xs
xsm
sm
md
lg

ไม่มี “ประมุขโลก” อีกต่อไปแล้ว???

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

ขีปนาวุธตงเฟิง 21D (DF-21D) ของจีน
ความพยายามออกอาวุธสกัดกั้นเล่นงาน “มหาอำนาจคู่แข่ง” อย่างจีน...ไม่ว่าจะโดยสงครามการค้า สงครามเทคโนโลยี สงครามการเงิน ไปจนถึงการยุ “กะปอมฮ่องกง” ลุกขึ้นมาสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับ “ไดโนเสาร์แห่งแผ่นดินใหญ่” ต้องถือเป็นสิ่งที่คุณพ่ออเมริกาท่านงัดออกมาใช้ไปแล้วแทบทุกลูก ทุกดอก เท่าที่เหลืออยู่...ก็คงแค่ “สงครามเลือด” เท่านั้นเอง ดังนั้น...สำหรับวันนี้ คงต้องมาลองประเมินกันดู ว่าถ้าคุณพ่ออเมริกาท่านต้องงัดเอาไม้ตาย หรืองัดเอาสิ่งที่ถือเป็น “จุดแข็ง” ที่สุดของความเป็นจักรวรรดินิยมอเมริกา นั่นก็คือ “พลังอำนาจทางทหาร” มาใช้กับคุณพี่จีนขึ้นมาจริงๆ...ใครอยู่...ใครจะไป ใครเป็นเสือล้างสิงห์ หรือเป็นลิงล้างก้น กันแน่!!!

ซึ่งในการประเมินที่ว่านี้...คงไม่ต้องเสียเวลาไปลากเอา “ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธ” ประจำเว็บไซต์ผู้จัดการ หรือผู้ที่มีแค่ “ไม้จิ้มฟัน” ติดตัวไว้แทงเหงือกอย่าง “ทับทิม พญาไท” มานั่งสุมหัว สังเคราะห์ และวิเคราะห์อะไรให้ต้องเมื่อยเนื้อ เมื่อยตัว โดยใช่เหตุ เพราะเมื่อช่วงวันจันทร์ (19 ส.ค.) ที่ผ่านมานี่เอง ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธ ด้านยุทธศาสตร์ และด้านการทหาร แห่งมหาวิทยาลัยซิดนีย์ ออสเตรเลีย ไม่ว่า “Ashley Townshend” “Matilda Steward” และ “Brendan Thomas-Noone” ที่ได้ร่วมกันศึกษาค้นคว้า และวิจัยเรื่องทำนองนี้มาเป็นปีๆ เขาได้ออกมาเผยแพร่เอกสารความหนาถึง 104 หน้า ซึ่งก่อให้เกิดความตกตะลึงพรึงเพริดกับผู้คนจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะสำหรับคุณพ่ออเมริกา ตลอดไปจนบรรดาผู้ที่ยังคิดเป็นพันธมิตร ยังถือหาง เลือกข้าง คุณพ่ออเมริกามาโดยตลอด...

อันเนื่องมาจากเอกสารดังกล่าวได้ให้บทสรุปเอาไว้ประมาณว่า...ท่ามกลางการหันไปให้ความสนใจของคุณพ่ออเมริกาต่อแนวรบในตะวันออกกลางซะเป็นหลัก และละเลยภูมิภาคเอเชียมานานพอสมควร...เมื่อมาถึง ณ ขณะนี้ บรรดาขีปนาวุธของจีน ไม่ว่าจะเป็นขีปนาวุธพิสัยใกล้ที่มีอยู่ประมาณ 1,500 ลูก พิสัยกลาง 450 ลูก และพิสัยไกลอีกไม่ต่ำกว่า 160 ลูก ตลอดไปจนขีปนาวุธที่ติดตั้งไว้ในกองเรือต่างๆ อีกนับร้อยๆ ลูก มีพลังอำนาจมากพอที่จะล้างผลาญ ทำลายฐานบัญชาการสิ่งอำนวยความสะดวกทางทหาร ตลอดจนกองเรือแปซิฟิกตะวันตกของสหรัฐฯ ฯลฯ ได้ภายในเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง โดยที่กองทัพอเมริกาอาจไม่เหลือเวลาพอที่จะตอบโต้ใดๆ ได้เลย!!!

เรียกว่า...ไม่ว่าจะเป็นเรือบรรทุกเครื่องบินสหรัฐฯ ที่พยายามแล่นโชว์ไป-โชว์มา อวดธงอเมริกันในทะเลจีนใต้ ฐานบัญชาการและสิ่งอำนวยความสะดวกทางทหารในสิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ฐานทัพที่เกาะกวม ไปจนถึงเขตบัญชาการทางทหารแถวๆ หมู่เกาะในอะแลสกา ฯลฯ ฯลฯ โน่นเลย ล้วนมีสิทธิเจ๊ง...กับ...เจ๊ง หรือฉิบหาย...กับ...ฉิบหาย ชนิดไม่มีเวลาพอที่จะตอบโต้ได้อย่างทันท่วงที แม้แต่เครื่องบินลำเลียงทางทหารที่อาจช่วยเสริมทัพ เสริมกำลัง ณ จุดหนึ่ง จุดใดก็ตาม แต่ถ้าหากต้องเจอกับขีปนาวุธ “ตงเฟิง 21D” (DF-21D) ของจีนเข้าแล้วล่ะก็ แม้จะบินสูงขึ้นไปในระดับ 1,500 กิโลเมตรบนท้องฟ้า ย่อมมีสิทธิร่วงผล็อยๆ ไม่ต่างไปจาก “โดรน” อเมริกัน ที่ถูกขีปนาวุธอิหร่านสอยไปเมื่อเร็วๆ นี้...

