หากเป็นการสื่อสารที่ไม่ผิดพลาดจากปากของโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ "ราเมศ รัตนะเชวง" ในฐานะทีมกฎหายของพรรค นำมาเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมา ศาลฎีกา มีคำพิพากษาในคดีแพ่ง ที่ 6646-6647/2561 ว่า ศาลสั่งให้จำเลย คือ จตุพร พรหมพันธุ์ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และ อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ รวมกัน จำนวน 19.3 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี โดยคดีนี้ เกิดขึ้นจากการที่โจทก์ ซึ่งเป็นผู้อยู่อาศัยและประกอบธุรกิจในย่านราชปรารภ และได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) เมื่อปี 2553
หากกล่าวโดยสรุป คดีดังกล่าวเป็นคดีแพ่งที่สู้กันถึงฎีกา โดยมีโจทก์ร่วมกัน 4 คน ฟ้องจำเลยจำนวน 11 คน ประกอบด้วย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สุเทพ เทือกสุบรรณ กระทรวงการคลัง กระทรวงกลาโหม กองทัพบก จตุพร พรหมพันธุ์ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง ทักษิณ ชินวัตร กรุงเทพมหานคร และ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร
**โดยคำพิพากษาของศาลฎีกาให้เหตุผลสรุปสาระสำคัญว่า “คำพูดของ นายจตุพร นายณัฐวุฒิ และ นายอริสมันต์ ล้วนเป็นการปราศรัยที่ยุยงส่งเสริมหรือสนับสนุนให้ผู้เข้าร่วมชุมนุมร่วมกันแสดงปฏิกิริยาตอบโต้ต่อการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ และยังระบุอีกว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่อาคารและทรัพย์สินที่ถูกบุคคลผู้ชุมนุมในกลุ่มนปช.วางเพลิงเผาทำลายนั้นเป็นผลที่เกิดขึ้นจากการปราศรัยของพวกเขา”ราเมศ กล่าวสรุปคำพิพากษาให้ฟัง ขณะที่ จำเลยคนอื่นศาลยกฟ้อง
โดยเขา (ราเมศ) เชื่อว่า ผลจากคำพิพากษาดังกล่าว จะนำไปพิจารณาประกอบสำหรับคดีอื่นๆ ในโอกาสต่อไปด้วย
แน่นอนว่า หากพิจารณาจากผลของคำพิพากษาดังกล่าวของศาลฎีกาในคดีแพ่งข้างต้นนี้ ถือว่าสำหรับ สามแกนนำ นปช. คือ จตุพร-ณัฐวุฒิ-อริสมันต์ ถือว่าหนัก ถือว่า“อ่วม” ทีเดียว แม้ไม่ใช่ต้องติดคุก แต่การถูกคำสั่งให้ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินจำนวนกว่า 19 ล้านบาท ยังไม่รวมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี
ขณะเดียวกันที่น่าสนใจก็คือ คำพูดของ จตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ที่โอดครวญหลังคำพิพากษาว่า แม้จะยอมรับในคำพิพากษา แต่จะขอความเป็นธรรมต่อไป และยังยืนยันว่า พวกเขาไม่ได้ปลุกเร้าให้ประชาชนก่อเหตุ “เพียงแต่บอกให้ไปรวมตัวกันที่ศาลากลางจังหวัด”
**และที่สนใจไปอีกก็คือ การที่ จตุพร บอกว่า “เป็นคำพูดแบบเดียวกับที่ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ตกเป็นจำเลยที่ 11 แต่ผมต้องชดใช้ค่าเสียหาย เพราะเป็นประธานนปช. แต่ข้อเท็จจริงก็ไม่ได้เป็นประธาน นปช. เพิ่งมาเป็นในปี 2557 หรือหลังเหตุการณ์ดังกล่าวถึง 4 ปี จึงอยากหาช่องทางขอความเป็นธรรมในส่วนนี้”
สำหรับในกรณีนี้ ก็ยังรู้สึกงงเหมือนกันกับที่ จตุพร พรหมพันธุ์ ข้องใจ ก็คือ ในคดีนี้ทำไม ทักษิณ ชินวัตร ที่จะว่าไปแล้วในความรู้สึกก็คือ “นายใหญ่”ของพวกแกนนำนปช. ทั้งสามคน และของคนที่เรียกว่าคนเสื้อแดงในยุคนั้นทั้งหมด ก็เหมือนกับที่ จตุพร ตัดพ้อนั่นแหละว่า “พูดเหมือนกัน แต่ทำไมพวกเขาโดน ทำไมทักษิณไม่โดน”อะไรประมาณนี้ เพราะทักษิณ ก็พูดปลุกเร้าในแบบที่ว่าเหมือนกัน เช่นให้ไปรวมตัวกันที่ศาลากลางทั่วประเทศ
