ณ บ้านพระอาทิตย์
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
กระแสกัญชาและลามมาถึงกัญชงได้ทำให้ประชาชนได้มีโอกาสเรียนรู้และเตรียมตัวสำหรับพืชสมุนไพร 2 ชนิดที่ กำลังจะจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในวงการสุขภาพและเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากสามารถกำหนดยุทธศาสตร์ในเรื่องกัญชงได้อย่างถูกต้องและสอดคล้องกับประโยชน์ต่อประเทศชาติแล้ว ซึ่งเชื่อได้ว่าจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนคนไทยทุกคน
กัญชง หรือ เฮมพ์ (Hemp) ก็คือพืชตระกูลกัญชา แต่ต่างจากกัญชาตรงที่มีสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล หรือ สาร THC อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งสาร THC นี้เป็นสารที่ออกฤทธิ์ทางจิตประสาท ทำให้เมา ทำให้หลับ ดังนั้นกัญชงจึงถูกข้อโต้แย้งในเรื่องอันตรายน้อยกว่ากัญชาอย่างมาก
คำว่าแคนนาบิส (Cannabis) ความจริงแล้วหมายถึงพืชตระกูลกัญชาและกัญชง เมื่อแยกเป็น กัญชา ก็จะเรียกว่ามารีฮวนน่า (Marijuannas) ซึ่งเป็นพืชที่มีสาร THC อยู่ในระดับสูง ซึ่งสาร THC นี้ไม่ได้มีแต่โทษหรือผลข้างเคียงที่ออกฤทธิ์ทางจิตประสาทและทำให้เมาแต่เพียงอย่างเดียว แต่ก็มีประโยชน์ด้วยหากใช้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำมาใช้เพื่อลดอาการปวดเรื้อรัง (Chronic Pain) ลดอาการไฟโบรมัยอัลเจีย (Fibromyalgia) ช่วยลดแรงดันตา ช่วยลดอาการข้างเคียงจากการรักษาโรคมะเร็ง และช่วยทำให้นอนหลับ
การชั่งน้ำหนักระหว่างโทษและประโยชน์ดังกล่าวข้างต้นทำให้ “กัญชา” นั้นยังคงถูกกำหนดให้เป็นยาเสพติดให้โทษอันเป็นข้อผูกพันระหว่างประเทศซึ่งเป็นประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิกตามอนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ. 1961 และพิธีแก้ไขอนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ. 1961 ค.ศ. 1972 ตลอดจนอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการลักลอบค้ายาเสพติดและวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ค.ศ. 1988 เพียงแต่ให้มีข้อยกเว้นได้หากนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และต้องรายงานการปลูก การผลิต การจำหน่าย และคงคลังอย่างเป็นระบบ
แต่กัญชง หรือ เฮมพ์ (Hemp) นั้น สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายมิติ โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ
1. กัญชงสำหรับอุตสาหกรรม (Industrial Hemp) คือพันธุ์กัญชงที่ให้เส้นใยไฟเบอร์สูง ปริมาณน้ำมันที่จะผลิต THC ต่ำ โดยเน้นในส่วนของลำต้นกัญชงเป็นหลัก โดยประเทศไทยได้มีการปลูกกัญชงและตัดกัญชงก่อนที่จะออกดอกเพื่อให้ได้ใยกัญชงมาผลิตในอุตสาหกรรม ปัจจุบันใยกัญชงซึ่งมีคุณสมบัติที่เหนียวทนทานได้ถูกนำมาใช้เป็นผลิตภัณฑ์หลายชนิด เช่น ส่วนประกอบของแผงประตูรถยนต์ อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ เสื้อผ้า กระเป๋า เยื่อกระดาษ ไม้แปรรูป วัสดุก่อสร้าง อาหารสัตว์ ฯลฯ
2. กัญชงเพื่อใช้เป็นยา (Medicinal Hemp) คือพันธุ์กัญชงที่มีวัตถุประสงค์ในการเลื้ยงเพื่อให้ได้ดอกกัญชง โดยดอกกัญชงจะผลิตเป็นน้ำมันได้มากที่สุด แต่น้ำมันนั้นจะให้สาร THC ต่ำ แต่มีความคาดหวังที่จะให้สารแคนนาบิไดออล หรือ CBD ซึ่งเป็นสารในกลุ่มแคนนาบินอยด์ที่ช่วยลดการอักเสบ ลดความเครียด และช่วยอาการเกร็งผิดปกติ รวมถึงการนำมาใช้ช่วยบำบัดอาการทางสมองเช่น โรคลมชัก และโรคพาร์กินสัน ฯลฯ ปัจจุบันมูลค่าของ CBD มีราคาสูงมาก ไม่เพียงนำมาใช้เป็นยารักษาโรคเท่านั้น แต่ยังนำมาใส่ในผลิตภัณฑ์น้ำมัน CBD, ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร, อาหาร, ขนม, เครื่องดื่ม, เครื่องสำอาง ฯลฯ
นอกจากนั้นแล้วยังมีส่วนที่เป็น “เมล็ดกัญชง” ที่เมื่อถูกเครื่องบีบอัดออกมาแล้วก็จะได้ “น้ำมันกัญชง” จากเมล็ดซึ่งไม่มีทั้ง THC และ CBD แต่จะมีไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งทำให้เลือดเหลวตัว ลดการก่อตัวเป็นลิ่มเลือด ช่วยลดการอักเสบของหลอดเลือด ซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีคุณค่าได้เช่นเดียวกัน
แต่การกำหนดคำนิยามของคำว่า “กัญชง” ของแต่ละประเทศ เพื่อให้แยกออกจากคำนิยามจากกัญชานั้นมีความแตกต่างกัน โดยใช้ปริมาณของสาร THC ร้อยละของน้ำหนักดอกเป็นเกณฑ์ตัดสิน โดยในประเทศแคนนาดา และสหรัฐอเมริกาได้กำหนดสาร THC ต่ำกว่า 0.3% คือกัญชง ในขณะที่สหภาพยุโรปกำหนดสาร THC ต่ำกว่า 0.2% คือกัญชง
ในขณะที่ประเทศไทยนั้นได้เคยกำหนดเอาไว้ในกฎกระทรวงซึ่งประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเมื่อต้น ปี 2560 ตามลักษณะพันธุ์กัญชงพื้นเมืองของประเทศไทยไว้ที่ 1% ของน้ำหนักดอกกัญชง เช่นเดียวกับอีกหลายประเทศ เช่น สวิสเซอร์แลนด์ ออสเตรเลีย ฯลฯ
แต่ประเด็นที่สังคมโลกกำลังจับตามองก็คือ “องค์การอนามัยโลก” ได้พยายามจะเสนอให้องค์การสหประชาชาติถอดสารสกัด CBD ออกจากยาเสพติดอย่างสิ้นเชิงนั้น ถูกระบุว่าสารสกัด CBD หรือน้ำมัน CBD นั้น จะต้องมีสาร THC ไม่เกิน 0.2% ซึ่งองค์การสหประชาชาติได้ตัดสินใจเลื่อนการประชุมในวาระดังกล่าวไปเป็นต้นปี 2563
ซึ่งมีแนวโน้มว่ามติขององค์การสหประชาชาติจะเห็นชอบตามมติองค์การอนามัยโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่า สารสกัด CBD ที่มี THC ไม่เกิน 0.2% นั้น จะไม่อยู่ในบัญชียาเสพติดให้โทษใดๆในโลกใบนี้อีกต่อไป
แต่สารสกัด CBD ที่ควบคุม THC ไม่เกิน 0.2% นั้น เป็นคนละเรื่องกับในเรื่องที่ว่าองค์การอนามัยโลกหรือองค์การสหประชาชาติ จะบังคับให้มีการปลูกกัญชงที่ต้องห้ามมี THC เกินเท่าไหร่ เพราะแต่ละประเทศมีภูมิอากาศและสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อสารสำคัญในพืชกัญชงไม่เหมือนกัน
แต่ในยุคปัจจุบัน พันธุ์พืช วิธีการปลูก และวิธีการสกัด จะเป็นปัจจัยที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์ปลายสุดเป็นสาร CBD ที่มีสาร THC ไม่เกิน 0.2% ได้อย่างแน่นอน ซึ่งก็ไม่ต้องถูกควบคุมในฐานะยาเสพติดในเวทีนานาชาติเช่นกัน
การกำหนดพืชกัญชงไทยเอาไว้ว่าจะต้องมีสาร THC ไม่เกิน 1% นั้นก็เป็นการถูกต้องแล้วเพราะเท่ากับประเทศไทยรักษาและขึ้นทะเบียนพันธุ์กัญชงพื้นเมืองที่เคยมีอยู่ได้ โดยไม่ต้องซื้อสิทธิบัตรพันธุ์พืชจากชาติอื่น แต่ในขณะเดียวกันการกำหนดสาร CBD ที่จะไม่ถูกนับเป็นยาเสพติดให้โทษที่เตรียมตัวเอาไว้ตั้งแต่วันนี้สำหรับการส่งออกที่ 0.2% ก็เป็นเรื่องสมควรแก่เหตุ เพราะจะได้มีการวางแผนในเรื่องเมล็ดพันธุ์และการสกัดความบริสุทธิ์ของสาร CBD ให้ได้มากที่สุดตั้งแต่วันนี้
นั่นเท่ากับว่าบทบาทของโรงงานสกัดสาร CBD ให้เกือบบริสุทธิ์ที่สุดออกจากกัญชงจะมีบทบาทมากขึ้น ซึ่งหมายถึงว่ากระบวนการสกัดที่จะต้องลงทุนมากเกินกว่าที่เกษตรกรจะทำได้
แต่เนื่องจากพันธุ์กัญชงไทยส่วนใหญ่นั้นเป็นพันธุ์ไฟเบอร์ โดยมีหลายสายพันธุ์ที่มี THC ไม่เกิน 1% หรือแม้จะมีการพัฒนาสายพันธุ์ไทยให้มี THC ต่ำกว่า 0.3% ไปแล้ว แต่ก็มีปริมาณ CBD น้อยมากๆ ซึ่งอาจไม่คุ้มค่าต่อความคาดหวังสาร CBD จากกัญชง
หรือหากมัวแต่คิดที่จะซื้อสายพันธุ์ต่างชาติก็ไม่ได้ เพราะนอกจากจะมีต้นทุนต่อเมล็ดสูงแล้ว ก็ยังไม่แน่ว่าเมื่อมาปลูกในสภาพภูมิอากาศแบบไทยแล้ว จะให้ผลเหมือนหรือต่างจากเดิมอย่างไร ยกเว้นว่าเมล็ดพันธุ์นั้นถูกออกแบบที่เหมาะสมในสภาพแวดล้อมแบบโรงเรือนปิดด้วยแสงที่มาจากหลอดไฟ ซึ่งก็ต้องมีการลงทุนอย่างมหาศาลเกินกว่าที่เกษตรกรทั่วไปจะลงทุนอยู่ดี
ดังนั้นประเทศไทยจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีการพัฒนาสายพันธุ์ “กัญชง”ของตัวเองขึ้นมาให้มี CBD สูงๆ คุ้มค่าแก่การผลิต แต่ก็มีสาร THC ต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และก็ต้องสามารถปลูกได้โดยปลูกแบบกึ่งเปิดหรือกรีนเฮาส์ซึ่งต้นทุนไม่แพง เพื่อที่จะไม่ต้องลงทุนกับการสกัดมากเกินไป ถ้าทำได้ตามนี้ประเทศไทยก็จะสามารถพัฒนาและแข่งขันกับประเทศอื่นที่มี CBD อยู่แล้ว
ดังนั้นการรักษาสายพันธุ์ไทยดั้งเดิมจึงมีความสำคัญ เพื่อที่จะนำเมล็ดพันธุ์กัญชงจากต่างชาติที่มีคุณสมบัติ CBD สูงมาพัฒนาต่อยอดผสมให้เข้ากับสายพันธุ์ไทย ให้เจริญเติบโตในภูมิอากาศแบบไทย โดยไม่ต้องติดเรื่องสิทธิบัตรพันธุ์พืชของต่างชาติทั้งหมด ประเด็นนี้จึงควรเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่รัฐบาลต้องมีการทุ่มสรรพกำลังเพื่อภารกิจในการเปลี่ยนแปลงกับพืชเศรษฐกิจตัวนี้
และถ้ารัฐบาลอยากก้าวกระโดดให้เร็วที่สุดก็คือ การเปิดนิรโทษกรรมให้กับผู้ที่แอบปลูกกัญชงที่ผสมพันธุ์จนได้ CBD สูงอยู่ใต้ดินในระบบกรีนเฮาส์ ให้มาร่วมงานวิจัยกับรัฐโดยแลกกับการให้ปลูกได้ถูกต้องตามกฎหมาย คนเหล่านี้แหละที่รู้จริง ลองมามาก และจะมาช่วยทำให้เกิดเส้นทางลัดในการแสวงหาพันธุ์กัญชงที่มี CBD สูงของประเทศไทยได้เป็นผลสำเร็จ
ในเวลาไม่กี่ปีมานี้การปลูกพืชตระกูลกัญชาและกัญชงในหลายประเทศมีราคาขายลดลงอย่างต่อเนื่องเพราะจำนวนพื้นที่ซึ่งมีการปลูกกัญชงมีจำนวนมากขึ้น แต่การสกัดสารสำคัญจากโรงงานสกัดกลับมีราคาลดลงไม่มากเท่ากับการเพาะปลูก สะท้อนให้เห็นว่าบทบาทของโรงงานสกัดสาร CBD ยังมีความสำคัญต่อธุรกิจกัญชงอยู่มาก โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์สุดท้ายที่เป็นอาหารและเครื่องดื่มการมีสาร CBD นั้นก็ยิ่งเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์เหล่านั้นเพิ่มมากขึ้นอย่างก้าวกระโดด
คำถามในทิศทางยุทธศาสตร์ของประเทศไทยควรจะเป็นไปอย่างไรในวันที่ทั่วโลกยอมรับมากขึ้นว่าสาร CBD เปรียบเสมือนสินค้าสุขภาพในระดับ ผลิตภัณฑ์ เวลล์เนส
คำถามแรกที่ต้องชั่งน้ำหนักว่าในปีหน้าเป็นต้นไปที่คาดว่าองค์การสหประชาชาติจะปลดล็อก CBD ที่มี THC ไม่เกิน 0.2% นั้น ประเทศไทยมีความสามารถที่จะพัฒนาสายพันธุ์กัญชงที่มี CBD สูงๆ ได้ทันเวลาหรือไม่?
ลำพังระบบการวิจัยและพัฒนาของข้าราชการเร็วเพียงพอหรือไม่ และถ้าไม่พอแล้ว รัฐบาลมีวิธีการจัดการอย่างไรในการพัฒนาสายพันธุ์เมล็ดกัญชงให้สำเร็จภายในต้นปีหน้า
แต่ถ้าคิดว่าอย่างไรก็ไม่ทันเวลาอย่างแน่นอน (ด้วยระบบราชการ) รัฐบาลควรมียุทธศาสตร์อะไร สำหรับประเด็นนี้มีหลายคำถามที่ควรหาคำตอบ อันได้แก่ ควรจะปล่อยให้มีการนำเข้า CBD บริสุทธิ์จากต่างประเทศเพื่อผสมในอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องสำอางในประเทศเพื่อเร่งส่งออกไปยังต่างประเทศสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างมหาศาลหรือไม่ และอาจมีคำถามมากไปกว่านี้ด้วยว่า “บุหรี่ไฟฟ้าสำหรับ CBD บริสุทธิ์” รัฐควรอนุญาตหรือไม่ เพื่อให้โรงงานยาสูบมีผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ไม่ใช่บุหรี่แบบเดิมที่ทำลายสุขภาพยิ่งกว่า และยังสามารถจัดเก็บภาษีทั้งในประเทศรวมถึงส่งออกไปยังต่างประเทศ ฯลฯ
ประเด็นข้างต้นนี้ คือตัวอย่างคำถามที่ท้าทายที่รัฐบาลจำเป็นต้องมียุทธศาสตร์โดยต้องคิดให้ตกผลึกว่าอะไรจะทำหรือจะไม่ทำอะไรให้เกิดความชัดเจนในเรื่องกัญชง
แต่อย่างน้อยที่สุดการตัดสินใจของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้รับฟังเสียงความห่วงใยของภาคประชาสังคม ด้วยการประกาศว่าจะแก้ไขประกาศกระทรวงและมอบหมายให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุขไปเจรจากับคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษเพื่อแก้ไขประกาศของคณะกรรมการให้กัญชงคือพืชที่มี THC ไม่เกิน 1% กลับคืนมาดังเดิมตามประกาศกฎกระทรวงสาธารณสุขเมื่อปี 2560 ก็เป็นการส่งสัญญาณที่เป็นบวกอีกครั้งหนึ่งที่จะกำหนดทิศทางในเรื่องกัญชงให้เป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศไทยร่วมกับภาคประชาสังคมได้
อย่างไรก็ตามสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต ได้ตัดสินใจเพิ่มวิชาหลักสูตรพื้นฐานกัญชาเวชศาสตร์สำหรับประชาชน และกัญชาในตำรับยาไทย ในหลักสูตรวิถีชีวาเวชศาสตร์ รุ่นที่ 4 รวมถึงการเพิ่มวิชาเมนูอาหารเพื่อแก้อาการข้างเคียงจากการใช้กัญชา ในหลักสูตรการประกอบอาหารเพื่อสุขภาพแลชะลอวัย รุ่นที่ 3 ในการนี้ได้รวบรวมองค์ความรู้ครอบคลุมไปถึงกัญชงด้วย
สำหรับวิชาที่จะสอนในหลักสูตร “วิถีชีวาเวชศาสตร์ รุ่นที่ 4” นอกจากวิชาหลักสูตรพื้นฐานกัญชาเวชศาสตร์สำหรับประชาชน และวิชากัญชาในตำรับยาไทยแล้ว ยังครอบคลุมอีกหลายวิชาที่จะสามารถบูรณาการองค์ความรู้หลากศาสตร์ผสานกับองค์ความรู้ด้านกัญชาหรือกัญชง อันได้แก่ วิชาโภชนาการบำบัดจากงานวิจัย สมุนไพรประจำบ้านเบื้องต้น การทำผลิตภัณฑ์สมุนไพร การกดจุดแก้อาการเบื้องต้น การนวดปรับสมดุลในครอบครัว พื้นฐานการจับชีพจรและพื้นฐานการฝังเข็มของการแพทย์แผนจีน การประยุกต์การแพทย์แผนไทยในชีวิตประจำวัน การบริหารระบบภูมิคุ้มกัน การบูรณาการอดอาหารและการล้างพิษ การสืบค้นและอ่านข้อมูลงานวิจัยด้านสุขภาพ การออกกำลังกายเพื่อลดการปวดกล้ามเนื้อและเส้นประสาท ธรรมานามัย การแพทย์ทางเลือก ฯลฯ
สำหรับหลักสูตร “วิถีชีวาเวชศาสตร์ รุ่นที่ 4” จะเริ่มเรียนในวันเสาร์ที่ 28 กันยายน 2562 และจะเรียนทุกวันเสาร์และอาทิตย์ใน 2 สัปดาห์แรก หลังจากนั้นจะเริ่มเรียนเฉพาะทุกวันอาทิตย์ ตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม 2562 ถึงวันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม 2562
ส่วนอีกหลักสูตรหนึ่งที่สำคัญอย่างยิ่งก็คือ หลักสูตร “การประกอบอาหารเพื่อสุขภาพและชะลอวัยระดับยีน รุ่นที่ 3” (Culinary Course for Healthy and Anti Aging Genomic Diet) เพื่อเรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีในการสืบค้นข้อมูลทางโภชนาการและงานวิจัยของวัตถุดิบทุกชิ้น เพื่อเป้าหมายในการคิดเมนูอาหารเพื่อสุขภาพและชะลอวัยในระดับยีนจากงานวิจัย ควบคู่กับการบูรณาการและการประยุกต์ใช้ 9 รสยาไทยเพื่อช่วยป้องกันและบำบัดโรคเรื้อรังหลายชนิด เช่น โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคไขมันแทรกตับ โรคความดันโลหิต ท้องผูก โรคนอนไม่หลับ โรคมะเร็ง ฯลฯ รวมถึงการสอนการอ่านผลแลปพื้นฐานของผู้ป่วย และความสัมพันธ์กับโภชนาการและสมุนไพรเพื่อปรับผลการตรวจนั้น
สำหรับการลงมือปฏิบัติการประกอบอาหารเพื่อสุขภาพและชะลอวัยระดับยีนนั้นจะต้องทำอาหารสุขภาพที่ต้องอาศัยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์จากงานวิจัย มาบูรณาการร่วมกับการใช้ศิลปะเพื่อการปรุงอาหารให้มีรสชาติอร่อย ด้วยการจัดองค์ประกอบการนำเสนอการจัดจานสวยงาม ภายใต้ข้อจำกัดที่ต้องใช้วัตถุดิบเพื่อสุขภาพเท่านั้น เช่น กลุ่มอาหารมังสวิรัติแบบบริสุทธิ์(ไร้เนื้อ นม และไข่) กลุ่มไขมันชนิดดีสูง กลุ่มไฟเบอร์สูง กลุ่มไร้น้ำตาลและแป้งดัชนีน้ำตาลต่ำที่สุด กลุ่มสารต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุดระดับโลก กลุ่มอาหารพรีไบโอติกเพื่อเพิ่มจำนวนแบคทีเรียชนิดดีในลำไส้เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ฯลฯ ซึ่งภายใต้เงื่อนไขและข้อจำกัดข้างต้นก็นับว่าเป็นเรื่องยากยิ่งที่จะสร้างสรรค์ให้เป็นเมนูอาหารที่อร่อยและสวยงามได้หากไม่ได้เรียนหลักสูตรดังกล่าวนี้
สำหรับหลักสูตร“การประกอบอาหารเพื่อสุขภาพและชะลอวัยระดับยีน รุ่นที่ 3” จะเริ่มเรียนปรับฐานภาคทฤษฎี 2 วัน คือ วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม 2562 และวันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม 2562 ร่วมกับหลักสูตรวิถีชีวาเวชศาสตร์ 2 วิชา หลังจากนั้นจะเรียนทุกวันเสาร์ในภาคทฤษฎีและลงมือปฏิบัติประกอบอาหารจริงทุกวันเสาร์ โดยเริ่มจากวันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม 2562 เป็นต้นไป โดยจะเรียน 2 เสาร์ และสอบ 1 เสาร์ ไปจนถึงวันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม 2562
หลักสูตร“วิถีชีวาเวชศาสตร์ รุ่นที่ 4” จึงมีลักษณะรู้รอบในหลายศาสตร์ให้กว้างขึ้น เพื่อที่จะสามารถนำมาประยุกต์นำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้มากขึ้น แต่หากถึงเวลาต้องไปหาแพทย์ก็จะมีทางเลือกของแพทย์และวิธีการรักษาได้มากขึ้นกับการรักษาแผนหลักของแพทย์แผนปัจจุบันแต่เพียงอย่างเดียว แต่หลักสูตร“การประกอบอาหารเพื่อสุขภาพและชะลอวัยระดับยีน รุ่นที่ 3 มีลักษณะที่ลงลึกในรายละเอียดในเรื่องอาหารภาคปฏิบัติการมากกว่า ซึ่งไม่สามารถจะหาเรียนหลักสูตรการบูรณาการองค์ความรู้ในระยะเวลาอันสั้นได้เช่นนี้
และเนื่องจากการจัดทั้ง 2 หลักสูตรข้างต้น ได้จัดเวลาสำหรับคนที่สนใจเรียนควบทั้ง 2 หลักสูตรพร้อมกัน โดยหลักสูตร “วิถีชีวาเวชศาสตร์ รุ่นที่ 4” จะรับสมัคร 50 คน ส่วนหลักสูตร“การประกอบอาหารเพื่อสุขภาพและชะลอวัยระดับยีน รุ่นที่ 3”จะรับสมัครจำกัดเพียง 20 คนเท่านั้น ทั้ง 2 หลักสูตร ไม่จำกัดอายุและวุฒิการศึกษา เมื่อจบหลักสูตรตามเงื่อนไขที่กำหนดแล้ว จะได้รับประกาศนียบัตรจากสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต
ทั้ง 2 หลักสูตรนี้ ไม่เพียงจะเป็นประโยชน์เฉพาะประชาชนทั่วไปที่จะเรียนรู้ในการดูแลสุขภาพของตัวเองและคนในครอบครัวเท่านั้น แต่ยังเหมาะสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพในสายวิทยาศาตร์สุขภาพที่จะสามารถประยุกต์การบูรณาการองค์ความรู้ทางด้านสุขภาพจากหลายศาสตร์ อีกทั้งยังเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการต่อยอดในการเป็นที่ปรึกษาด้านสุขภาพองค์รวม เป็นผู้บริหาร หรือเป็นผู้ประกอบการธุรกิจสุขภาพหรือเวลเนสต่อไปด้วย
ทั้ง 2 หลักสูตรเปิดรับสมัครแล้ว ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันศุกร์ที่ 27 กันยายน 2562 แต่หากมีผู้สมัครเรียนเต็มก่อนสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิตจะขอสงวนสิทธิ์ที่จะปิดรับสมัครก่อนวันที่ 27 กันยายน 2562 จึงควรรีบสมัครด่วนก่อนเต็ม สนใจติดต่อได้ที่สถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต หมายเลขโทรศัพท์ 061-950-6666
ด้วยความปรารถนาดี
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต