ณ บ้านพระอาทิตย์
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
มาถึงยุคที่กัญชงได้ถูกเริ่มถูกแยกออกมาจากกัญชา เพราะกัญชงไม่ได้มี “สารเตตร้าไฮโดรแคนนาบินอล” หรือ THC ซึ่งทำให้มึนเมาหรือมีสารออกฤทธิ์ทางจิตประสาทอยู่ในระดับต่ำมาก อย่างไรก็ตามสารสำคัญที่ได้จาก “ดอกของกัญชง” นั้น ยังมี “สารแคนนาบิไดออล” หรือ CBD ที่นอกจากจะไม่มึนเมาแล้วยังมีประโยชน์ในการทำให้ลดความเครียด ลดการอักเสบ และลดความผิดปกติทางสมอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคลมชัก และโรคพาร์กินสัน
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว กัญชง หรือ เฮมพ์ (Hemp) ก็คือสายพันธุ์ชนิดหนึ่งของกัญชาที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Cannabis sativa L. subsp. sativa ซึ่งพันธุ์พืชกัญชงนี้อาจมีตัวแปรของสารสำคัญทั้ง THC และมี CBD อยู่ในปริมาณและสัดส่วนในดอกของกัญชงที่ไม่เท่ากัน
การที่สารสำคัญมีไม่เท่ากัน หรือสัดส่วนระหว่างสาร THC และ CBD ไม่เท่ากัน ทั้งๆที่เป็นกัญชงเหมือนกันนั้นก็ด้วยเหตุของความแตกต่างในตัวแปรหลายปัจจัย เช่น การพัฒนาสายพันธุ์ สภาพภูมิอากาศ วิธีการเพาะปลูก ภูมิประเทศและระดับความสูงของพื้นที่เพาะปลูก ฯลฯ
ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้นการกำหนดลักษณะต้นไม้ที่จะแยกแยะความแตกต่างของกัญชงให้ออกจากกัญชาคือ ปริมาณสูงสุดของสาร THC ของน้ำหนักของช่อดอกว่าไม่เกินเท่าไหร่? ซึ่งในแต่ละประเทศอาจจะไม่เหมือนกัน
ตัวอย่างเช่น ในประเทศสหรัฐอเมริกาให้คำนิยามของต้นกัญชงคือกำหนดสาร THC ต่ำกว่า 0.3% ของน้ำหนักของดอกพืชกัญชง ในขณะที่สหภาพยุโรปกำหนดสาร THC ต่ำกว่า 0.2% ของน้ำหนักดอกของกัญชง
ในขณะที่ประเทศอิตาลีก็มีการกำหนด “พืชกัญชง” ให้มีปริมาณเพดานสาร THC สูงกว่านั้น คือไม่เกิน 0.6% ของน้ำหนักพืชกัญชง
ในขณะที่อีกหลายพื้นที่ก็มีการกำหนด “พืชกัญชง” ให้มีเพดานปริมาณสาร THC สูงสุดไม่เกิน 1 % ของน้ำหนักพืชกัญชง เช่น ประเทศสวิสเซอร์แลนด์, ประเทศออสเตรเลีย ในมลรัฐนิว เซาท์ เวลซ์ และ ควีนส์แลนด์ เป็นต้น
ในขณะที่ประเทศไทยนั้นได้เคยกำหนดเอาไว้ในกฎกระทรวงซึ่งประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเมื่อต้น ปี 2560 ตามลักษณะพันธุ์กัญชงพื้นเมืองของประเทศไทยไว้ที่ 1% ของน้ำหนักดอกกัญชง เช่นเดียวกับอีกหลายประเทศ เช่น สวิสเซอร์แลนด์ ออสเตรเลีย ฯลฯ