หรือถ้าพูดให้ง่ายๆ สั้นๆ ย่อๆ ก็คงต้องหยิบเอาข้อความบางข้อความที่เอกสารชิ้นนี้ได้สรุปเอาไว้ แบบชนิดตรงไป-ตรงมา นั่นก็คือข้อความที่ว่า “ความเป็นมหาอำนาจทางทหารของอเมริกาในอินโด-แปซิฟิก...ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว” หรืออเมริกาไม่ได้มีฐานะเป็น “มหาอำนาจสูงสุด” ในภูมิภาคนี้อีกต่อไปแล้ว ด้วยเหตุเพราะกำลังสนับสนุนทางทหารของอเมริกาที่เคยมีอยู่ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ทั่วโลก มาถึงบัดนี้ได้ลดลงไปเหลือแค่ 52 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง หรือด้วยเหตุเพราะ “ขณะที่กำลังสนับสนุนลดต่ำลง กำลังของฝ่ายตรงข้ามกลับเติบโตขึ้น” อย่างที่ศาสตราจารย์ “Stephen Walt” แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้ออกมากล่าวเสริมกับสำนักข่าว “RT” เอาไว้นั่นเอง...

ดังนั้น...ภายใต้สภาวะเช่นนี้ ไม่ใช่แต่เฉพาะรัฐบาลอเมริกันหรือกองทัพอเมริกันเท่านั้น ที่เริ่มออกอาการกินไม่ได้-นอนไม่หลับ เพราะแม้กระทั่งบรรดาผู้ที่เคยเป็น “พันธมิตร” อเมริกา ไม่ว่าจะในระดับซี้แหง ย่ำปึ่ก หรือไม่ เพียงใดก็แล้วแต่ ก็เริ่มหลับไม่ลงกันไปเป็นแถบๆ เรียกว่า...ขณะกำลังปิดไฟใส่กลอน จะเข้ามุ้งนอน ก็ย่อมอดคิดถึงใบหน้า “สี จิ้นผิง” อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้เลย โดยเฉพาะออสเตรเลียที่เคยถือเป็นพื้นที่ซึ่งรัฐบาลและกองทัพอเมริกัน กะจะเอาไว้ “ปักหมุด” ตั้งแต่เมื่อครั้งอดีตประธานาธิบดี “โอบามา” และอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ “ฮิลลารี คลินตัน” คิดจะ “ปักหมุดในเอเชีย” ด้วยการส่งทหารอเมริกันเข้าไปประจำการอย่างถาวรในพื้นที่ประเทศนี้ มาก่อนหน้านี้...

ด้วยเหตุนี้...การคิดอาศัยช่วงจังหวะระหว่างการถอนตัวออกจากข้อตกลง “INF” (Intermediate Nuclear Forces Treaty) หรือข้อตกลงจำกัดอาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลางกับรัสเซียในปี ค.ศ.1987 แล้วหันมามองหาพื้นที่ติดตั้งขีปนาวุธในเอเชีย เพื่อเอาไว้กดดัน หรือเล่นงานจีน ตามที่รัฐมนตรีกลาโหมอเมริกันคนใหม่ “นายมาร์ค เอสเปอร์” ได้เคยแย้มพรายเอาไว้เมื่อไม่นานมานี้ ไปๆ-มาๆ แล้ว...มันคง “เป็ง-ปาย-ม่าย-ล่าย” หรือโอกาสที่จะเป็นไปได้น่าจะยากส์ส์ส์เต็มที เพราะคงไม่มีประเทศไหนที่อยากจะโดนขีปนาวุธพิสัยต่างๆ ของจีนตกใส่หัวกบาล โดยที่พันธมิตรอย่างอเมริกาไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย...

นั่นร่วมไปถึง “ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก” ของอเมริกา ที่กะจะดึงอินเดีย-ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ ไปจนถึงออสเตรเลีย มาช่วยร่วมกัน “ปิดล้อม” ไม่ให้มังกรจีนสะบัดหาง ลากเลื้อยมากขึ้นไปกว่านี้ ก็น่าที่จะ “เหี่ยวปลาย” ลงไปเรื่อยๆ ดังนั้น...แม้ว่าอเมริกาจะยังคงมี “ไม้ตาย” หรือมีพลังอำนาจทหารระดับที่ไม่มีใครสามารถทัดเทียมได้อยู่ในมือ แต่ถ้าหากไม่มีใครเอาด้วย หรือไม่มีประเทศไหนอยากจะซวยไปด้วย พลังอำนาจอันถือเป็นไม้ตายที่ว่า มันคงไม่อาจงัดออกมาใช้ได้เลย โดยเฉพาะเมื่อต้องเจอกับ “หมากล้อม” ของจีนและรัสเซีย โอกาสจะฉวยม้า ฉวยโคน มาโขกกันกลางกระดาน “หมากรุก” ย่อมแทบเป็นไปไม่ได้ ความเป็นมหาอำนาจสูงสุด ความเป็น “ประมุขโลก” ของอเมริกา จึงน่าที่จะเริ่มมัวซัวลงไปตามลำดับ ด้วยประการละฉะนี้...แล...
กำลังโหลดความคิดเห็น