ผู้จัดการรายวัน360-"สรรพสามิต"ย้ำ 1 ต.ค.นี้ เก็บภาษีความหวานอัตราใหม่ คาดมีรายได้เพิ่มขึ้นจาก 2-3 พันล้านบาท เป็น 3.5-4.5 พันล้านบาทต่อปี เตรียมถกสาธารณสุข อย. เพิ่มการแจ้งเตือนปริมาณน้ำตาลให้ผู้บริโภคทราบ หลังผลสำรวจพบประชาชนมีความรู้น้อยมาก โดยเฉพาะคนวัยทำงาน ยังบริโภคเครื่องดื่มที่มีความหวานสูงมาก
นายณัฐกร อุเทนสุต ผู้อำนวยการสำนักแผนภาษี กรมสรรพสามิต เปิดเผยถึงการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตค่าความหวานในเครื่องดื่ม ว่า ตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย.2560 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นวันที่กรมฯ เริ่มเก็บภาษีความหวาน พบว่า มีผู้ประกอบการที่ผลิตเครื่องดื่มเพียงยี่ห้อเดียวที่ลดปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มเพื่อเสียภาษีในอัตราที่ถูกลง แต่รายอื่นๆ ยังใช้วิธีออกสินค้าใหม่ ซึ่งระบุถึงปริมาณน้ำตาลในระดับต่ำแทน เนื่องจากไม่ต้องการให้กระทบต่อสินค้าเดิมที่ขายอยู่ในตลาด และตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2562 เป็นต้นไป จะมีการปรับภาษีแบบขั้นบันได ตามแผนที่จะมีการปรับอัตราเพิ่มขึ้นในทุกๆ 2 ปี หากผู้ผลิตรายใด ไม่สามารถลดปริมาณน้ำตาลลงได้ ก็จะต้องเสียภาษีเพิ่มขั้นอีกเท่าตัว
ทั้งนี้ ผลการจัดเก็บภาษีค่าความหวานในปัจจุบัน กรมสรรพสามิตสามารถจัดเก็บรายได้ต่อปีอยู่ที่ 2-3 พันล้านบาท แต่อัตราภาษีใหม่ที่จะปรับแบบขั้นบันไดที่จะมีผลในวันที่ 1 ต.ค.2562 จะทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นอีกราว 1.5 พันล้าน ทำให้รายได้จากภาษีน้ำหวานจะอยู่ที่ 3.5-4.5 พันล้านบาทต่อปี
สำหรับการจัดเก็บภาษีความหวานตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2562-30 ก.ย.2564 กรมสรรพสามิตกำหนดให้จัดเก็บภาษีเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลไม่เกิน 10 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร ในอัตราเดิมภาษีที่ 0.30 บาทต่อลิตร ส่วนเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลเกิน 10 กรัม แต่ไม่เกิน 14 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร จะเก็บภาษี 1 บาทต่อลิตร จากเดิมที่เคยจัดเก็บภาษีที่ 0.50 บาทต่อลิตร เครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลเกิน 14 กรัม แต่ไม่เกิน 18 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร จะจัดเก็บ 3 บาทต่อลิตร จากเดิม 1 บาทต่อลิตร และเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลเกิน 18 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร จัดเก็บ 5 บาทต่อลิตร และจะมีการปรับเพิ่มขึ้นอีก 1 เท่าตัวอีกครั้งเมื่อถึงวันที่ 1 ต.ค.2564-30 ก.ย.2566 และเมื่อถึงวันที่ 1 ต.ค.2566 เป็นต้นไป
อย่างไรก็ตาม จากการบังคับใช้ภาษีความหวานในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้ร่วมกับศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำการสำรวจความรับรู้มาตรการภาษีความหวานกับประชาชน พบว่า มาตรการภาษีจูงใจให้ผู้ประกอบการปรับตัว โดยมีการลดปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มและติดฉลากเพื่อแจ้งให้ประชาชนรับทราบมีเพิ่มขึ้นกว่า 200% หรือราว 200-300 รายการ จากเดิมที่มี 60-70 รายการ แต่การรับรู้ประชาชนยังคงมีไม่มากนัก โดยกลุ่มที่มีความตื่นตัว คือ กลุ่มอายุต่ำกว่า 30 ปี และกลุ่มผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี ในขณะที่กลุ่มคนวัยทำงานยังมีความสนใจน้อย และคงบริโภคเครื่องดื่มที่มีความหวานสูงอยู่มาก
