หายหน้าไป 1 วัน...ด้วยเหตุเพราะ “ไขข้ออักเสบ” คือการเขียน การผลิต “ต้นฉบับ” วันละ 2 ชิ้นเป็นอย่างน้อย ตั้งแต่วันจันทร์ไปยันถึงศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ ไม่มีวันว่างเว้นในแต่ละสัปดาห์ ลากยาวเป็นเดือนๆ ปีๆ ย่อมต้องมีโอกาสส่งผลให้เกิดอาการ “ไขข้ออักเสบ” ไม่วันใด-วันหนึ่ง ขึ้นมาจนได้ แต่เอาเป็นว่า...หลังจากอาศัยยาหม่องตราลิงถือลูกท้อ นวดๆ-คลึงๆ วันนี้เลยสามารถกลับมาเจ๊าะๆ แจ๊ะๆ “อะราวนด์ เดอะ เวิลด์” กันต่อไปตามสภาพ...
และเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ซึ่งยังไม่ถึงกับลดระดับลงไปมากมายสักเท่าไหร่ หลังจากคลังน้ำมันซาอุฯ 2 โรง อย่าง “Abqaiq” และ “Khurais” ถูกถล่มจนพังพินาศฉิบหาย ด้วยฝีมือของไผเป็นไผก็แล้วแต่ ส่งผลให้ปริมาณน้ำมันในตลาดโลก หายวับไปกับตาถึงวันละ 5.7 ล้านบาร์เรล หรือประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ของตลาดน้ำมันโลก มากกว่าปริมาณส่งออกน้ำมันของอิหร่านวันละประมาณ 2 ล้านบาร์เรล ที่เคยสร้างจิตวิทยาทางการตลาด ว่าอาจส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งปรู๊ดๆ ปร๊าดๆ ถ้าหากถูกคุณพ่ออเมริกากดดันให้ “การส่งออกต้องเหลือศูนย์” ขึ้นมาจริงๆ ชนิดกว่าครึ่งต่อครึ่ง...
ดังนั้น...สิ่งที่น่าคิด น่าสะกิดใจ และน่านำมาวิเคราะห์ สังเคราะห์กันในวันนี้ ก็คือว่า...เหตุใดการสูญหายของปริมาณน้ำมันระดับมากมายขนาดนั้น ถึงไม่ได้ส่งผลให้ “ราคาน้ำมัน” พุ่งปรู๊ดๆ ปร๊าดๆ อย่างที่เคยคาดๆ เอาไว้ก่อนหน้านี้ วันแรกๆ อาจพุ่งไปเกือบ 20 เปอร์เซ็นต์ แต่หลังจากนั้นก็ค่อยๆ ลดระดับลงมาเรื่อยๆ จนแทบเข้าสู่ “ภาวะปกติ” โดยเฉพาะถ้ามองกันในมุมมองของ “การตลาด” แต่ถ้าลองมองกันในมุมมองอื่นๆ เช่นมุมมองในทาง “การเมือง” หรือในทาง “ยุทธศาสตร์” ภาวะดังกล่าว...อาจไม่ถึงกับเป็นอะไรที่เป็น “ปกติ” มากมายสักเท่าไหร่นัก ยิ่งถ้ามองตามมุมมองของประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ และผู้ที่ถูกถือเป็นศัตรู คู่กัดของคุณพ่ออเมริกาอย่าง “อิหร่าน” ด้วยแล้ว ที่ได้สะท้อนทัศนะซึ่งน่าคิด น่าสะกิดใจ ไม่น้อย ไว้ในข้อเขียน บทความ เรื่อง “Iranian viewpoint : US’s strategy to play major role in global energy market” เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา อันถือเป็นทัศนะเดียวกันกับที่ประธานาธิบดี “ฮัสซัน โรฮานี” แห่งอิหร่าน ท่านได้พยามสะท้อนไว้เป็นข้อคิด สะกิดใจ ของบรรดาประเทศทั้งหลายที่เข้าร่วมการประชุมสหประชาชาติเมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมา...
คือในแง่ของ “การตลาด” ย่อมเป็นที่รับรู้ อย่างมิอาจปฏิเสธได้แล้วว่า สิ่งที่เรียกว่า “อุปทาน” น้ำมัน หรือผลผลิตน้ำมันในตลาดโลกทุกวันนี้ มันออกไปทาง “เหลือกิน-เหลือใช้” อันเนื่องมาจากปริมาณการผลิตน้ำมันที่เรียกว่า “Shale Oil” หรือ “น้ำมันจากชั้นหินดินดาล” ของคุณพ่ออเมริกาเขานั่นแหละ ที่ถ้าว่ากันตามรายงานจากหน่วยงานอย่าง “Rystad Energy” ซึ่งได้เผยแพร่ตัวเลขสถิติเอาไว้เมื่อไม่นานมานี้ ว่าไม่เพียงแต่เป็นตัวที่ทำให้ประเทศอเมริกากลายเป็นประเทศที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันจากประเทศอื่นใดอีกต่อไป หรือกลายมาเป็น “ผู้ส่งออกน้ำมัน” รายใหญ่ไปแล้วในทุกวันนี้...ยังทำให้อเมริกากลายเป็นประเทศที่มีสำรองน้ำมันสูงที่สุดในโลก คือมีปริมาณน้ำมันสำรองถึง 264,000 ล้านบาร์เรลเป็นอย่างน้อย โดยที่กว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณที่ว่า ก็คือผลผลิตที่ได้มาจากการผลิตน้ำมัน “Shale Oil” หรือได้มาจากขีดความสามารถการผลิตในระดับ 14.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน มากกว่ากำลังการผลิตของคลังน้ำมัน “Abqaiq” และ “Khurais” รวมกัน ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า...
ส่วนเหตุที่ทำให้อเมริกากลายเป็นผู้ผลิตน้ำมัน “Shale Oil” ได้มากมายมหาศาลถึงขนาดนี้...ก็คงหนีไม่พ้นไปจาก “ลูกบ้า” ของผู้นำอเมริการายใหม่ อย่าง “ทรัมป์บ้า” นั่นเอง เพราะ “กรรมวิธี” ในการผลิตน้ำมันชนิดนี้นั้น มันออกจะเป็นอะไรที่อยู่นอกแบบแผนของการผลิตแบบธรรมดาๆ (unconventional oil produce) คือต้องพร้อมที่จะอัดฉีด “สารเคมี” ชนิดต่างๆ ลงในชั้นดิน ใช้แรงดันของน้ำ ผสมทราย ผสมสารเคมี เข้าไปเป็นกระตั๊กๆ แบบที่เรียกๆ กันว่า “Hydraulic Fracturing” หรือ “Fracking” นั่นแหละ ซึ่งว่ากันว่า...ย่อมก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างชนิดมากมายมหาศาล สามารถส่งผลให้เกิดภาวะแผ่นดินไหวตามมาในบั้นปลาย ก่อให้เกิดการปนเปื้อนของสารเคมีในแหล่งน้ำใต้ดิน ก่อให้เกิดการรั่วไหลของก๊าซมีเทน อันจะเป็นตัวซ้ำเติม “ภาวะโลกร้อน” ให้ยิ่งหนักหนาสาหัสเข้าไปใหญ่ ฯลฯ ซึ่งบรรดาทั้งหลาย ทั้/งปวงเหล่านี้ ย่อมไม่ได้ถูกบรรจุอยู่ในพจนานุกรมของ “อดีตนักธุรกิจ” อย่าง “ทรัมป์บ้า” ผู้พร้อมสะบัดตูดจากข้อตกลงความร่วมมือแก้ไขภาวะโลกร้อน หรือ “ข้อตกลงปารีส” อยู่แล้วแน่ๆ เหลืออยู่แค่ความ “คุ้มทุน-ไม่คุ้มทุน” ของกระบวนการผลิตชนิดนี้ ที่ยังเถียงๆ กันอยู่ว่า จะต้องให้ระดับราคาน้ำมันขึ้นไปอยู่ในระดับไหนถึงจะพอทำกำไรได้มั่ง ขณะที่ “World Energy Agency” สรุปว่า ต้องให้ราคาน้ำมันขึ้นไปถึง 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ถึงจะคุ้มทุน แต่โดยตัวเลขสถิติของ “US Department of Energy” กลับประมาณการไว้ว่า แค่ระดับราคาน้ำมันประมาณ 54 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ก็สามารถทำกำไรได้แล้ว...