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ภายใต้อนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ. 1961 และพิธีแก้ไขอนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ. 1961 ค.ศ. 1972 ตลอดจนอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการลักลอบค้ายาเสพติดและวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ค.ศ. 1988 นั้น ไม่ได้มีการแยกแยะความแตกต่างระหว่างกัญชาหรือกัญชง เพราะเงื่อนไขในการควบคุมนั้นอยู่ที่ “ดอก”ของพืชตระกูลกัญชา(ซึ่งรวมถึงกัญชงด้วย)ที่จะมีโอกาสที่จะมีสาร THC มากกว่าส่วนอื่น ดังนั้นไม่ว่ากัญชาหรือกัญชงที่ต้องการดอกของพืชตระกูลนี้ จะต้องมีระบบการควบคุมและรายงานยอดการเพาะปลูกต่อคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดระหว่างประเทศไม่แตกต่างกัน และถ้าเป็นส่วนที่ได้จากดอกนั้นก็ต้องมีการควบคุมโดยรัฐด้วย และต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น
จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้นแสดงให้เห็นว่า ไม่มีกฎหมายระหว่างประเทศที่จะบังคับเพดานจำนวนเปอร์เซ็นต์ในพืชกัญชง มีแต่กฎหมายของแต่ละประเทศที่จะกำหนดเพดานของสาร THC ในพืชกัญชงของแต่ละประเทศที่กำหนดขึ้นมาเอง
การที่ไม่มีกฎหมายระหว่างประเทศมากำหนดชนิดพันธุ์พืชกัญชงว่าต้องมีสาร THC เท่าไหร่ เพราะในความเป็นจริงแล้วเทคโนโลยี “การสกัดสารสำคัญ” ในกัญชาในยุคปัจจุบัน สามารถแยกแยะสารสำคัญได้ทุกชนิด ดังนั้นการกำหนดในสินค้าสำเร็จรูปสุดท้ายอาจจะสำคัญยิ่งกว่าหรือไม่?
ตัวอย่างเช่น ในขณะที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้กำหนดคำนิยามของต้นกัญชงคือกำหนดสาร THC ต่ำกว่า 0.3% ในน้ำหนักของดอกกัญชง แต่ปรากฏว่าเมื่อสกัดแยกน้ำมันออกมาจากดอก เข้มข้นกว่าเดิมเป็นน้ำมันที่มีสาร CBD กลับอนุญาตให้มีสาร THC ได้สูงขึ้นเป็น 0.3% ถึง 5% (แล้วแต่มลรัฐ) แสดงให้เห็นว่าการคุมที่ต้นพืชกัญชงเพียงอย่างเดียวก็ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าสาร THC จะไม่เพิ่มขึ้นหากถูกสกัดน้ำมันออกมาจากดอกกัญชง
ในทางตรงกันข้าม หากนำดอกกัญชงที่มี THC สูง 1% แล้วเมื่อสกัดออกมาเป็นน้ำมัน CBD ซึ่งมีสาร THC สูงกว่า 1% แต่พอนำมาเจือจางในผลิตภัณฑ์สุดท้ายจน THC เหลือไม่ถึง 0.2% เราจะยังเรียกว่าผลิตภัณฑ์ CBD ท้ายสุดนั้นยังอันตรายอยู่หรือไม่?
ที่กล่าวมาข้างต้นเพื่อชวนให้ผู้อ่านให้คิดตามต่อว่าการกำหนดที่ตัวพันธุ์พืชที่มีสาร THC ไม่เกิน 0.5%, 0.3% หรือ 0.2% ที่ดอกกัญชงให้เหมือนยุโรปหรืออเมริกานั้น เป็นการหลงประเด็นหรือไม่ เพราะมีพันธุ์กัญชงพื้นเมืองของไทยที่ปลูกธรรมชาติที่ต้นทุนไม่แพงมีสาร THC 0.7-0.8% (คือ ไม่เกิน 1% เหมือนประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฯลฯ) แต่การยึดเอามาตรฐานให้เหมือนพันธุ์พืชน้ำหนักดอกกัญชงยุโรปที่ให้สาร THC ไม่เกิน 0.2% หรือประเทศสหรัฐอเมริกาที่ให้สาร THC ไม่เกิน 0.3% เพราะในความเป็นจริงต้องมาสกัดได้ THC เข้มข้นขึ้นหรือนำมาผสมผลิตภัณฑ์อื่นๆจน THC เจือจางลง ดังนั้นกำหนดผลิตภัณฑ์สุดท้ายน่าจะสำคัญกว่าการหลงประเด็นเรื่องการกวาดล้างทำลายพันธุ์พื้นเมืองกัญชงไทยให้กลายเป็นกัญชาหรือยาเสพติดนั้นจะถูกต้องหรือไม่?