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาในอีกมุมหนึ่งก็เป็นไปได้ว่า โจทก์ร่วมที่ฟ้องในคดีแพ่งครั้งนี้ เป็นผู้เสียหายในย่านราชปรารภ ไม่ใช่อยู่ในย่านที่มีศาลากลางจังหวัดที่ถูกเผาทำลาย และขณะเดียวกัน ที่ผ่านมาศาลก็ได้มีการพิพากษาจำคุกจำเลยที่ก่อเหตุกันไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้ฟ้องบรรดาแกนนำมีชื่อดังกล่าวก็เป็นได้
ในส่วนของ ทักษิณ ชินวัตร ก็อาจเป็นไปได้เหมือนกันว่า เขาได้เรียกร้องให้ไปรวมตัวกันที่ศาลากลางจังหวัดเท่านั้น ไม่ได้ปลุกเร้าให้ไปรวมตัวที่ราชปรารภก็ได้ อีกทั้งอาจเป็นเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ จึงยกประโยชน์ให้ก็ได้
กรณีที่เกิดขึ้นสำหรับ 3 แกนนำ นปช. ถือว่าหนักหนาสาหัสไม่น้อยเลย กับการที่ต้องร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายที่หากคิดรวมดอกเบี้ยร้อยละ7.5 ต่อปี รวมแล้วก็เกือบ 30 ล้านบาท ที่ต้องบังคับจ่ายให้กับเอกชนที่ฟ้อง เหมือนกับที่ จตุพร พรหมพันธุ์ ต้องโอดครวญ เหมือนกับกล่าวเป็นนัยว่า“ทำไม ทักษิณ ชินวัตร ลอยนวล”อะไรประมาณนั้น และที่สำคัญผล จากคำพิพากษาของศาลดังกล่าว น่าจะถูกนำไปพิจารณาประกอบในอีกหลายคดีที่พวกเขากำลังตกเป็นจำเลย แม้ว่าที่ผ่านมาไม่นานในคดีก่อการร้ายจะถูกศาลอาญา ยกฟ้องไปแล้ว เนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอ จนต้องยกประโยชน์ให้ แต่ยังมีอีกหลายคดีที่ต่างกรรม ต่างวาระ ที่ทยอยมาเรื่อยๆ และเข้มข้นเข้ามาทุกขณะแล้ว ซึ่งมีทั้งคดีอาญา และคดีทางแพ่ง
**ดังนั้น คำพูดโอดครวญข้างต้นของ จตุพร พรหมพันธุ์ หากมองในมุมที่ต้องรับผิดชอบตามคำพิพากษา ที่โดยสถานะในปัจจุบันก็ต้องถือว่า อ่วม และในคำพูดมันก็เหมือนกับตัดพ้อเหมือนกับถูก “ลอยแพ”จาก “นายใหญ่”ที่พวกเขาต่อสู้ทุ่มเทเสี่ยงให้ได้อำนาจกลับมาหรือเปล่า และขณะเดียวกัน มันก็ยังเกิดอาการหวั่นไหวตามมาอีก เพราะยังอีกหลายคดีที่ต้องเผชิญหน้า ซึ่งก็มีความเสี่ยงสูงนัก !!
หากกล่าวโดยสรุป คดีดังกล่าวเป็นคดีแพ่งที่สู้กันถึงฎีกา โดยมีโจทก์ร่วมกัน 4 คน ฟ้องจำเลยจำนวน 11 คน ประกอบด้วย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สุเทพ เทือกสุบรรณ กระทรวงการคลัง กระทรวงกลาโหม กองทัพบก จตุพร พรหมพันธุ์ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง ทักษิณ ชินวัตร กรุงเทพมหานคร และ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร
**โดยคำพิพากษาของศาลฎีกาให้เหตุผลสรุปสาระสำคัญว่า “คำพูดของ นายจตุพร นายณัฐวุฒิ และ นายอริสมันต์ ล้วนเป็นการปราศรัยที่ยุยงส่งเสริมหรือสนับสนุนให้ผู้เข้าร่วมชุมนุมร่วมกันแสดงปฏิกิริยาตอบโต้ต่อการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ และยังระบุอีกว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่อาคารและทรัพย์สินที่ถูกบุคคลผู้ชุมนุมในกลุ่มนปช.วางเพลิงเผาทำลายนั้นเป็นผลที่เกิดขึ้นจากการปราศรัยของพวกเขา”ราเมศ กล่าวสรุปคำพิพากษาให้ฟัง ขณะที่ จำเลยคนอื่นศาลยกฟ้อง
โดยเขา (ราเมศ) เชื่อว่า ผลจากคำพิพากษาดังกล่าว จะนำไปพิจารณาประกอบสำหรับคดีอื่นๆ ในโอกาสต่อไปด้วย
แน่นอนว่า หากพิจารณาจากผลของคำพิพากษาดังกล่าวของศาลฎีกาในคดีแพ่งข้างต้นนี้ ถือว่าสำหรับ สามแกนนำ นปช. คือ จตุพร-ณัฐวุฒิ-อริสมันต์ ถือว่าหนัก ถือว่า“อ่วม” ทีเดียว แม้ไม่ใช่ต้องติดคุก แต่การถูกคำสั่งให้ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินจำนวนกว่า 19 ล้านบาท ยังไม่รวมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี
ขณะเดียวกันที่น่าสนใจก็คือ คำพูดของ จตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ที่โอดครวญหลังคำพิพากษาว่า แม้จะยอมรับในคำพิพากษา แต่จะขอความเป็นธรรมต่อไป และยังยืนยันว่า พวกเขาไม่ได้ปลุกเร้าให้ประชาชนก่อเหตุ “เพียงแต่บอกให้ไปรวมตัวกันที่ศาลากลางจังหวัด”
**และที่สนใจไปอีกก็คือ การที่ จตุพร บอกว่า “เป็นคำพูดแบบเดียวกับที่ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ตกเป็นจำเลยที่ 11 แต่ผมต้องชดใช้ค่าเสียหาย เพราะเป็นประธานนปช. แต่ข้อเท็จจริงก็ไม่ได้เป็นประธาน นปช. เพิ่งมาเป็นในปี 2557 หรือหลังเหตุการณ์ดังกล่าวถึง 4 ปี จึงอยากหาช่องทางขอความเป็นธรรมในส่วนนี้”
สำหรับในกรณีนี้ ก็ยังรู้สึกงงเหมือนกันกับที่ จตุพร พรหมพันธุ์ ข้องใจ ก็คือ ในคดีนี้ทำไม ทักษิณ ชินวัตร ที่จะว่าไปแล้วในความรู้สึกก็คือ “นายใหญ่”ของพวกแกนนำนปช. ทั้งสามคน และของคนที่เรียกว่าคนเสื้อแดงในยุคนั้นทั้งหมด ก็เหมือนกับที่ จตุพร ตัดพ้อนั่นแหละว่า “พูดเหมือนกัน แต่ทำไมพวกเขาโดน ทำไมทักษิณไม่โดน”อะไรประมาณนี้ เพราะทักษิณ ก็พูดปลุกเร้าในแบบที่ว่าเหมือนกัน เช่นให้ไปรวมตัวกันที่ศาลากลางทั่วประเทศ
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาในอีกมุมหนึ่งก็เป็นไปได้ว่า โจทก์ร่วมที่ฟ้องในคดีแพ่งครั้งนี้ เป็นผู้เสียหายในย่านราชปรารภ ไม่ใช่อยู่ในย่านที่มีศาลากลางจังหวัดที่ถูกเผาทำลาย และขณะเดียวกัน ที่ผ่านมาศาลก็ได้มีการพิพากษาจำคุกจำเลยที่ก่อเหตุกันไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้ฟ้องบรรดาแกนนำมีชื่อดังกล่าวก็เป็นได้
ในส่วนของ ทักษิณ ชินวัตร ก็อาจเป็นไปได้เหมือนกันว่า เขาได้เรียกร้องให้ไปรวมตัวกันที่ศาลากลางจังหวัดเท่านั้น ไม่ได้ปลุกเร้าให้ไปรวมตัวที่ราชปรารภก็ได้ อีกทั้งอาจเป็นเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ จึงยกประโยชน์ให้ก็ได้
กรณีที่เกิดขึ้นสำหรับ 3 แกนนำ นปช. ถือว่าหนักหนาสาหัสไม่น้อยเลย กับการที่ต้องร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายที่หากคิดรวมดอกเบี้ยร้อยละ7.5 ต่อปี รวมแล้วก็เกือบ 30 ล้านบาท ที่ต้องบังคับจ่ายให้กับเอกชนที่ฟ้อง เหมือนกับที่ จตุพร พรหมพันธุ์ ต้องโอดครวญ เหมือนกับกล่าวเป็นนัยว่า“ทำไม ทักษิณ ชินวัตร ลอยนวล”อะไรประมาณนั้น และที่สำคัญผล จากคำพิพากษาของศาลดังกล่าว น่าจะถูกนำไปพิจารณาประกอบในอีกหลายคดีที่พวกเขากำลังตกเป็นจำเลย แม้ว่าที่ผ่านมาไม่นานในคดีก่อการร้ายจะถูกศาลอาญา ยกฟ้องไปแล้ว เนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอ จนต้องยกประโยชน์ให้ แต่ยังมีอีกหลายคดีที่ต่างกรรม ต่างวาระ ที่ทยอยมาเรื่อยๆ และเข้มข้นเข้ามาทุกขณะแล้ว ซึ่งมีทั้งคดีอาญา และคดีทางแพ่ง
**ดังนั้น คำพูดโอดครวญข้างต้นของ จตุพร พรหมพันธุ์ หากมองในมุมที่ต้องรับผิดชอบตามคำพิพากษา ที่โดยสถานะในปัจจุบันก็ต้องถือว่า อ่วม และในคำพูดมันก็เหมือนกับตัดพ้อเหมือนกับถูก “ลอยแพ”จาก “นายใหญ่”ที่พวกเขาต่อสู้ทุ่มเทเสี่ยงให้ได้อำนาจกลับมาหรือเปล่า และขณะเดียวกัน มันก็ยังเกิดอาการหวั่นไหวตามมาอีก เพราะยังอีกหลายคดีที่ต้องเผชิญหน้า ซึ่งก็มีความเสี่ยงสูงนัก !!