xs
xsm
sm
md
lg

สงครามการค้าฉบับ “ลองมาร์ช”

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ และ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน
ไม่ว่าเหตุการณ์ในบ้าน-นอกบ้าน...ช่วงระยะนี้ ดูๆ จะหนักไปทาง “วนไป-วนมา” หรือยักไป-ยักมาในเรื่องเดิมๆ ประเด็นเดิมๆ ซะเป็นหลักใหญ่ ด้วยเหตุนี้...เปิดฉากสัปดาห์นี้ เลยคงต้องขออนุญาตวนไปดูเรื่อง “สงครามการค้า” ระหว่างจีนกับอเมริกาอีกสักรอบ เพราะถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างส่งผลกระทบต่อโลกทั้งโลก หรือแม้แต่ประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮายิ่งกว่าสงครามในรูปแบบอื่นๆ ที่อาจออกไปทางคลุมๆ เครือๆ หรือไม่ถึงกับสร้าง “ปัญหา” ในแบบฉับพลัน-ทันที เหมือนอย่างรายการ “ช้างชนช้าง” ของสองอภิมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ที่ส่งผลให้ “หญ้าแพรก” ต้องแหลกราญกันไปเป็นแถบๆ...

คือถึงแม้จะยังมีการ “ตั้งโต๊ะเจรจา” ระหว่างคุณพี่จีนกับคุณพ่ออเมริกา ในเรื่องราวเหล่านี้มาโดยตลอด และจนตราบเท่าทุกวันนี้ แต่ถ้าฟังจากน้ำเสียงของที่ปรึกษาเศรษฐกิจประธานาธิบดีสหรัฐฯ “นายแลร์รี่ คัดโลว์” (Larry Kudlow) ที่ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวไปเมื่อวัน-สองวันนี้ นอกจากทุกสิ่งทุกอย่างมันคง “ไม่จบ” กันได้แบบง่ายๆ ยังมีแนวโน้มออกไปทาง “ลากยาวว์ว์ว์” หรือ “มีความเป็นไปได้ที่สงครามการค้าระหว่างจีนและอเมริกา...อาจยืดเยื้อต่อไปอีกหลายๆ ปี” นี่...ถ้าว่ากันตามคำพูด คำจา ที่ปรากฏอยู่ในเนื้อข่าวการให้สัมภาษณ์ของที่ปรึกษาฯ รายนี้ เช่นเดียวกับทางจีน ที่ไปหยิบเอาสำนวนของท่าน “ประธานเหมา” มาใช้อธิบายแนวโน้มของสงครามดังกล่าว ว่าพอๆ กับ “ลองมาร์ช” หรือการเดินทัพทางไกล อะไรประมาณนั้น...

เรียกว่า...มาถึงขั้นนี้ หรือขั้นที่ต่างฝ่ายต่าง “ออกอาวุธ” กันชนิดแทบเกลี้ยงไปหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นมือ เป็นตีน เป็นหมัด เท้า เข่า ศอก ต่างถูก “แมนนี่ ปาเกียว” และ “ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์” หยิบเอามาประเคนใส่คู่ต่อสู้ แบบคราวแล้ว คราวเล่า เหลือแต่ต้องเอาหัวชน หรือต้องกระโดดกัดหู แบบประเภท “ไมค์ ไทสัน” เท่านั้นเอง หรือพูดง่ายๆ ว่า...นับตั้งแต่ “ทรัมป์บ้า” ขึ้นมาเป็นผู้นำอเมริกาแล้วตัดสินใจเปิดสงครามการค้ากับจีน การ “ขึ้นภาษีนำเข้า” จากสินค้าจีนระลอกแล้ว ระลอกเล่า จนถึงคราวล่าสุดนั้น ส่งผลให้สินค้าจีนทุกชนิดทุกประเภทโดยถัวเฉลี่ย ที่เคยมีอัตราภาษีอยู่ที่ประมาณ 3.1 เปอร์เซ็นต์ในช่วงก่อนหน้านั้น เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยไปถึง 21.2 เปอร์เซ็นต์ จนแทบไม่เหลือสินค้าอะไรให้ขึ้นอีกต่อไปแล้ว แต่กระนั้น...ก็ยังมี “ข่าวล่า-มาเรือ” หรือ “ข่าวลือ” อ้างว่าทีมเศรษฐกิจของ “ทรัมป์บ้า” อาจไปหยิบเอา “หนี้สิน” ของประเทศจีน ที่เคยมีมาตั้งแต่ปีมะโว้ หรือตั้งแต่ยุค “เจียง ไคเช็ค” โน่นเลย ซึ่งเคยออกเป็น “พันธบัตรรัฐบาลสาธารณรัฐจีน” ไว้ตั้งแต่เมื่อเกือบร้อยปีที่แล้ว มาใช้เป็นเงื่อนไข ข้ออ้าง ในการเล่นงาน หรือการยึดทรัพย์สิน “รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน” ยุค “สี จิ้นผิง” แม้ว่าหนี้เหล่านี้ จะถูกประธานเหมาท่าน “ชักดาบ” ไปตั้งนานแล้ว...

