ผู้จัดการรายวัน360- ศาลฎีกาพิพากษา "หญิงเป็ด" ผิดจริง เบิกจ่ายงบสัมมนาผิดระเบียบ ขั้นตอน แต่เห็นว่าเพิ่งกระทำครั้งแรก อีกทั้งระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ไม่เคยมัวหมองถูกลงโทษวินัย เห็นควรให้โอกาส จึงรอการลงโทษไว้ 2 ปี แต่เพิ่มโทษปรับ 1.5 หมื่นบาท
วานนี้ (27 ส.ค.) ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง นัดอ่านคำพิพากษาฎีกา คดีหมายเลขดำ 2054/2559 ที่พนักงานอัยการ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา อายุ 73 ปี อดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และ "นายคัมภีร์ สมใจ" อายุ 73 ปี อดีต ผอ.สำนักบริหารงานและทรัพยากรบุคคล สตง. เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีที่จัดให้มีการสัมมนาที่ จ.น่าน เมื่อวันที่ 31 ต.ค.46 ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีการสัมมนากันจริง แต่จัดสัมมนา เพื่อให้ข้าราชการที่มีรายชื่อเข้ารับการสัมมนานั้น ได้ไปร่วมงานถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ที่จัดขึ้นในวันเดียวกัน แล้วให้เบิกค่าเดินทาง ค่าที่พัก และค่าใช้จ่ายต่างๆ ในงบเดียวกันจำนวน 294,440 บาท ทำให้ สตง. เสียหาย ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ชี้มูลความผิด คุณหญิงจารุวรรณ และ นายคัมภีร์โดยศาลชั้นต้น มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 30 พ.ย.58 ว่าจำเลยทั้งสอง มีความผิดตาม มาตรา 157 ให้จำคุกคนละ 2 ปี โดยไม่รอการลงโทษ จากนั้น คุณหญิงจารุวรรณ และ นายคัมภีร์ ได้ยื่นสมุดบัญชีเงินฝากคนละ 200,000 บาท ขอปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์คดี
ล่าสุด จำเลยทั้งสองได้อุทธรณ์ว่า ควรลงโทษสถานเบา และรอการลงโทษนั้น ซึ่งศาลเห็นว่า ทั้งสองรับราชการที่ สตง.มานาน จนดำรงตำแหน่งระดับสูง นับว่าได้ทำคุณประโยชน์ให้กับราชการ ประกอบกับจำเลยทั้งสอง มีอายุมาก ประมาณ 70 ปี มีเหตุควรปราณี ที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกคนละ 2 ปี จึงหนักเกินไป พิพากษาแก้โทษให้จำคุก เหลือคนละ 1 ปี แต่กรณีไม่สมควรรอลงอาญา
ขณะที่ระหว่างฎีกา "คุณหญิงจารุวรรณ" และ "นายคัมภีร์" อดีต ผอ.สำนักบริหารงานฯ ได้ประกันตัวคนละ 200,000 บาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล
โดยวานนี้ (27 ส.ค.) คุณหญิงจารุวรรณ จำเลยที่ 1 มาศาล ซึ่งมีครอบครัวและกลุ่มญาติ มาให้กำลังใจด้วย ขณะที่ นายไพบูลย์ นิติตะวัน หัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป ก็ร่วมติดตามฟังคำพิพากษาด้วยเช่นกัน ส่วนนายคัมภีร์ อดีต ผอ.สำนักบริหารงานฯ จำเลยที่ 2 เมื่อจำเลยได้เสียชีวิตแล้ว "ศาลฎีกา" จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์ แล้วเห็นว่า ระหว่างปฏิบัติหน้าที่นั้น จำเลยที่ 1 ก็ไม่เคยถูกลงโทษทางวินัย และได้เคยประกอบคุณงามความดี ขนาดที่พฤติการณ์ความผิดนี้ แม้จะเกี่ยวข้องกับจริยธรรมคุณธรรมของเจ้าพนักงานด้วย แต่เมื่อเห็นว่าการเบิกจ่ายเงินนั้น จำเลยที่ 1 ก็ไม่ได้นำไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวของตนเองอีกครั้ง จำนวนเงินในคดีนี้ ก็มีจำนวนไม่มาก กับเป็นการกระทำความผิดครั้งแรกจึงสมควรให้โอกาสจำเลย ในการรอการลงโทษไว้ แต่เห็นควรให้เพิ่มการลงโทษปรับ จำเลยที่ 1 ด้วย จึงพิพากษาแก้เป็นว่า คำให้การของจำเลยเป็นประโยชน์ จึงเห็นควรลดโทษให้หนึ่งในสี่คงจำคุกเป็นเวลา 9 เดือน โดยโทษปรับจำนวน 20,000 บาทนั้น เมื่อลดโทษ 1 ใน 4 แล้วคงปรับเป็นเงิน 15,000 บาท โดยโทษจำคุกนั้นให้รอการลงโทษไว้เป็นเวลา 2 ปี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างการนั่งฟังคำพิพากษาภายในห้องพิจารณาคดีเป็นเวลา รวม 2 ชั่วโมง คุณหญิงจารุวรรณ มีท่าทางนิ่งสงบ ขณะที่เมื่อศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จแล้ว ผู้พิพากษาก็ได้อธิบายผลคำพิพากษาให้คุณหญิงจารุวรรณ ทราบอีกครั้ง
วานนี้ (27 ส.ค.) ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง นัดอ่านคำพิพากษาฎีกา คดีหมายเลขดำ 2054/2559 ที่พนักงานอัยการ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา อายุ 73 ปี อดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และ "นายคัมภีร์ สมใจ" อายุ 73 ปี อดีต ผอ.สำนักบริหารงานและทรัพยากรบุคคล สตง. เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีที่จัดให้มีการสัมมนาที่ จ.น่าน เมื่อวันที่ 31 ต.ค.46 ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีการสัมมนากันจริง แต่จัดสัมมนา เพื่อให้ข้าราชการที่มีรายชื่อเข้ารับการสัมมนานั้น ได้ไปร่วมงานถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ที่จัดขึ้นในวันเดียวกัน แล้วให้เบิกค่าเดินทาง ค่าที่พัก และค่าใช้จ่ายต่างๆ ในงบเดียวกันจำนวน 294,440 บาท ทำให้ สตง. เสียหาย ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ชี้มูลความผิด คุณหญิงจารุวรรณ และ นายคัมภีร์โดยศาลชั้นต้น มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 30 พ.ย.58 ว่าจำเลยทั้งสอง มีความผิดตาม มาตรา 157 ให้จำคุกคนละ 2 ปี โดยไม่รอการลงโทษ จากนั้น คุณหญิงจารุวรรณ และ นายคัมภีร์ ได้ยื่นสมุดบัญชีเงินฝากคนละ 200,000 บาท ขอปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์คดี
ล่าสุด จำเลยทั้งสองได้อุทธรณ์ว่า ควรลงโทษสถานเบา และรอการลงโทษนั้น ซึ่งศาลเห็นว่า ทั้งสองรับราชการที่ สตง.มานาน จนดำรงตำแหน่งระดับสูง นับว่าได้ทำคุณประโยชน์ให้กับราชการ ประกอบกับจำเลยทั้งสอง มีอายุมาก ประมาณ 70 ปี มีเหตุควรปราณี ที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกคนละ 2 ปี จึงหนักเกินไป พิพากษาแก้โทษให้จำคุก เหลือคนละ 1 ปี แต่กรณีไม่สมควรรอลงอาญา
ขณะที่ระหว่างฎีกา "คุณหญิงจารุวรรณ" และ "นายคัมภีร์" อดีต ผอ.สำนักบริหารงานฯ ได้ประกันตัวคนละ 200,000 บาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล
โดยวานนี้ (27 ส.ค.) คุณหญิงจารุวรรณ จำเลยที่ 1 มาศาล ซึ่งมีครอบครัวและกลุ่มญาติ มาให้กำลังใจด้วย ขณะที่ นายไพบูลย์ นิติตะวัน หัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป ก็ร่วมติดตามฟังคำพิพากษาด้วยเช่นกัน ส่วนนายคัมภีร์ อดีต ผอ.สำนักบริหารงานฯ จำเลยที่ 2 เมื่อจำเลยได้เสียชีวิตแล้ว "ศาลฎีกา" จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์ แล้วเห็นว่า ระหว่างปฏิบัติหน้าที่นั้น จำเลยที่ 1 ก็ไม่เคยถูกลงโทษทางวินัย และได้เคยประกอบคุณงามความดี ขนาดที่พฤติการณ์ความผิดนี้ แม้จะเกี่ยวข้องกับจริยธรรมคุณธรรมของเจ้าพนักงานด้วย แต่เมื่อเห็นว่าการเบิกจ่ายเงินนั้น จำเลยที่ 1 ก็ไม่ได้นำไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวของตนเองอีกครั้ง จำนวนเงินในคดีนี้ ก็มีจำนวนไม่มาก กับเป็นการกระทำความผิดครั้งแรกจึงสมควรให้โอกาสจำเลย ในการรอการลงโทษไว้ แต่เห็นควรให้เพิ่มการลงโทษปรับ จำเลยที่ 1 ด้วย จึงพิพากษาแก้เป็นว่า คำให้การของจำเลยเป็นประโยชน์ จึงเห็นควรลดโทษให้หนึ่งในสี่คงจำคุกเป็นเวลา 9 เดือน โดยโทษปรับจำนวน 20,000 บาทนั้น เมื่อลดโทษ 1 ใน 4 แล้วคงปรับเป็นเงิน 15,000 บาท โดยโทษจำคุกนั้นให้รอการลงโทษไว้เป็นเวลา 2 ปี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างการนั่งฟังคำพิพากษาภายในห้องพิจารณาคดีเป็นเวลา รวม 2 ชั่วโมง คุณหญิงจารุวรรณ มีท่าทางนิ่งสงบ ขณะที่เมื่อศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จแล้ว ผู้พิพากษาก็ได้อธิบายผลคำพิพากษาให้คุณหญิงจารุวรรณ ทราบอีกครั้ง