ผู้จัดการรายวัน360- “กรมราง”เสนอรูปแบบลดค่าตั๋วรถไฟฟ้า ช่วงนอกเวลาเร่งด่วน ทดลอง 3 เดือนคาดเริ่ม 1 ต.ค. – 31 ธ.ค. นี้ นัด 6 ก.ย. คุยคลัง,กทม. ,สรรพกร, และสำนักงบดึงรายได้ภาษีรถประจำปีชดเชยส่วนต่าง เผยไอเดีย ใบเสร็จรถสาธารณะ”รถไฟฟ้า-รถเมล์” ทั้งปี 1.5 หมื่นบาท ลดหย่อนภาษีได้
นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) กล่าวว่า มาตรการลดค่าครองชีพ การลดค่าโดยสารรถไฟฟ้าเป็นนโยบายเร่งด่วนของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดยจะต้องไม่กระทบต่อสัญญาสัมปทาน และงบประมาณประเทศ ขณะนี้มีแนวทางเบื้องต้นและจะนำหารือในที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณาโครงสร้างอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้า ซึ่งมีผู้แทนจากหน่วยงานทางรางที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ กรมสรรพกร กรุงเทพมหานคร เพื่อหาข้อสรุปและนำเสนอรมว.คมนาคม พิจารณาต่อไป
ทั้งนี้ รมว.คมนาคมได้ให้แนวทางเพิ่มเติมในส่วนของโครงการที่มีสัญญาผูกพันกับเอกชน ว่า ให้นำรายได้ในอนาคตมาพิจารณาเพื่อไม่ให้กระทบต่อสัญญาและการใช้งบประมาณอุดหนุนรายได้ เนื่องจากการลดค่าโดยสารจะกระตุ้นให้เกิดการเดินทางเข้าสู่ระบบรถไฟฟ้าเพิ่มทำให้จำนวนผู้โดยสารเติบโตมากขึ้น
โดยรูปแบบของการลดค่าโดยสารรถไฟฟ้า จะเป็นการให้ส่วนลดช่วง นอกเวลาเร่งด่วน (Off-peak)และลดค่าโดยสารสำหรับตั๋วเดือน/ตั๋วเที่ยว โดยรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วง คลองบางไผ่-เตาปูน จากราคา 14-42 บาท จะเหลือ 14-20 หรือไม่เกิน 25 บาท ส่วน รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรลลิงก์ จากปกติ 15-45 บาท เหลือ 15 บาท- สูงสุด ไม่เกิน 25 บาท ตามระยะทาง
ในส่วนของโครงการที่รัฐเป็นผู้ดำเนินการเอง ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วง คลองบางไผ่-เตาปูน และรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ ทางการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) รับไปพิจารณาและเพื่อนำเสนอบอร์ดต่อไป
ส่วนบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEMและบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSเบื้องต้นรับหลักการไปพิจารณาแล้ว
นอกจากนี้ยังมีแนวคิดในการนำค่าใช้จ่าย จากการใช้บริการรถไฟฟ้าและขนส่งมวลชนระบบอื่น จำนวน 15,000 บาทต่อปี มาเป็นส่วนลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคล ในรูปแบบเดียวกันมาตรการช้อปช่วยชาติ
อย่างไรก็ตาม หากที่ประชุมวันที่ 6 ก.ย. ได้ข้อตกลงร่วมกัน คาดว่าจะเสนอเพื่อขอเริ่มทดลองการลดค่าโดยสารรถไฟฟ้า ระยะ 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. -31 ธ.ค. 2562 และหากได้ผล ทำให้มีผู้โดยสารรถไฟฟ้าเพิ่มและลดปัญหาการจราจรบนถนนลง จะพิจารณาขยายเวลาให้ส่วนลดต่อไป
