xs
xsm
sm
md
lg

“นาย” ของ “พุทธทาสภิกขุ”

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


“สอดแนมการเมือง”
“ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”

นักการเมืองบริสุทธิ์ ไม่ทำตัวเพื่อเงิน เพื่ออภิสิทธิ์ แต่เพื่อความเป็นธรรม เพื่อหน้าที่.. การเมืองบริสุทธิ์ คือ “ศีลธรรม”.. การเมืองระยำ!! คือ “การต่อสู้แย่งชิง”

นั่นเป็นหนึ่งในคำสอนของท่านพุทธทาสภิกขุ เจ้าอาวาสวัดธารน้ำไหล ที่คนไทยรู้จักกันในนาม “วัดสวนโมกข์” ตีพิมพ์อยู่ในหนังสือ “ทาสพระพุทธเจ้า” เรียบเรียงโดย มานพ แก้วสนิท และ ณ. นาเดิม โดย ประทีป ปัจฉิมทึก น้องคนหนึ่งที่ทำงานในวงการหนังสือนำมาให้..

ในหนังสือนี้มีประวัติชีวิตโดยสังเขป ทำให้รู้ว่า ท่านพุทธทาสเกิดในตระกูลคหบดี มีนามเดิมว่าเงื่อม พานิช ถือกำเนิดในอาณาจักรศรีวิชัย ที่บ้านพุมเรียง อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อวันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ.2449 โดยมีพี่น้องร่วมสายโลหิต 2 คน

เมื่ออายุครบ 20 ปี “นายเงื่อม” ตัดสินใจออกบวช เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ.2469 ณ วัดอุบล อ.ไชยา โดยพระอุปัชฌาย์ตั้งฉายาให้ว่า “อินทปญฺโญ” จำพรรษาอยู่ที่วัดใหม่(พุมเรียง) ซึ่งถือเป็นวัดประจำตระกูล

นอกจากท่านพุทธทาสจะสนใจศึกษาธรรมและบาลี ยังเทศน์ปฏิภาณสอดใส่ธรรมะได้ดี จนคนฟังสนุกสนานติดกันงอมแงม ภายหลังกลับจากการศึกษาธรรมที่กรุงเทพ ก็มาอยู่ที่วัดใหม่(พุมเรียง)ราวเดือนเศษ ก่อนจะใช้วัดร้างในป่าชื่อ “วัดตระพังจิก” เหนือหมู่บ้านพุมเรียง ที่มีแต่ซากอุโบสถและพระพุทธรูปเก่าๆองค์หนึ่ง เป็นสถานที่ปฏิบัติและศึกษาธรรม

ด้วยบริเวณนั้นมีต้นโมกและต้นพลาขึ้นอยู่ชุกชุม ท่านพุทธทาสจึงตั้งชื่อสถานที่นี้ใหม่ว่า “สวนโมกขพลาราม” ซึ่งมีความหมายตรงกับปณิธานของท่าน คือ “ป่าไม้ที่ยินดีเป็นกำลังให้ถึงธรรมเครื่องหลุดพ้นจากทุกข์” หรือ “อารามอันเป็นกำลังแห่งการหลุดพ้น”

ภายหลังเมื่อมีการย้ายสวนโมกข์มาตั้งยังสถานที่ปัจจุบัน จึงเรียกอดีตวัดร้างแห่งนี้ ซึ่งตั้งอยู่ใน ต.พุมเรียง ว่า“สวนโมกข์เก่า”

นั่นเป็นเพียงเศษเสี้ยวแห่งชีวิตของท่านพุทธทาส แต่เอาเป็นว่า ท่านพุทธทาสมิใช่พระธรรมดา ผลงานของท่านพุทธทาสมีหลากหลายมากมาย ทั้งบทความ ธรรมบรรยาย ธรรมในคำกลอน นิทานเซน งานแปล ฯลฯ ซึ่งถูกนำมาใช้สอนนักศึกษา ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ไม่ว่าจะในยุโรปและอเมริกา ที่มีการสอนวิชาศาสนาสากล

เฉพาะผลงานการเขียนหนังสือของท่านพุทธทาส มีมากกว่า 160 เล่ม ได้รับการแปลเป็นภาษาต่างประเทศ ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส จีน อินโดนีเซีย ลาว และตากาล็อก นับว่า ท่านพุทธทาสเป็นคนไทยที่มีผลงานแปลเป็นภาษาต่างประเทศมากที่สุด

แถมท่านพุทธทาสยังเป็นบุคคลสำคัญของโลกอีกด้วย ถึงขนาดในการประชุมวิสามัญ ขององค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2548 ได้มีมติให้ประกาศยกย่อง พระธรรมโกศาจารย์พุทธทาสภิกขุ เป็นบุคคลสำคัญของโลก และบรรจุการเฉลิมฉลองครบชาตกาล 100 ปี ในวันที่ 27 พฤษภาคม 2549

ท่านพุทธทาส จึงเป็นคนไทยคนที่ 18 ที่องค์การยูเนสโกประกาศยกย่องให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก ที่พวกเราชาวไทยพึงภาคภูมิใจอย่างสูง

แต่เหลือเชื่อ! ท่านพุทธทาส..พระผู้เป็นปราชญ์แห่งธรรม บุคคลสำคัญของโลก เคยถูกรัฐบาลยุคหนึ่งยัดข้อหาเป็น“พระคอมมิวนิสต์”!

“คำสอน”ล้ำค่าของท่านพุทธทาสนั้น ท่านได้สอนไว้ในวาระต่างๆ มากมายสุดพรรนา ขอยกอีกบางคำสอนทางธรรมในหนังสือเล่มนี้ มาให้ผู้คนได้ไตร่ตรองและปฏิบัติสู่เส้นทางอันดีงาม

โดยเฉพาะให้ “นักการเมือง” รัฐประหารและเลือกตั้ง ได้ตระหนักและหยุดพฤติกรรมบ่อนทำลาย หยุดทำการอันไม่สมควรทั้งลับและเปิดเผย ต่อความมั่นคงทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ฯลฯ ของชาติและประชาชนโดยเร็ว ที่สำคัญต้องยุติการแสวงหาและกอบโกย ผลประโยชน์ของชาติและประชาชน ให้กับตนเองและพวกพ้องเสียที..ดัง..ท่านพุทธทาส ได้กล่าวไว้ว่า..

“..ที่โลกเราลำบากยุ่งยากอยู่เดี๋ยวนี้ มันไม่มีอะไรนอกจากสิ่งที่เรียกว่า ความเห็นแก่ตัว..”

เฉพาะ“นักการเมือง”นั้น ท่านพุทธทาสให้ความใส่ใจอย่างยิ่ง ในเรื่องที่ “นักการเมือง” ต้องมีคุณธรรม-จริยธรรม-ศีลธรรม ท่านพุทธทาสเน้นย้ำอย่างชัดเจนอยู่เสมอว่า ถ้าการเมืองไร้ศีลธรรม ชาติย่อมบรรลัยแน่นอน เช่น

“การกล่าวเท็จทางวาจา ทางตัวหนังสือ คือกิริยาท่าทาง ล้วนแต่เพื่อให้ได้ประโยชน์แก่ตัว หรือพวกของตัวทั้งนั้น โลกเราปั่นป่วนมากสมัยนี้ เนื่องจากไม่มีศีลข้อ 4 ของนักการเมืองเจ้าเล่ห์นั่นเอง! ซึ่งปีศาจแห่งการไม่บังคับตัวเอง เข้ามาบังคับให้ทำ..”

อืม..จนทุกวันนี้ “นักการเมือง” ทั้งรัฐประหารและเลือกตั้ง ก็ยังคงทำตัวเป็น“ลิงหลอกเจ้า” ปากพูดอย่างแต่ทำอีกอย่าง เพราะการกระทำกลับไร้ยางอาย มิได้ทำดีดังปากพูด ท่านพุทธทาสเคยพูดไว้ตรงกับเหตุการณ์ทางการเมืองในอดีตจรดปัจจุบัน ดังนี้

“เรื่องการปกครอง การพัฒนา อะไรก็ตาม เดี๋ยวนี้ทำไม่ได้ดี เพราะทำโดยคนไม่มีศีลธรรม ให้ทำอะไร ก็เหมือนกับให้โอกาสสำหรับไปโกง เพื่อประโยชน์ส่วนตัว เพราะความไม่มี..ศีลธรรม”

โดยเฉพาะการ “พูดเท็จ” ที่วันนี้ “นักการเมือง” ส่วนใหญ่ยังทำกันจนเป็น “สันดาน” นั้น ท่านพุทธทาสได้พูดไว้ชัดๆว่า

“พูดเท็จ-คนที่ถึงกับพูดเท็จได้แล้ว จะไม่ทำบาปอย่างอื่นๆ ทุกอย่างได้นั้น เป็นไม่มี เพราะเขาได้โกหกหลอกลวงตัวเองจนถึงที่สุด และขบถต่อตัวเองแล้วอย่างสิ้นเชิง” และ “ถ้าท่านพูดพล่อยๆ ก็คือท่านเปิดรูรั่ว ให้เกียรติยศของท่าน ค่อยๆ รั่วจนหมดไป”