นี่คือเหตุผลว่าทำไมองค์การอนามัยโลกจึงได้ยื่นเสนอต่อองค์การอนามัยโลก ให้ปลดล็อกเฉพาะสารสำคัญ CBD ซึ่งมีมากในกัญชงและกำหนดให้มีเพดานสาร THC ไม่เกิน 0.2% ของน้ำหนักสาร CBD ออกจากบัญชียาเสพติดควบคุมระหว่างประเทศอย่างสมบูรณ์ และองค์การอนามัยโลกจะประชุมพิจารณาลงมติในวาระดังกล่าวในต้นปี 2563
แต่ในขณะบางคนเข้าใจไปว่าการควบคุมสาร CBD ให้บริสุทธิ์ที่สุดเท่าที่เทคโนโลยีจะทำได้นั้น คือการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานที่ดี แต่ในความเป็นจริงแล้วก็อาจจะไม่ใช่เช่นนั้น
เพราะงานวิจัยปรากฏในวารสารทางการแพทย์ Frontiers in Neurology ฉบับวันที่ 10 มกราคม 2562 ปรากฏว่าพบว่าสารสกัด CBD บริสุทธิ์ที่จะช่วยโรคลมชักนั้นต้องใช้ปริมาณสูงถึง 25 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อวัน แต่กลับมีประสิทธิภาพต่อสุขภาพ “ด้อยกว่า”สารที่ได้จากกัญชงที่มี CBD สูงโดยไม่ต้องถึงขั้นบริสุทธิ์ที่ใช้เพียง 6 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อวันเท่านั้น
เหตุที่เกิดขึ้นเช่นนั้นเพราะนักวิทยาศาสตร์เริ่มมีงานวิจัยไปในทิศทางเดียวกันว่าสารกลุ่มแคนนาบินอยด์ในกัญชงหรือกัญชานั้นมีมากกว่าร้อยชนิด และแต่ละชนิดมีผลต่อการทำงานร่วมกัน และยิ่งไปกว่านั้นสารเทอร์พีน หรือสารฟลาโวนอยด์ก็ช่วยการทำงานของสารแคนนาบินอยด์ได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย ซึ่งนั่นหมายความว่าการสกัดรวมโดยไม่แยกสารสำคัญของสมุนไพรกัญชาหรือกัญชงแบบหมอพื้นบ้านหรือการแพทย์แผนไทยอาจจะมีประสิทธิภาพมากกว่าก็ได้ หากมีการปล่อยให้การแพทย์แผนไทยและหมอพื้นบ้านได้ใช้กัญชาหรือกัญชงตามภูมิปัญญาที่สั่งสมกันเป็นเวลานานแสนนาน แล้วมาพัฒนาด้วยการบูรณาการด้วยข้อมูลจากเภสัชสมุนไพรยุคใหม่
แต่นอกจากการสกัดรวมโดยไม่แยกสารสำคัญของสมุนไพรกัญชาและกัญชงของหมอพื้นบ้านและการแพทย์แผนไทยที่ว่าน่าสนใจแล้ว ยังมีตำรับยาที่สามารถจะมาปรุงร่วมกับกัญชงหรือกัญชาเพื่อลดผลเสียหลายด้านของการใช้กัญชาหรือกัญชงได้อีกด้วย
นั่นแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เหนือกว่ากัญชงและกัญชาก็คือ “ภูมิปัญญา”
แต่ความจริงแล้วภูมิปัญญาก็ที่จะมาบูรณาการกับกัญชานั้นก็ไม่ได้มีเพียงหมอพื้นบ้านหรือการแพทย์แผนไทยเท่านั้น การกดจุด การออกกำลังกาย อาหาร การบริหารระบบภูมิคุ้มกัน การขับถ่ายของเสีย อากาศ ล้วนแล้วมีความสำคัญที่ไม่ได้อาศัยองค์ความรู้เพียงแค่กัญชงหรือกัญชาแต่เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป และจำเป็นต้องจัดการกับปัญหาต้นเหตุ หรือปัญหาข้างเคียงอื่นๆด้วย
สถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต จึงได้ตัดสินใจเพิ่มวิชาหลักสูตรพื้นฐานกัญชาเวชศาสตร์สำหรับประชาชน และกัญชาในตำรับยาไทย ในหลักสูตรวิถีชีวาเวชศาสตร์ รุ่นที่ 4 รวมถึงการเพิ่มวิชาเมนูอาหารเพื่อแก้อาการข้างเคียงจากการใช้กัญชา ในหลักสูตรการประกอบอาหารเพื่อสุขภาพแลชะลอวัย รุ่นที่ 3 ในการนี้ได้รวบรวมองค์ความรู้ครอบคลุมไปถึงกัญชงด้วย