สำหรับรายได้ที่คาดว่าจะหายไปจากการลดราคา เช่น รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ ปัจจุบันมีรายได้จากค่าโดยสารประมาณ 700 ล้านบาท/ปี หากปรับลดในช่วงนอกเวลาเร่งด่วนคาดว่ารายได้จะหายไปไม่ถึง 200 ล้านบาท ส่วนสายสีม่วง ก็อยู่ในระดับเท่ากันๆ
อย่างไรก็ตาม มีแนวคิดในการขอนำรายได้จากภาษีป้ายวงกลม รถยนต์ประจำปี ที่กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) จัดเก็บและส่งให้กรุงเทพมหานคร(กทม.) ซึ่งปีล่าสุดเก็บได้ได้กว่า 1.4 หมื่นล้านบาท มาใช้ชดเชยไม่เกิน 2,000 ล้านบาท
นายสุเทพ พันธุ์เพ็ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท.จำกัด หรือผู้ให้บริการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรลลิงก์กล่าวว่า ช่วงOff-peakของแอร์พอร์ตลิงก์ แบ่งเป็น 3 ช่วง คือ ช่วงเวลา 05.30-07.00น. ช่วงเวลา 10.00-17 .00 น และช่วงเวลา 20.00 - 24.00 น. (ปิดให้บริการ) ไม่รวม วันเสาร์และอาทิตย์ โดยเก็บอัตราค่าโดยสารจากปกติ 15-45 บาท เหลือ 15 บาท- สูงสุด ไม่เกิน 25 บาท ตามระยะทาง หรือลดลงประมาณ 40%
การลดค่าโดยสาร เพื่อกระตุ้นการเดินทางนอกเวลาเร่งด่วน โดยเฉพาะช่วง 05.00-06.00 น. เพื่อกระจายผู้โดยสาร โดยปัจจุบันผู้โดยสารมีการเติบโตสูงกว่าปีก่อนกว่า 10% มีผู้โดยสารเฉลี่ย 7.5 หมื่นคน/วัน (วันจันทร์-พฤหัสบดี มีประมาณ 8 หมื่นคน วันศุกร์ มีประมาณ 9 หมื่นคน) เทียบกับปีก่อนมีผู้โดยสารเฉลี่ยประมาณ 6.8-6.9 หมื่นคน/วัน ซึ่งเป็นผลมาจากขบวนที่วิ่งให้บริการได้เต็มที่สามารถปรับความถี่ได้ ขณะที่การจัดหารถเพิ่มนั้นเป็นหน้าที่ของผู้ให้บริการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ซึ่งคาดว่าจะมีการลงนามในสัญญาได้ในเร็วๆนี้
นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) กล่าวว่า มาตรการลดค่าครองชีพ การลดค่าโดยสารรถไฟฟ้าเป็นนโยบายเร่งด่วนของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดยจะต้องไม่กระทบต่อสัญญาสัมปทาน และงบประมาณประเทศ ขณะนี้มีแนวทางเบื้องต้นและจะนำหารือในที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณาโครงสร้างอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้า ซึ่งมีผู้แทนจากหน่วยงานทางรางที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ กรมสรรพกร กรุงเทพมหานคร เพื่อหาข้อสรุปและนำเสนอรมว.คมนาคม พิจารณาต่อไป
ทั้งนี้ รมว.คมนาคมได้ให้แนวทางเพิ่มเติมในส่วนของโครงการที่มีสัญญาผูกพันกับเอกชน ว่า ให้นำรายได้ในอนาคตมาพิจารณาเพื่อไม่ให้กระทบต่อสัญญาและการใช้งบประมาณอุดหนุนรายได้ เนื่องจากการลดค่าโดยสารจะกระตุ้นให้เกิดการเดินทางเข้าสู่ระบบรถไฟฟ้าเพิ่มทำให้จำนวนผู้โดยสารเติบโตมากขึ้น
โดยรูปแบบของการลดค่าโดยสารรถไฟฟ้า จะเป็นการให้ส่วนลดช่วง นอกเวลาเร่งด่วน (Off-peak)และลดค่าโดยสารสำหรับตั๋วเดือน/ตั๋วเที่ยว โดยรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วง คลองบางไผ่-เตาปูน จากราคา 14-42 บาท จะเหลือ 14-20 หรือไม่เกิน 25 บาท ส่วน รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรลลิงก์ จากปกติ 15-45 บาท เหลือ 15 บาท- สูงสุด ไม่เกิน 25 บาท ตามระยะทาง