แต่โดยสรุปรวมความแล้ว...เอาเป็นว่า ด้วยเหตุเพราะความไม่สนใจต่อปัญหาภาวะโลกร้อน ปัญหาสิ่งแวดล้อม ไม่สนใจถึงอนาคตที่อาจเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวต่อบรรดาชาวอเมริกันชนทั้งหลายในภายภาคหน้า ฯลฯ ขอเพียงให้ได้มาซึ่งเงินๆ-ทองๆ เอาไว้ก่อนล่วงหน้า ตามแบบฉบับผู้ซึ่งเติบโตขึ้นมาจากความเป็นนักธุรกิจ-นักเก็งกำไรมาโดยตลอด การผลิตน้ำมัน “Shale Oil” ในอเมริกา มันจึงเป็นไปอย่างระเบิดเถิดเทิง ชนิดสามารถเปลี่ยนสถานะของประเทศจากที่เคยต้องพึ่งพาปริมาณน้ำมันในซีกโลกต่างๆ มาโดยตลอด กลายเป็นประเทศที่ไม่จำเป็นต้อง “นำเข้า” น้ำมันจากประเทศอื่นๆ เอาเลยก็ยังได้ แถมยังสามารถ “ส่งออก” แย่งตลาด แบ่งตลาด กับบรรดาประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ๆ จนอาจนำเอาศักยภาพ หรือขีดความสามารถเหล่านี้ มาใช้ในทาง “ยุทธศาสตร์” หรือในทาง “การเมือง” ได้อีกต่างหาก โดยเฉพาะในการแง่ของการแข่งขัน การสร้างแรงกดดันให้กับบรรดา “มหาอำนาจคู่แข่ง” ไม่ว่าอย่างจีน หรือรัสเซีย ไปจนถึงบรรดาศัตรูคู่กัดทั้งหลาย อย่างอิหร่าน ฯลฯ เป็นต้น...
อันนี้นี่แหละ...ที่น่าคิด น่าสะกิดใจเอามากๆ หรือทำให้ประเทศศัตรู คู่กัด อย่างอิหร่าน เขาอดไม่ได้ที่จะต้องตั้งข้อสังเกต ข้อสมมติฐาน เอาไว้ในรายงานเรื่อง “Iranian viewpoint : US’ strategy to play major rolein global energy market” เอาไว้ประมาณว่า... “กระบวนการผลิตน้ำมัน Shale Oil กำลังกลายเป็นหนทางของอเมริกา ในการนำไปใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ต่อบรรดาประเทศผู้ผลิตน้ำมันหลักๆ ในโลกนี้ ไม่ว่าด้วยการ...แซงชั่น...ประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อย่างอิหร่าน เวเนซุเอลาไปจนถึงรัสเซีย ฯลฯ หรือด้วยการสร้างความตึงเครียดขึ้นในประเทศผู้ผลิตน้ำมันหลักๆ เช่นในภูมิภาคอ่าวเปอร์เซีย เพื่อผลักดันให้อเมริกากลายเป็นผู้เล่นหลัก ในตลาดน้ำมันโลก...” จริง-ไม่จริง เป็นไปได้-เป็นไปไม่ได้ หรือน่าเชื่อ-ไม่น่าเชื่อ คงต้องไปติดตามรายละเอียดวันพรุ่งนี้ อีกสักวันก็แล้วกัน...