จริง-ไม่จริง...ก็ไม่รู้!!! แต่นั่นย่อมทำให้ “บรรยากาศ” ของสงครามการค้าระหว่างจีนกับอเมริกา ไม่ได้ดูผ่อนคลายลงไปเลยแม้แต่น้อย เพราะถ้าอเมริกาคิดหันมาใช้ “หัวชน” จีนเองก็คงพร้อม “กระโดดกัดหู” หรือพร้อมงัดอาวุธ “นิวเคลียร์ทางเศรษฐกิจ” ที่ยังพอมีอยู่ในมือเอาไว้ตอบโต้ได้เช่นกัน โดยถึงแม้ใกล้เลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริการอบใหม่ก็เถอะ แต่การประกาศจุดยืนอย่างชัดถ้อย-ชัดคำ ของผู้ที่หวังกลับมาเป็นประธานาธิบดีรอบสอง อย่าง “ทรัมป์บ้า” ที่ “ทวีต” ไว้ว่า “เราไม่ต้องการจีน...และพูดอย่างจริงใจแล้ว ในระยะยาว...ทุกสิ่งทุกอย่างจะดีกว่า ถ้าหากไม่มีจีน” ก็น่าจะยิ่งสะท้อนให้เห็นว่า งานนี้...คงมีแต่ต้อง “เจ๊ง” กันไปข้าง หรือฉิบหายกันไปข้าง อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้เลย ส่วนใครจะเจ๊งก่อน หรือใครจะฉิบหายก่อนใคร อันนั้น...คงต้องไปหาทางสรุปเอาเองก็แล้วกัน...

แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...ต่างฝ่ายต่างน่าจะ “กรอบเป็นข้าวเกรียบ” ไปแล้วด้วยทั้งคู่ ขณะอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน ออกอาการหดแล้ว หดเล่า ถึงขั้นธนาคารกลางของจีน (PBOC) ต้องประกาศลดสัดส่วนการกันสำรองของสถาบันการเงินลงไปถึง 0.50 เปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายนเป็นต้นไป เพื่อหาทางล้วงเอาเงินนับแสนๆ ล้านดอลลาร์ (1.26 แสนล้านดอลลาร์ หรือ 9 แสนล้านหยวน) มาใช้ “กระตุ้นเศรษฐกิจ” ให้ถนัดๆ คุณพ่ออเมริกาเอง...ก็น่าจะหัวทิ่ม หัวตำ ไม่น้อยไปกว่ากัน ไม่เพียงบรรดาผู้บริโภค ผู้ประกอบการค้าปลีก เกษตรกร ฯลฯ ที่แม้จะเคยเป็น “ฐานเสียง” ของ “ทรัมป์บ้า” นับวันมีแต่จะร่ำไห้ ครวญครางตีอก ชกหัว ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ บรรดานักเศรษฐกิจ ธุรกิจจำนวนเกือบ 80 เปอร์เซ็นต์ ต่างเริ่มเห็น “เมฆหมอกแห่งภาวะเศรษฐกิจถดถอย” ปรากฏอยู่ ณ เส้นขอบฟ้าเศรษฐกิจอเมริกา อย่างชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...

หรือพูดง่ายๆ ว่า...งานนี้ไม่มี “ผู้ชนะ” ต่างฝ่ายต่างมีแต่ “แพ้” ไปด้วยกันทั้งคู่ และข้อสรุปที่ว่านี้ก็ได้รับการสำรวจ ค้นคว้า และยืนยันอย่างเป็นหลัก เป็นฐาน โดยสถาบันเศรษฐกิจที่มีชื่อเสียงระดับโลก คือสถาบันอย่าง “China Europe International Business School” หรือ “CEIBS” ที่ได้ร่วมกับ “Open University of Hongkong” จัดทำรายงานข้อวิเคราะห์และข้อสรุปแบบสดๆ ร้อนๆ เผยแพร่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี่เอง ที่ถ้าว่ากันแบบสั้นๆ ง่ายๆ ก็คงประมาณว่านอกจากต่างฝ่ายต่างมีสิทธิ์ “ฉิบหาย” ไปด้วยกันทั้งคู่ ยังอาจทำให้โลกทั้งโลกพลอยต้องฉิบหายตามไปด้วย อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้เลย...