สำหรับวิชาที่จะสอนในหลักสูตร “วิถีชีวาเวชศาสตร์ รุ่นที่ 4” นอกจากวิชาหลักสูตรพื้นฐานกัญชาเวชศาสตร์สำหรับประชาชน และวิชากัญชาในตำรับยาไทยแล้ว ยังครอบคลุมอีกหลายวิชาที่จะสามารถบูรณาการองค์ความรู้หลากศาสตร์ผสานกับองค์ความรู้ด้านกัญชาหรือกัญชง อันได้แก่ วิชาโภชนาการบำบัดจากงานวิจัย สมุนไพรประจำบ้านเบื้องต้น การทำผลิตภัณฑ์สมุนไพร การกดจุดแก้อาการเบื้องต้น การนวดปรับสมดุลในครอบครัว พื้นฐานการจับชีพจรและพื้นฐานการฝังเข็มของการแพทย์แผนจีน การประยุกต์การแพทย์แผนไทยในชีวิตประจำวัน การบริหารระบบภูมิคุ้มกัน การบูรณาการอดอาหารและการล้างพิษ การสืบค้นและอ่านข้อมูลงานวิจัยด้านสุขภาพ การออกกำลังกายเพื่อลดการปวดกล้ามเนื้อและเส้นประสาท ธรรมานามัย การแพทย์ทางเลือก ฯลฯ
สำหรับหลักสูตร “วิถีชีวาเวชศาสตร์ รุ่นที่ 4” จะเริ่มเรียนในวันเสาร์ที่ 28 กันยายน 2562 และจะเรียนทุกวันเสาร์และอาทิตย์ใน 2 สัปดาห์แรก หลังจากนั้นจะเริ่มเรียนเฉพาะทุกวันอาทิตย์ ตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม 2562 ถึงวันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม 2562
ส่วนอีกหลักสูตรหนึ่งที่สำคัญอย่างยิ่งก็คือ หลักสูตร “การประกอบอาหารเพื่อสุขภาพและชะลอวัยระดับยีน รุ่นที่ 3” (Culinary Course for Healthy and Anti Aging Genomic Diet) เพื่อเรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีในการสืบค้นข้อมูลทางโภชนาการและงานวิจัยของวัตถุดิบทุกชิ้น เพื่อเป้าหมายในการคิดเมนูอาหารเพื่อสุขภาพและชะลอวัยในระดับยีนจากงานวิจัย ควบคู่กับการบูรณาการและการประยุกต์ใช้ 9 รสยาไทยเพื่อช่วยป้องกันและบำบัดโรคเรื้อรังหลายชนิด เช่น โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคไขมันแทรกตับ โรคความดันโลหิต ท้องผูก โรคนอนไม่หลับ โรคมะเร็ง ฯลฯ รวมถึงการสอนการอ่านผลแล็บพื้นฐานของผู้ป่วย และความสัมพันธ์กับโภชนาการและสมุนไพรเพื่อปรับผลการตรวจนั้น
สำหรับการลงมือปฏิบัติการประกอบอาหารเพื่อสุขภาพและชะลอวัยระดับยีนนั้นจะต้องทำอาหารสุขภาพที่ต้องอาศัยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์จากงานวิจัย มาบูรณาการร่วมกับการใช้ศิลปะเพื่อการปรุงอาหารให้มีรสชาติอร่อย ด้วยการจัดองค์ประกอบการนำเสนอการจัดจานสวยงาม ภายใต้ข้อจำกัดที่ต้องใช้วัตถุดิบเพื่อสุขภาพเท่านั้น เช่น กลุ่มอาหารมังสวิรัติแบบบริสุทธิ์(ไร้เนื้อ นม และไข่) กลุ่มไขมันชนิดดีสูง กลุ่มไฟเบอร์สูง กลุ่มไร้น้ำตาลและแป้งดัชนีน้ำตาลต่ำที่สุด กลุ่มสารต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุดระดับโลก กลุ่มอาหารพรีไบโอติกเพื่อเพิ่มจำนวนแบคทีเรียชนิดดีในลำไส้เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ฯลฯ ซึ่งภายใต้เงื่อนไขและข้อจำกัดข้างต้นก็นับว่าเป็นเรื่องยากยิ่งที่จะสร้างสรรค์ให้เป็นเมนูอาหารที่อร่อยและสวยงามได้หากไม่ได้เรียนหลักสูตรดังกล่าวนี้