ในส่วนของโครงการที่รัฐเป็นผู้ดำเนินการเอง ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วง คลองบางไผ่-เตาปูน และรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ ทางการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) รับไปพิจารณาและเพื่อนำเสนอบอร์ดต่อไป
ส่วนบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEMและบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSเบื้องต้นรับหลักการไปพิจารณาแล้ว
นอกจากนี้ยังมีแนวคิดในการนำค่าใช้จ่าย จากการใช้บริการรถไฟฟ้าและขนส่งมวลชนระบบอื่น จำนวน 15,000 บาทต่อปี มาเป็นส่วนลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคล ในรูปแบบเดียวกันมาตรการช้อปช่วยชาติ
อย่างไรก็ตาม หากที่ประชุมวันที่ 6 ก.ย. ได้ข้อตกลงร่วมกัน คาดว่าจะเสนอเพื่อขอเริ่มทดลองการลดค่าโดยสารรถไฟฟ้า ระยะ 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. -31 ธ.ค. 2562 และหากได้ผล ทำให้มีผู้โดยสารรถไฟฟ้าเพิ่มและลดปัญหาการจราจรบนถนนลง จะพิจารณาขยายเวลาให้ส่วนลดต่อไป
สำหรับรายได้ที่คาดว่าจะหายไปจากการลดราคา เช่น รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ ปัจจุบันมีรายได้จากค่าโดยสารประมาณ 700 ล้านบาท/ปี หากปรับลดในช่วงนอกเวลาเร่งด่วนคาดว่ารายได้จะหายไปไม่ถึง 200 ล้านบาท ส่วนสายสีม่วง ก็อยู่ในระดับเท่ากันๆ
อย่างไรก็ตาม มีแนวคิดในการขอนำรายได้จากภาษีป้ายวงกลม รถยนต์ประจำปี ที่กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) จัดเก็บและส่งให้กรุงเทพมหานคร(กทม.) ซึ่งปีล่าสุดเก็บได้ได้กว่า 1.4 หมื่นล้านบาท มาใช้ชดเชยไม่เกิน 2,000 ล้านบาท
นายสุเทพ พันธุ์เพ็ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท.จำกัด หรือผู้ให้บริการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรลลิงก์กล่าวว่า ช่วงOff-peakของแอร์พอร์ตลิงก์ แบ่งเป็น 3 ช่วง คือ ช่วงเวลา 05.30-07.00น. ช่วงเวลา 10.00-17 .00 น และช่วงเวลา 20.00 - 24.00 น. (ปิดให้บริการ) ไม่รวม วันเสาร์และอาทิตย์ โดยเก็บอัตราค่าโดยสารจากปกติ 15-45 บาท เหลือ 15 บาท- สูงสุด ไม่เกิน 25 บาท ตามระยะทาง หรือลดลงประมาณ 40%
การลดค่าโดยสาร เพื่อกระตุ้นการเดินทางนอกเวลาเร่งด่วน โดยเฉพาะช่วง 05.00-06.00 น. เพื่อกระจายผู้โดยสาร โดยปัจจุบันผู้โดยสารมีการเติบโตสูงกว่าปีก่อนกว่า 10% มีผู้โดยสารเฉลี่ย 7.5 หมื่นคน/วัน (วันจันทร์-พฤหัสบดี มีประมาณ 8 หมื่นคน วันศุกร์ มีประมาณ 9 หมื่นคน) เทียบกับปีก่อนมีผู้โดยสารเฉลี่ยประมาณ 6.8-6.9 หมื่นคน/วัน ซึ่งเป็นผลมาจากขบวนที่วิ่งให้บริการได้เต็มที่สามารถปรับความถี่ได้ ขณะที่การจัดหารถเพิ่มนั้นเป็นหน้าที่ของผู้ให้บริการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ซึ่งคาดว่าจะมีการลงนามในสัญญาได้ในเร็วๆนี้