธ่เอ๋ยน้องแดงของพี่” ของบ้านเรา คือกะจะ “แดงทั้งแผ่นดิน” หรือ “แดง-ไม่แดง...ขอให้แรงเข้าไว้” จะโดยการชี้นำของ “โจชัว หว่อง” หรือการแนะนำของ “ธนาธร โหว่” หรือไม่ เพียงใด ก็แล้วแต่ ดังนั้น...แนวโน้มที่อาจต้องเจอกับการ “ถูกกระชับพื้นที่” แบบที่เคยเกิดๆ ในบ้านเรา จึงเริ่มส่อแววให้เห็นกันบ้างแล้ว ไม่ว่าจะโดยสังเกตจากคำแถลงการณ์ของตำรวจฮ่องกง ที่เสนอแนะให้บรรดาประชาชนชาวฮ่องกงทั้งหลาย ในช่วงวัน-สองวันนี้ให้พยายามอยู่แต่ในบ้าน และให้ปิดประตู หน้าต่าง ให้มิดชิดเข้าไว้ หรือโดยภาพถ่ายเจ้าหน้าที่หน่วยรักษาความปลอดภัยสาธารณรัฐประชาชนจีน (PLA) ที่โผล่ขึ้นมาส่องกล้องดูพวกผู้ประท้วงอยู่บนหลังคาตึก เมื่อช่วงไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมานี้ โดยถ้าฉากเหตุการณ์ทำนองนี้อุบัติขึ้นมาจริงๆ โอกาสที่ “โจชัว หว่อง” จะต้องเผ่นไปอยู่กับบรรดา “เพื่อนธนาธร” ที่ยังคงหนีสุดขอบฟ้า ไม่มีโอกาสกลับบ้าน กลับช่อง กลับมาอยู่ในประเทศในดินแดนบ้านเกิดตัวเอง ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ ไม่งั้น...อาจต้องยอมหันมา “รับสารภาพ” ต่อศาล กันในวินาทีสุดท้าย อะไรประมาณนั้น...
กำลังโหลดความคิดเห็น