นอกจากนี้ กรมสรรพสามิตเตรียมที่จะหารือถึงขั้นตอน หลักการ และวิธีการร่วมกับคณะทำงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เพื่อเข้ากำกับดูแลผู้ประกอบการให้เพิ่มขนาดเครื่องหมายแจ้งเตือนปริมาณน้ำตาล เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถสังเกตเห็นและอ่านได้ง่ายขึ้นด้วย
นายณัฐกร อุเทนสุต ผู้อำนวยการสำนักแผนภาษี กรมสรรพสามิต เปิดเผยถึงการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตค่าความหวานในเครื่องดื่ม ว่า ตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย.2560 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นวันที่กรมฯ เริ่มเก็บภาษีความหวาน พบว่า มีผู้ประกอบการที่ผลิตเครื่องดื่มเพียงยี่ห้อเดียวที่ลดปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มเพื่อเสียภาษีในอัตราที่ถูกลง แต่รายอื่นๆ ยังใช้วิธีออกสินค้าใหม่ ซึ่งระบุถึงปริมาณน้ำตาลในระดับต่ำแทน เนื่องจากไม่ต้องการให้กระทบต่อสินค้าเดิมที่ขายอยู่ในตลาด และตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2562 เป็นต้นไป จะมีการปรับภาษีแบบขั้นบันได ตามแผนที่จะมีการปรับอัตราเพิ่มขึ้นในทุกๆ 2 ปี หากผู้ผลิตรายใด ไม่สามารถลดปริมาณน้ำตาลลงได้ ก็จะต้องเสียภาษีเพิ่มขั้นอีกเท่าตัว
ทั้งนี้ ผลการจัดเก็บภาษีค่าความหวานในปัจจุบัน กรมสรรพสามิตสามารถจัดเก็บรายได้ต่อปีอยู่ที่ 2-3 พันล้านบาท แต่อัตราภาษีใหม่ที่จะปรับแบบขั้นบันไดที่จะมีผลในวันที่ 1 ต.ค.2562 จะทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นอีกราว 1.5 พันล้าน ทำให้รายได้จากภาษีน้ำหวานจะอยู่ที่ 3.5-4.5 พันล้านบาทต่อปี
สำหรับการจัดเก็บภาษีความหวานตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2562-30 ก.ย.2564 กรมสรรพสามิตกำหนดให้จัดเก็บภาษีเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลไม่เกิน 10 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร ในอัตราเดิมภาษีที่ 0.30 บาทต่อลิตร ส่วนเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลเกิน 10 กรัม แต่ไม่เกิน 14 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร จะเก็บภาษี 1 บาทต่อลิตร จากเดิมที่เคยจัดเก็บภาษีที่ 0.50 บาทต่อลิตร เครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลเกิน 14 กรัม แต่ไม่เกิน 18 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร จะจัดเก็บ 3 บาทต่อลิตร จากเดิม 1 บาทต่อลิตร และเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลเกิน 18 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร จัดเก็บ 5 บาทต่อลิตร และจะมีการปรับเพิ่มขึ้นอีก 1 เท่าตัวอีกครั้งเมื่อถึงวันที่ 1 ต.ค.2564-30 ก.ย.2566 และเมื่อถึงวันที่ 1 ต.ค.2566 เป็นต้นไป
อย่างไรก็ตาม จากการบังคับใช้ภาษีความหวานในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้ร่วมกับศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำการสำรวจความรับรู้มาตรการภาษีความหวานกับประชาชน พบว่า มาตรการภาษีจูงใจให้ผู้ประกอบการปรับตัว โดยมีการลดปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มและติดฉลากเพื่อแจ้งให้ประชาชนรับทราบมีเพิ่มขึ้นกว่า 200% หรือราว 200-300 รายการ จากเดิมที่มี 60-70 รายการ แต่การรับรู้ประชาชนยังคงมีไม่มากนัก โดยกลุ่มที่มีความตื่นตัว คือ กลุ่มอายุต่ำกว่า 30 ปี และกลุ่มผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี ในขณะที่กลุ่มคนวัยทำงานยังมีความสนใจน้อย และคงบริโภคเครื่องดื่มที่มีความหวานสูงอยู่มาก
นอกจากนี้ กรมสรรพสามิตเตรียมที่จะหารือถึงขั้นตอน หลักการ และวิธีการร่วมกับคณะทำงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เพื่อเข้ากำกับดูแลผู้ประกอบการให้เพิ่มขนาดเครื่องหมายแจ้งเตือนปริมาณน้ำตาล เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถสังเกตเห็นและอ่านได้ง่ายขึ้นด้วย