xs
xsm
sm
md
lg

“วิสั้นบิ๊กตู่” กับ “วิชั่นสีจิ้นผิง”

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


“สอดแนมการเมือง”
“ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”

ประวัติศาตร์อันยาวนานของชาติจีนนั้น เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายน่าศึกษาค้นคว้าอย่างยิ่ง

เทียบจำนวนประชากรจีนกับไทยแล้ว..ห่างกันหลายขุม มีคนจีนจำนวนไม่น้อยหนีความอดอยากยากจน เสี่ยงชีวิตเดินทางไปอยู่ตามดินแดนต่างๆทั่วโลก

จีน-ชาติที่มีประชากรมากที่สุดในโลกกว่า 1,400 ล้านคน ในอดีตเป็นประเทศที่ล้าหลังและยากจน ทว่า..หลังการปฏิวัติจีนนำโดย “เหมาเจ๋อตง” กับมิตรสหาย ที่ใช้ลัทธิ “มาร์กซ์-เลนิน” นำการปฏิวัติ จนพบกับชัยชนะ

จากนั้น “ผู้นำจีน” ก็สร้างชาติด้วยระบอบ“สังคมนิยมคอมมิวนิสต์” ก่อนจะเดินหน้าทำการปฏิวัติชาติจีนสู่ยุคทันสมัยดังในวันนี้

ผู้รู้บางคนกล่าวว่า ก่อน “เหมาเจ๋อตง” ขึ้นครองอำนาจนั้น ประเทศจีนยังเป็น “คนป่วย ”ที่ล้าหลังอยู่ ประชาชนจีนยากจน ต้องหอบเสื่อผืนหมอนใบไปตายเอาดาบหน้า “เหมาเจ๋อตง” ได้ปฏิวัติชาติจีนสู่มิติการเมืองยุคใหม่ ก่อนจะส่งต่อให้ชายร่างเล็ก “เติ้งเสี่ยวผิง” ผู้พลิกแผ่นดินจีน เจ้าของทฤษฎี“ไม่ว่า..แมวขาวหรือแมวดำ ขอเพียงจับหนูได้ ก็คือแมวดี”

“คนบริหารชาติ”ต้องรู้นะว่า แนวคิดนี้ “เติ้งเสี่ยวผิง”เปรียบเทียบทางการเมือง ด้วยว่าประชาชนอยากได้การเมืองที่ทำให้อยู่ดีกินดี อีกทั้งทำให้ประเทศชาติสุขสงบและเจริญรุ่งเรือง ส่วนเรื่องของ“คนบริหารชาติ”ในทุกระดับนั้น ต้องยึดหลักเป็น“นักการเมืองดี”เท่านั้น มิใช่ปล่อยให้“นักการเมืองเลว”เข้ามาบริหารชาติ เพื่อคอร์รัปชั่นโกงชาติ (นะเฟ้ย!)

อ้อ..ผู้นำ “เติ้งเสี่ยวผิง” ของชาติจีน ยังยึดมั่นอย่างแน่วแน่ในหลักการ “อย่าได้ตอบแทนบุญคุณส่วนตัว ด้วยผลประโยชน์ประเทศชาติ”

แต่สำหรับ “บิ๊กตู่” แล้ว หลักการที่ดีดังกล่าวนั้น..ล้มเหลว(ว่ะ)! เพราะที่ผ่านมา “บิ๊กตู่” ปกป้องพวกพ้องแบบสุดลิ่มทิ่มประตูมาตลอด เอ..ฤา “บิ๊กตู่” หลงไปยึดหลัก “เลือดสุพรรณ มาด้วยกันไปด้วยกัน” เข้าเต็มเปา?..เฮ้อ..!

จากผู้นำ “เหมา” ตามด้วยผู้นำ “เติ้ง” ต่อเนื่องมาจนถึงยุค “สีจิ้นผิง” ผู้ถนัดในแนวคิดโบราณผสานกับแนวคิดสมัยใหม่ มาใช้บริหารชาติจีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีเรื่องน่าศึกษาเรียนรู้และนำไปสู่ภาคปฏิบัติได้อย่างน่าทึ่ง ดังเรื่อง “สีจิ้นผิง” เน้นถึงจิตวิญญาณของ “ข้าราชการ” ในการประชุมเต็มคณะครั้งที่ 4 ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน มณฑลเจ้อเจียง สมัยที่ 11 ด้วยนโยบายต้อง-

โปร่งใส-หมายถึง ความมัธยัสถ์ เปิดเผย เที่ยงธรรม ใสสะอาด อยู่ได้แม้จะไร้ทรัพย์สินศฤงคาร

