ในที่สุด ธรรมะก็ชนะอธรรม เมื่อศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.รื้อถอนสิ่งกีดขวางออกไปจากเขตทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 370 บริเวณทางข้า-ออกโครงการเซ็นทรัล วิลเลจ และยุติการดำเนินการใดๆ อันเป็นการขัดขวาง รบกวน หรือก่อให้เกิดอุปสรรคต่อการใช้ประโยชน์ในโครงการดังกล่าว
ทำให้เซ็นทรัล วิลเลจ สามารถเปิดบริการได้ตามกำหนดการคือ วันที่ 31 สิงหาคม ส่วน ทอท.ล้มเหลวในแผนก่อกวนเซ็นทรัล วิลเลจ ยังเสียชื่อเสียง ถูกสังคมตั้งคำถามว่า เป็นรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่ทำไมใช้พฤติกรรมราวกับอันธพาลข้างถนน ใช้กฎหมู่ขนกำลังมาปิดปากซอย
คำสั่งศาลปกครอง เป็นเพียงการคุ้มครองเซ็นทรัล วิลเลจ ชั่วคราวระหว่างการพิจารณาคดี ไม่ใช่คำวินิจฉัย หรือคำพิพากษา แต่จากเหตุผลในการสั่งคุ้มครองชั่วคราว ก็พอจะประเมินได้ว่า ศาลปกครองจะวินิจฉัยว่าอย่างไร
ศาลปกครองบอกว่า ทอท.ไม่มีอำนาจเหนือพื้นที่ที่เป็นทางเข้า-ออกโครงการเซ็นทรัล วิลเลจ เพราะอยู่ในความดูแลของกรมทางหลวง และที่ ทอท.อ้างว่า โครงการเซ็นทรัล วิลเลจ จะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาสนามบินสุวรรณภูมิระยะที่ 2 และก่อให้เกิดความเสียหายในด้านต่างๆ แก่ ทอท.นั้น เรื่องยังไม่เกิด เป็นเพียงการคาดการณ์ของ ทอท.ฝ่ายเดียว
คำวินิจฉัยของศาลปกครอง เมื่อการพิจารณาคดีถึงที่สุด ก็ไม่น่าจะมีอะไรต่างไปจากนี้ เพราะคดีนี้มีข้อเท็จจริงที่ชัดเจนอยู่แล้วว่า เซ็นทรัล วิลเลจ ไม่ได้ละเมิดสิทธิใดๆของ ทอท. ทอท.ก็รู้อยู่แก่ใจ แต่จำเป็นต้องหาเรื่องปั้นเรื่องขัดขวางโครงการเซ็นทรัล วิลเลจ เพื่อปกป้องสัมปทานดิวตี้ฟรี และพื้นที่เชิงพาณิชย์ในสนามบินสุวรรณภูมิ จากการแข่งขันแย่งชิงลูกค้า
ที่จะแตกต่าง ก็คือ ค่าเสียหาย 150 ล้านบาท ที่เซ็นทรัลขอให้ศาลสั่งให้ ทอท.จ่าย ศาลจะให้ตามคำขอหรือไม่
การที่ ทอท.ใช้กฎหมู่ปิดกั้นทางเข้า-ออกโครงการเซ็นทรัล วิลเลจ ไม่ใช่เป็นเรื่องช้างชนช้าง การแข่งขันระหว่างธุรกิจค้าปลีกใน และนอกสนามบินเท่านั้น แต่เป็นเรื่องการใช้อิทธิพลทางการเมืองของ ทอท.รังแกผู้ประกอบการเอกชนอย่างไม่เป็นธรรม
ทอท.ระดมสรรพกำลัง ตั้งแต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ประธานสหภาพแรงงาน ไปจนถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย รุมเล่นงานเซ็นทรัล วิลเลจฝ่ายเดียว
ที่น่าผิดหวังคือ นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ไม่กล้าตัดสินใจ สั่งให้ ทอท.ยุติพฤติกรรมแบบอันธพาลข้างถนน เพราะเกรงใจรัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทย ที่ต้องรับใช้นายทุนที่มีอุปการคุณทางการเงิน
กรณีปิดกั้นเซ็นทรัล วิลเลจ แสดงให้เห็นว่า ทอท.ทำตัวราวกับผู้มีอิทธิพล ไม่สนใจว่า กฎหมายจะว่าอย่างไร ไม่รับฟังเหตุผลใดๆ และไม่อายที่จะเสนอข้อมูลที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงอยู่ตลอดเวลา
โครงการสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่สอง ซึ่ง ทอท.ดึงดันจะสร้างให้ได้ ทั้งๆ ที่ ผิดไปจากแผนแม่บทการพัฒนาสนามบิน เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพลของ ทอท.
โครงการนี้ถูกคัดค้านจากองค์กรวิชาชีพด้านวิศวกร และสถาปัตย์ 12 องค์กร และสภาพัฒน์เคยทำหนังสือถึงปลัดกระทรวงคมนาคม ไม่เห็นด้วยกับการก่อสร้าง อาคารผู้โดยสารหลังที่สอง
สภาพัฒน์แนะนำให้ ทอท.ยึดตามแผนแม่บทเดิม คือ ขยายอาคารผู้โดยสารปัจจุบันด้านตะวันออก แล้วจึงขยายทางด้านตะวันตก ก่อนที่จะสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่สอง และอาคารหลังที่สองต้องอยู่ทางด้านทิศใต้ของสนามบิน ไม่ใช่มาสร้างติดกับอาคารผู้โดยสารหลังปัจจุบัน
ความเห็นของสภาพัฒน์ เสียงคัดค้านจากองค์กรวิชาชีพ ประกอบกับรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมในขณะนั้นคือ นายอาคม เติมพิทยาไพศิฐ ไม่เล่นด้วย ทำให้ ทอท.ต้องพับแผนสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่สองเอาไว้ก่อน ทั้งๆ ที่มีการคัดเลือกผู้ชนะการออกแบบอาคารไว้แล้ว
มาถึงรัฐบาลประยุทธ์ 2 ที่จำเป็นต้องยกกระทรวงคมนาคมให้พรรคภูมิใจไทยไปบริหาร แผนการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารแห่งที่สอง ถูกงัดขึ้นมาใหม่ โดยการผลักดันของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดยไม่ไยดีกับข้อท้วงติงของสภาพัฒน์ และเสียงคัดค้านขององค์กรวิชาชีพ 12 แห่ง
การขยายพื้นที่อาคารผู้โดยสารหลังปัจจุบันทางด้านทิศตะวันออก ได้รับอนุมัติ จาก ครม.ชุดก่อนๆ แล้ว มีการออกแบบเสร็จแล้ว สามารถลงมือก่อสร้างได้ทันที เมื่อสร้างเสร็จแล้ว รองรับผู้โดยสารได้มากขึ้น แต่พื้นที่ด้านตะวันออกที่จะขยายไปนั้น เป็นที่ตั้งอาคารที่ถูกใช้เป็นพื้นที่ค้าปลีกในปัจจุบัน จะต้องทุบอาคารนี้ทิ้งซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ ทอท.ไม่ยึดตามแผนแม่บทเดิม แม้ว่า ผู้ครอบครองอาคารได้ทำสัญญากับ ทอท.ก่อนจะก่อสร้างแล้วว่า จะคืนพื้นที่ให้หาก ทอท.ต้องการใช้
กรณีปิดล้อมเซ็นทรัล วิลเลจ และโครงการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่สอง ล้วนแต่เป็นเรื่องผลประโยชน์ของธุรกิจค้าปลีกในสนามบินสุวรรณภูมิ ที่ ทอท.ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องผลประโยชน์ โดยไม่สนใจว่า จะถูกต้องเป็นธรรมหรือไม่