หรืออย่างที่ศาสตราจารย์ “Bala Ramasamy” ผู้ช่วยสถาบัน “CEIBS” ท่านได้พยายามวาดภาพไว้ให้เห็นนั่นแหละว่า ด้วยเหตุเพราะ “ขนาด” ทางเศรษฐกิจ ของทั้งอเมริกาและจีน มันออกจะใหญ่โตมโหฬาร ชนิดไม่มีเศรษฐกิจของประเทศใดสามารถเข้าไปทดแทน หรือแทนที่ได้ เช่น ตลาดโทรศัพท์มือถือของสหรัฐฯ ที่เคยส่งเข้าไปขายในประเทศจีน แม้มีสัดส่วนเพียงแค่ 13 เปอร์เซ็นต์ของตลาดทั้งหมด แต่โดยมูลค่ามันสูงถึงกว่า 70,000 ล้านดอลลาร์เป็นอย่างน้อย ดังนั้น...แม้บริษัทโทรศัพท์มือถือของอเมริกาคิดจะหาตลาดใหม่ แต่ก็มิอาจชดเชยสิ่งที่สูญเสียไปจากตลาดเดิม หรือตลาดจีนได้เลยแม้แต่น้อย เช่นเดียวกับบริษัทโทรศัพท์มือถือของจีน หรือบริษัทผลิตสินค้าใดๆ ก็แล้วแต่ ไม่ว่าพยายามขวนขวายหาตลาดใหม่ๆ ในยุโรป เอเชีย แอฟริกา ละตินอเมริกา ฯลฯ แต่ก็คงไม่มีตลาดใดๆ ที่มีขีดความสามารถในการบริโภคได้เท่ากับตลาดอเมริกา ดังนั้น...เมื่อช้างยังอยากจะชนกับช้าง หรือยังทำยุทธหัตถีกันไม่เสร็จ บรรดา “หญ้าแพรก” ทั้งหลาย ไม่ว่าในอเมริกา ในจีน หรือตลอดโลกทั้งโลก ย่อมต้องแหลกราญไปเป็นแถบๆ โดยเฉพาะเมื่อสินค้าแต่ละชนิดของยุคโลกาภิวัตน์นั้น มันต่างเกาะเกี่ยวกันเป็น “ห่วงโซ่” ชนิดสามารถส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ ไปได้ในทั่วทุกซีกโลก หรือทั่วทุกขอบเขต...

แต่ก็นั่นแหละ...ด้วยเหตุเพราะสิ่งที่เรียกว่า “สงครามการค้า” ระหว่างจีนกับอเมริกา มันคงไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องการค้า-การขายล้วนๆ แต่ยังเกี่ยวพันถึง “ยุทธศาสตร์ระดับชาติ” ของทั้งคู่ อย่างที่ “นายแลร์รี่ คัดโลว์” แกสรุปไว้ว่า “เรื่องนี้มีเดิมพันสูงมากดังนั้น...แม้ต้องใช้เวลาอีก 10 ปีก็ตาม เราต้องทำทุกอย่างให้ถูกต้องให้จงได้” หรือเพื่อไม่ให้จีนผงาดขึ้นมาเป็นผู้นำในแต่ละด้านเทียบเท่า หรือเบียดแซงหน้าอเมริกา ความจำเป็นที่ต้อง “เตะตัดขา” หรือต้องถ่วงการพัฒนาในแต่ละด้านของจีนให้ช้าที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้ตัวเองมี “เวลา” หรือมีโอกาส “แข่งขัน” กับจีน ที่เพียงแค่เฉพาะตลาดสินค้าเทคโนโลยีในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ก็มีมูลค่านับล้านล้านดอลลาร์เข้าไปแล้ว อันนี้นี่แหละ...ที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างมันเลย “จบไม่ลง” จนกว่าต่างฝ่ายต่าง “ฉิบหาย” กันไปข้าง หรือจนกว่าโลกทั้งโลกต้องพลอยฉิบหายไปด้วยอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้น...สำหรับ “หญ้าแพรก” อย่างประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา คงต้องหาทางปรับตัว ปรับสภาพ หรืออาจต้องหันมาเร่งปลูก “หญ้าแฝก” ก่อนดินถล่ม แผ่นดินทลาย เอาไว้ก่อนล่วงหน้านั่นแหละดี...


กำลังโหลดความคิดเห็น