รอบคอบ-หมายถึง ระมัดระวัง คิดให้ละเอียดลออ ระวังทั้งคำพูดและการกระทำ

ขยันขันแข็ง-หมายถึง ขยันทำงาน และใฝ่รู้ อดทนต่อความยากลำบากเพื่อความก้าวหน้า

โดย “สีจิ้นผิง” ระบุว่า เจ้าหน้าที่ระดับบริหาร ต้องระวังการใช้อำนาจในมือ ต้องทนให้ได้กับความเคยชินกับความยากจน ทนได้กับความเงียบเหงา จิตใจหนักแน่น ทนต่อการทดสอบ เคารพต่อวินัยพรรคและกฎหมายบ้านเมือง ต้องรู้สึกได้ว่า ใช้อำนาจเพื่อส่วนรวม มิใช่ใช้อำนาจเพื่อส่วนตน ใช้อำนาจตามกฎหมาย ไม่ใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้อง ใช้อำนาจอย่างใสสะอาด ไม่ฉ้อราษฎร์บังหลวง ต้องมีสำนึกอย่างสูงต่อหน้าที่และความรับผิดชอบ อยากทำงาน ยอมทำงาน ทำงานเป็น ทำให้สำเร็จ ทุ่มเทกายใจให้กับงาน ทำเต็มหน้าที่ อุทิศแก่งาน อย่าลืมตน ยินดีเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่องานของพรรคและประชาชน

“การทำงานอย่างสะอาดหมดจดได้หรือไม่ เป็นบททดสอบใหญ่ที่เจ้าหน้าที่ระดับบริหารต้องเผชิญอยู่เสมอ” นี่เกี่ยวพันกับภาพลักษณ์ของพรรค เกี่ยวพันกับการสนับสนุนหรือการต่อต้านจากประชาชน เกี่ยวพันกับความเป็นความตาย การดำรงอยู่หรือล่มสลายของพรรคและประเทศชาติ

เจ้าหน้าที่ระดับบริหารจะทำ 3 คำนี้ได้ โดยเนื้อแท้แล้วอาจกล่าวได้ว่า ยังต้องเริ่มจากการกล่อมเกลาและยกระดับตนเอง บ่มเพาะและสร้างจิตสำนึก 6 ประการ คือ จิตสำนึกศรัทธา จิตสำนึกการเป็นผู้รับใช้ประชาชน จิตสำนึกการทบทวนตนเอง จิตสำนึกของความยำเกรง จิตสำนึกต่อกฎหมาย และจิตสำนึกความเป็นประชาธิปไตย

แนวคิดที่ “สีจิ้นผิง” ใช้นี้ มาจากตำราโบราณ “กวนเจิน” ของกวี “หลวี่เปิ่นจง” ในยุคสมัยของราชวงศ์หนานซ่งหรือซ่งใต้ ในตำรานี้มีคติพจน์สำหรับขุนนางถึง 33 ข้อ ข้อแรกเริ่มด้วย “วิธีเป็นข้าราชการ มีเพียง 3 เรื่อง คือ โปร่งใส รอบคอบ ขยันขันแข็ง ก็จะรักษาตำแหน่งไว้ได้ ห่างไกลจากความอัปยศ จะเป็นที่รับรู้ของเบื้องบน และจะได้รับการสนับสนุนจากเบื้องล่าง”

อีกเรื่องที่“สีจิ้นผิง”ได้ปราศรัย เมื่อไปตรวจสภาพอุปทานของตลาดนัดและราคาสินค้าครั้งหนึ่ง โดยยกบทกวี“หย่งเหมยทั่น”(สดุดีถ่านหิน) ที่ว่า “ขอเพียงราษฎรอิ่มท้องและอุ่นกาย มิเสียดายจากพนามาตรากตรำ” โดย“สีจิ้นผิง”ได้ฟันธงเปรี้ยงว่า

“ถ้าในใจไม่มีประชาชน ก็อย่าเป็นข้าราชการดีกว่า” การเป็นข้าราชการในที่ใด ก็ต้องทำให้ประชาชนในที่นั้นมีความสุข มีอำนาจรัฐอยู่ในมือก็ต้องทำงานเพื่อประชาชน มิฉะนั้น หากทำอะไรไม่ได้สักอย่าง จะเลือกคุณมาทำไม ความเป็นอยู่ของประชาชนมิใช่เรื่องของนามธรรมล่องลอย หากแต่ควรทำให้เป็นจริง ให้ประชาชนได้ประโยชน์อย่างแท้จริง นี่เป็นบททดสอบความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ระดับบริหาร

“สีจิ้นผิง” ได้ยกบทกวีของ “หย่งเหมยทั่น” ด้วยเจตนาคือ ต้องการให้เจ้าหน้าที่รัฐทุกระดับตั้งอกตั้งใจ “ทำเรื่องใหญ่ในโลกาต้องละเอียดลออ” ใช้ท่าทีเช่นนี้กับงานปากท้องของประชาชน พยายามทำให้กับประชาชนทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยเพียงใด

คนคนหนึ่งเป็นข้าราชการทำไม? คำถามนี้ดูเหมือนตอบง่าย แต่กลับทรงความหมายในระดับพื้นฐานของจิตใจ ถ้าปัญหานี้คลี่คลายได้ ความยุ่งยากอื่นๆที่ตามมา อาทิเช่น การตัดพ้อว่าเงินเดือนต่ำ ก้าวหน้าช้า จะหมดไปเอง คุณค่าสูงสุดของอำนาจ คือความเป็นส่วนรวม ถ้าคิดถึงแต่ส่วนตัว กลัดกลุ้มอยู่กับผลได้ผลเสียของตนเอง สู้ไปทำอาชีพอื่นจะดีกว่า

“สีจิ้นผิง” เคยเน้นย้ำหลายครั้งว่า การเป็นข้าราชการกับความร่ำรวยเป็นคนละทางกัน ความหมายคือเช่นนี้

บทกวี “หย่งเหมยทั่น” ของ “อวี๋เซียน” ผู้เป็นแม่ทัพเรืองนามในสมัยราชวงศ์หมิง ได้ประพันธ์เปรียบตนเองเป็นดั่งถ่านหิน เพื่อแสดงปณิธาน ระบายความรู้สึกที่ยอมเสียสละเพื่อชาติบ้านเมือง ชนิด “ยอมแลกด้วยชีวิต” นั้น จึงเสมือนถ่านหินที่ยินดีเผาผลาญตนเอง เพื่อให้ความอบอุ่นแก่ผู้อื่นเสมือนปฐพียามฤดูใบไม้ผลิ บทกวีนี้ “อวี๋เซียน” บรรจงบรรยายไว้ว่า

“ขุดชั้นดินได้ทองดำอันล้ำค่า เป็นที่มาพลังงานอันเหลือหลาย จุดคบไฟอุ่นดังวสันต์กราย ไฟแรงคล้ายกรีดฟ้ายามราตรี กระถางธูปได้อาศัยเป็นพลัง เหล็กหินยังภักดีไม่ห่างหาย ขอเพียงราษฎร์อิ่มท้องและอุ่นกาย มิเสียดายจากพนามาตรากตรำ”

อืม..นั่นเป็นแค่เศษเสี้ยวของหนังสือ “เพลงกระบี่ สีจิ้นผิง” ซึ่งเรียบเรียงโดย PEOPLE’S DAILY PRESS แปลโดย “ชาญ ธนประกอบ” บรรณาธิการที่ปรึกษาโดย “รศ.ดร.กนกพร นุ่มทอง” จัดพิมพ์โดย บริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด (มหาชน) ถือเป็นหนังสือดีมีคุณค่าที่ควรอ่านอย่างยิ่ง จึงขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้

“นายกฯ บิ๊กตู่” คือข้าราชการประจำ ก่อนจะเป็น “นักการเมือง” รัฐประหารและเลือกตั้ง แต่จิตสำนึกของ “ผู้นำชาติไทย” อย่าง “บิ๊กตู่” ดูจะยังห่างไกลจาก “สีจิ้นผิง” ทั้ง “แนวคิด”และ “แนวปฏิบัติ”.. ห่างมากเกินจะบรรยายได้เลยนะเนี่ย..

ดังนั้น..การบริหารชาตินานกว่า 5 ปีของ “นายกฯบิ๊กตู่” ในยุคเผด็จการเบ็ดเสร็จด้วยมาตรา 44 เป็น “นายกฯราชสีห์บิ๊กตู่”มีอำนาจล้นฟ้า วันนี้กลับกลายเป็น“นายกฯ บิ๊กตู่” ในสภาพ “รัฐบาลเป็ดง่อย” จึงเป็นได้แค่บริหารชาติแบบ “รัฐข้าราชการ” มีผลงานแก้ปัญหาทั่วไปให้ชาติตามกลไกรัฐเท่านั้น

จึงอย่าแปลกใจ ที่ “นายกฯ บิ๊กตู่” ไร้ผลงานแก้ต้นเหตุปัญหามิติต่างๆ ให้ชาติกับประชาชนเท่าที่ควร

อ้าว..เฮ้ย! ทำไมทะลึ่งเอา “นายกฯ บิ๊กตู่” ไปเปรียบเทียบกับ “ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง”แบบนี้ล่ะ?

ประชาชนไทยขายหน้าแทบจะเอา “ปี๊บคลุมหัว”.. เพราะอายประชาชนจีน(ว่ะ)..!


กำลังโหลดความคิดเห็น