ท่านพุทธทาส ระบุแบบ “ฟันธงเปรี้ยง” ในเรื่อง การเมืองต้องมีธรรมะ-ธรรมะต้องนำการเมือง มิใช่ปล่อยให้ “นักการเมือง-ข้าราชการ”ไร้ธรรมะ ใช้ “พระที่มิใช่พระ”และ “วัดที่มิใช่วัด” สุมหัวสมคบกันแสวงหาแต่ผลประโยชน์เข้าตัวเองและพวกพ้อง ดังคำพูดของท่านพุทธทาสที่ว่า

“ธรรมะกับการเมือง เป็นสิ่งที่แยกกันไม่ได้ แยกกันเมื่อไร การเมืองก็กลายเป็นทำลายโลกขึ้นมาทันที”

การเมืองไทยยังไร้ธรรมะเพราะนักการเมืองส่วนใหญ่ยังไร้ศีลธรรม! ดังนั้น การเมืองและนักการเมืองจึงไร้คุณภาพและไร้คุณธรรม และยังคงทำร้ายทำลายความศานติสุข ทั้งต่อชาติและประชาชนมาจนบัดนี้!

แถมการเมืองที่ไร้ธรรมะ ยังทำร้ายทำลายโลก ดังชาติมหาอำนาจยังคงเอาเปรียบชาติที่อ่อนแอกว่า ยังคงแสวงหาและมุ่งกอบโกยผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และทรัพยากรล้ำค่าของชาติที่ด้อยกว่า จึงทำให้เกิดสงครามขึ้นในหลายมุมโลก เพราะชาติมหาอำนาจไม่กี่ประเทศนั้น-เห็นแก่ตัวนั่นเอง!

ท่านพุทธทาส จึงได้กล่าวถึงการเมืองเลวร้ายเช่นนี้..ไว้อย่างตรงไปตรงมาว่า..

“คนสมัยนี้ การเมืองขึ้นสมอง ใช้การเมืองเป็นเครื่องมือกอบโกย ฟาดฟันผู้อื่น ครอบงำผู้อื่น เพื่อประโยชน์ตนฝ่ายเดียว การเมืองเลยกลายเป็นเรื่องอัปรีย์จัญไรไปเสีย” และ “เดี๋ยวนี้! มันเต็มไปด้วยคนคดโกง คอร์รัปชั่นทุกรูปแบบของการงานในโลกนี้..ก็เพราะว่า มันเสื่อมทางศีลธรรม”

ท่านพุทธทาส จึงมีถ้อยคำสรุปไว้ว่า “ถ้าไม่มีเจตนาที่จะรับใช้ผู้อื่นแล้ว มันก็พูดแต่ปาก จะรับใช้ชาติศาสนา นี่มันเป็นไปไม่ได้ มันก็จะเป็นพลเมืองที่ดีก็ไม่ได้ เพราะมันไม่รับใช้ชาติ จะเป็นข้าราชการที่ดีก็ไม่ได้”

ส่วนเรื่องราวเกี่ยวกับประชาธิปไตยนั้น แม้มิได้อยู่ในหนังสือ “ทาสพระพุทธเจ้า”เล่มนี้ แต่ก็ค้นหาเรื่องราวของท่านพุทธทาสได้โดยไม่ยาก..จนพบคำสอนที่ว่า..

“ประชาธิปไตย คือ ประโยชน์ ของประชาชนเป็นใหญ่ ต้องให้ประชาชนได้ประโยชน์เต็ม อย่างนั้นจึงจะเป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่ประชาชนเป็นใหญ่ ให้ประชาชนเป็นใหญ่นั้นมันไม่แน่ ประชาชนบ้าบอก็ได้ ถ้าประชาชนเห็นแก่ตัวแล้ว ฉิบหายหมด”

“ประชาธิปไตยนี้ มันดีต่อเมื่อมีศีลธรรมเป็นรากฐาน ถ้าไม่มีศีลธรรมเป็นรากฐาน มันก็เป็นประชาธิปไตยโกง”

สุดท้าย.. ต้องจบลงด้วยที่ไปที่มาของนาม “ปราชญ์แห่งธรรม”นั่นคือ...

“ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นนายของข้าพเจ้า เพราะเหตุดังว่ามานี้ ข้าพเจ้าจึงชื่อว่า..พุทธทาส”


กำลังโหลดความคิดเห็น