สำหรับหลักสูตร“การประกอบอาหารเพื่อสุขภาพและชะลอวัยระดับยีน รุ่นที่ 3” จะเริ่มเรียนปรับฐานภาคทฤษฎี 2 วัน คือ วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม 2562 และวันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม 2562 ร่วมกับหลักสูตรวิถีชีวาเวชศาสตร์ 2 วิชา หลังจากนั้นจะเรียนทุกวันเสาร์ในภาคทฤษฎีและลงมือปฏิบัติประกอบอาหารจริงทุกวันเสาร์ โดยเริ่มจากวันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม 2562 เป็นต้นไป โดยจะเรียน 2 เสาร์ และสอบ 1 เสาร์ ไปจนถึงวันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม 2562
หลักสูตร“วิถีชีวาเวชศาสตร์ รุ่นที่ 4” จึงมีลักษณะรู้รอบในหลายศาสตร์ให้กว้างขึ้น เพื่อที่จะสามารถนำมาประยุกต์นำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้มากขึ้น แต่หากถึงเวลาต้องไปหาแพทย์ก็จะมีทางเลือกของแพทย์และวิธีการรักษาได้มากขึ้นกับการรักษาแผนหลักของแพทย์แผนปัจจุบันแต่เพียงอย่างเดียว แต่หลักสูตร“การประกอบอาหารเพื่อสุขภาพและชะลอวัยระดับยีน รุ่นที่ 3 มีลักษณะที่ลงลึกในรายละเอียดในเรื่องอาหารภาคปฏิบัติการมากกว่า ซึ่งไม่สามารถจะหาเรียนหลักสูตรการบูรณาการองค์ความรู้ในระยะเวลาอันสั้นได้เช่นนี้
และเนื่องจากการจัดทั้ง 2 หลักสูตรข้างต้น ได้จัดเวลาสำหรับคนที่สนใจเรียนควบทั้ง 2 หลักสูตรพร้อมกัน โดยหลักสูตร “วิถีชีวาเวชศาสตร์ รุ่นที่ 4” จะรับสมัคร 50 คน ส่วนหลักสูตร“การประกอบอาหารเพื่อสุขภาพและชะลอวัยระดับยีน รุ่นที่ 3”จะรับสมัครจำกัดเพียง 20 คนเท่านั้น ทั้ง 2 หลักสูตร ไม่จำกัดอายุและวุฒิการศึกษา เมื่อจบหลักสูตรตามเงื่อนไขที่กำหนดแล้ว จะได้รับประกาศนียบัตรจากสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต
ทั้ง 2 หลักสูตรนี้ ไม่เพียงจะเป็นประโยชน์เฉพาะประชาชนทั่วไปที่จะเรียนรู้ในการดูแลสุขภาพของตัวเองและคนในครอบครัวเท่านั้น แต่ยังเหมาะสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพในสายวิทยาศาสตร์สุขภาพที่จะสามารถประยุกต์การบูรณาการองค์ความรู้ทางด้านสุขภาพจากหลายศาสตร์ อีกทั้งยังเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการต่อยอดในการเป็นที่ปรึกษาด้านสุขภาพองค์รวม เป็นผู้บริหาร หรือเป็นผู้ประกอบการธุรกิจสุขภาพหรือเวลเนสต่อไปด้วย
ทั้ง 2 หลักสูตรเปิดรับสมัครแล้ว ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันศุกร์ที่ 27 กันยายน 2562 แต่หากมีผู้สมัครเรียนเต็มก่อนสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิตจะขอสงวนสิทธิ์ที่จะปิดรับสมัครก่อนวันที่ 27 กันยายน 2562 จึงควรรีบสมัครด่วนก่อนเต็ม สนใจติดต่อได้ที่สถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต หมายเลขโทรศัพท์ 061-950-6666
ด้วยความปรารถนาดี
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต