xs
xsm
sm
md
lg

บิ๊กตู่เร่งอัดฉีดศก.-สมคิดสั่งอุตฯดึงต่างชาติลงทุน-4แบงก์ใหญ่หั่นดอกเบี้ยกู้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ผู้จัดการรายวัน360 - "บิ๊กตู่" เรียก "สมคิด-อุตตม" ขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า ถกรับมือเศรษฐกิจผันผวน กกร. ยื่นข้อเสนอ 6 ข้อ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ "สมคิด" ลุยมอบนโยบาย ก.อุตฯ จัดทัพร่วมบีโอไอโรดโชว์ ดึงการลงทุนต่างชาติเข้าไทยก้าวข้ามเวียดนาม "สุริยะ" เด้งรับจ่อไปจีน ก.ย.นี้ ขณะที่ "กรอ.พาณิชย์" ตั้งวอร์รูมติดตามสถานการณ์ผลกระทบทางการค้า ก่อนทำแผนรับมือเชิงรุก-รับ พร้อมผุดคณะทำงานด้านตลาด ทำแผนดันยอดส่งออกเร่งด่วน 3-6 เดือน ขณะที่ คลัง มั่นใจแพคเกจกระตุ้นศก. เข้าครม. เศรษฐกิจ 16 ส.ค.นี้เพียงพอรับมือ ศก.โลกผันผวน พร้อมหนุนเพิ่มบทบาทตลาดทุนช่วยเพิ่มศักยภาพการลงทุนของประเทศ ด้าน 4 แบงก์ใหญ่ "BBL-KTB-KBANK-SCB" กอดคอหั่นดอกเบี้ย MOR-MRR กดดันราคาหุ้นกลุ่มแบงก์ร่วงหนัก

วานนี้ (14ส.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้เรียกหารือนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง และ ผอ.สำนักงบประมาณ เพื่อหารือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่จะนำเข้าที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจ ในวันที่ 16 ส.ค.นี้ . โดยใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง อย่างไรก็ตาม ภายหลังการหารือดังกล่าว นายสมคิด ปฏิเสธ ที่จะตอบคำถาม ถึงประเด็นการหารือ โดยให้รอรายละเอียด หลังการประชุมครม.เศรษฐกิจ ในวันศุกร์ที่ 16 ส.ค.นี้ ซึ่งนายอุตตม จะเป็นผู้แถลง

วันเดียวกันนี้ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ สมาคมธนาคารไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อเสนอข้อเสนอของภาคเอกชนต่อรัฐบาล สำหรับเป็นกรอบการทำงานร่วมกัน รวมทั้งยังเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ที่มาจากมุมมองของภาคเอกชน ประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบาย เพื่อยกระดับเศรษฐกิจของไทย ให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลกให้ประเทศเติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยมี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นายกลินท์ สารสิน ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ ศ.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมสนทนาด้วย

โอกาสนี้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวขอบคุณภาคเอกชนทั้ง 3 สถาบัน ที่ได้มอบข้อเสนอให้กับรัฐบาล ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางและนโยบายของรัฐบาลรวมถึงยุทธศาสตร์ชาติ โดยไปพิจารณาเพื่อดำเนินการตามความเหมาะสม เชื่อมั่นว่ากกร.จะทำงานร่วมกับรัฐบาล โดยครม.เศรษฐกิจ เพื่อช่วยกันหาแนวทางและวิธีการทำงานภายใต้สถานการณ์ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก และผลกระทบจากสงครามการค้า แม้แต่ประเทศสิงคโปร์ กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมได้ประกาศลดการคาดการณ์การขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)ประจำปี 2019 ลงมาอยู่ที่ 0-1% จากเดิมที่เคยประกาศว่าจะสามารถโตได้ราว 1.5-2.5% โดยเป็นการปรับลดคาดการณ์ครั้งที่ 2 ของปีนี้ หลังจากที่เศรษฐกิจสิงคโปร์ เคยเติบโตถึง 3.2% ในปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ GDP ในช่วงไตรมาสสอง ยังมีการขยายตัวจากปีที่แล้วเพียง 0.1% ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดในรอบ 10 ปีของสิงคโปร์ รัฐบาลและเอกชนไทยต่างทราบดีถึงความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่ประเทศไทยกำลังเผชิญเช่นกัน จึงหารือแนวทางในการผนึกกำลังกันสร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทย

โอกาสนี้ กกร.ได้ยื่นข้อเสนอของภาคเอกชนต่อรัฐบาล มี 6 ประเด็น สำคัญ ได้แก่ 1. การเสริมสร้างความร่วมมือภาครัฐและเอกชน ยกระดับการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนในระดับต่างๆ 2. การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันภาคเอกชน 3 . การพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ 4. สนับสนุนโครงการที่สำคัญของภาครัฐให้ดำเนินการต่อเนื่อง 5. เสริมสร้างธรรมาภิบาล ความรับผิดชอบต่อสังคม และ 6. ยกระดับทักษะ ความรู้และคุณภาพชีวิตทรัพยากรมนุษย์

ทั้งนี้ กกร. ยังพร้อมสนับสนุนและจะร่วมมือกับรัฐบาลเดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ ด้วย

"สมคิด"สั่งก.อุตฯโรดโชว์ดึงลงทุนมาไทย

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายกระทรวงอุตสาหกรรม ว่า ได้ขอให้นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรมจัดตั้งทีมงานทำงานร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อที่จะดึงการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาไทยเนื่องจากขณะนี้การลงทุนเริ่มย้ายฐานการผลิตไปยังเวียดนามมากขึ้นไทยจำเป็นต้องปรับตัวก้าวให้ทันการเปลี่ยนแปลงไม่เช่นนั้นเวียดนามอาจแซงไทยได้ ดังนั้นสิทธิประโยชน์การลงทุนจะต้องปรับให้เหมาะสม

"เมื่อเร็วๆนี้ทางอุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยได้เข้าหารือเขามองว่าไทยเป็นแกนและผู้นำในภูมิภาคนี้หลังจากที่ได้ผลักดันข้อตกลงความร่วมมือระหว่างประเทศลุ่มแม่น้ำอิระวะดี-เจ้าพระยา-แม่โขงหรือ ACMECS ซึ่งสหรัฐฯต้องการโปรโมทยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก หลังจากที่จีนเองมี หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง (One Belt, One Road )ซึ่งทำให้นักลงทุนมีความสนใจไทยมากขึ้นจึงควรใช้จังหวะนี้ในการดึงการลงทุนและก้าวข้ามเวียดนามให้ได้"นายสมคิดกล่าว

นอกจากนี้ กระทรวงอุตฯซึ่งมีงบประมาณดำเนินการค่อนข้างต่ำ 5,000 ล้านบาทเพราะเสนอโครงการเดิมๆไม่ปรับใหม่จำเป็นต้องปรับการทำงานให้สอดรับกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่ถดถอยหันมาพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม(เอสเอ็มอี)และผู้ประกอบการรายใหม่(สตาร์ทอัพ)ที่เน้นนวัตกรรมโดยการทำงานร่วมกับบ.อินโนสเปซ (ไทยแลนด์)จำกัดหรือไทยแลนด์ ไซเบอร์พอร์ต พร้อมกันนี้จะต้องมุ่งการพัฒนาให้เชื่อมโยงกับเกษตรแปรรูปเพิ่มมูลค่าและธุรกิจบริการโดยเฉพาะการขับเคลื่อนไปสู่คลัสเตอร์อุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพเพื่อก้าวสู่ศูนย์กลางภูมิภาคหรือ Bio Hub

ทั้งนี้ กระทรวงฯจะต้องทำงานร่วมบีโอไอใกล้ชิดที่จะดึงการลงทุนเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจชีวภาพเพื่อยกระดับสินค้าเกษตรโดยเฉพาะอ้อย ปาล์ม ซึ่งบีโอไอต้องปรับแพคเกจส่งเสริมการลงทุนให้เป็นรูปแบบคลัสเตอร์ที่ไม่ได้มองการดึงลงทุนเฉพาะธุรกิจคนไทยแต่ต้องมองต่างประเทศเข้ามาร่วมด้วย ขณะเดียวกันในส่วนของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(กนอ.)จะต้องปรับบทบาทการพัฒนาพื้นที่รองรับการลงทุนของเอสเอ็มอีโดยเฉพาะนิคมฯในเขตพื้นที่อีอีซีซึ่งนิคมฯของเอกชนมีการยกระดับที่มุ่งรองรับการลงทุนขนาดใหญ่ทำให้เอสเอ็มอีไม่อาจเข้าไปเช่าดำเนินธุรกิจได้เพราะราคาค่าเช่าสูงขึ้นมาก

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงฯเตรียมที่จะพิจารณาไปโรดโชว์เพื่อดึงการลงทุนร่วมกับบีโอไอซึ่งคาดว่าจะเริ่มไปยังประเทศจีนก่อนภายในเดือนก.ย.นี้ และพร้อมที่จะมุ่งเน้นการนำงบประมาณที่ล่าสุดกระทรวงฯได้ยื่นขอต่อสำนักงบประมาณปี 2563 วงเงินราว 14,000 ล้านบาทมาใช้ที่มุ่งโฟกัสการพัฒนาเอสเอ็มอี สตาร์ทอัพและเกษตรแปรรูปตามนโยบายรองนายกรัฐมนตรี

"กรอ.พาณิชย์"ผุดวอร์รูมติดตามเทรดวอร์

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนด้านการพาณิชย์ (กรอ.พาณิชย์) ครั้งแรกว่า ที่ประชุมได้พิจารณาแนวทางการรับมือกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่ยังยืดเยื้อและส่งผลกระทบต่อการค้าและการลงทุนทั่วโลก รวมถึงไทย โดยเห็นชอบให้มีการจัดตั้งวอร์รูม (War Room) ทำหน้าที่ติดตามสถานการณ์การค้าและเสนอแนวทางรับมือทั้งเชิงรุก เชิงรับ ได้อย่างทันท่วงที เพื่อผลักดันให้การค้าของไทยยังคงขยายตัวในเวทีโลกได้ต่อไป

สำหรับการผลักดันการส่งออก ได้ตั้งคณะทำงานเจาะตลาด เพื่อเร่งรัดการส่งออกแบบเร่งด่วนในระยะเวลา 3 เดือน 6 เดือน โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศจะไปหารือร่วมกับภาคเอกชนในการจัดทำแผนการขยายตลาดเป็นรายสินค้า บริการ และรายตลาด ซึ่งจะมีความชัดเจนว่าจะทำอะไร ยังไง เพื่อให้ส่งออกได้เพิ่มขึ้น โดยมีตลาดเป้าหมายหลัก 5 ตลาด คือ CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) จีน อินเดียและเอเชียใต้ อาเซียน และตะวันออกกลาง ที่บางตลาดสามารถฟื้นขึ้นมาได้ เช่น อิรัก ที่เดิมเคยมีปัญหาทางการเมือง รวมถึงจอร์แดน การ์ตา โอมาน คูเวต รวมทั้งเร่งรัดเพิ่มมูลค่าการค้าชายแดน เพราะหากเพิ่มในส่วนนี้ได้ จะช่วยเพิ่มมูลค่าการส่งออกภาพรวมได้เพิ่มขึ้น

รมว.คลัง มั่นใจแพคเกจบูมศก.เอาอยู่

นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังได้จัดเตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นแพคเกจไว้แล้ว เพื่อเตรียมเสนอเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) ในวันที่ 16 ส.ค.นี้ ซึ่งมาตรการที่เตรียมไว้จะเพียงพอที่รองรับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก และไม่ทำให้เศรษฐกิจของไทยชะลอตัวลงกว่าที่ควรจะเป็น

พร้อมกันนี้ นายอุตตม ได้กล่าวระหว่างการมอบนโยบาย "บทบาทตลาดทุนไทยและความคาดหวังเกี่ยวกับธรรมาภิบาล และความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน" กล่าวว่า ไทยจำเป็นต้องยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และให้การเติบโตกระจายไปอย่างครอบคลุมทั่วถึง ดังนั้นอยากให้ในส่วนของตลาดทุน โดย SET50 เข้ามามีบทบาทในการเป็นหัวหอกเพื่อช่วยพัฒนาการลงทุนของประเทศให้มีศักยภาพมากขึ้น

"อยากให้มาร่วมกันคิดและช่วยกันทำทั่วประเทศ เริ่มตั้งแต่คนตัวเล็ก วิสาหกิจชุมชน สตาร์ทอัพ เอสเอ็มอี ตลาดทุนมีศักยภาพมาก ทั้งกำลังพล กำลังทุน ถ้าเรามาบูรณาการร่วมกัน กระทรวงการคลัง และกระทรวงอุตสาหกรรม มันจะเป็นพลัง แล้วงานใหญ่จะเดินหน้าได้ โดยรัฐบาลจะพยายามผลักดันให้เกิดความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมภายในปีนี้" รมว.คลัง กล่าว

4 แบงก์ใหญ่พร้อมใจหั่นดอกเบี้ยเงินกู้

รายงานข่าวแจ้งเพิ่มเติมว่า ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 4 แห่งของไทย ประกอบด้วยธนาคารกรุงเทพ (BBL) ธนาคารกรุงไทย (KTB) ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) และธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ได้พร้อมใจประกาศลดอัตราดอกเบี้ย MRR และ MOR เพื่อช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และให้สอดคล้องกับทิศทางดอกเบี้ยหลังคณะกรรมการนโยบายการเงินปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งที่ผ่านมา โดยมีผลตั้งแต่วันนี้ (15 ส.ค.)

นำโดยนายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย (KTB) กล่าวว่า ในฐานะธนาคารพาณิชย์ของรัฐ ธนาคารตระหนักถึงความสำคัญของธุรกิจ SME ซึ่งเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญของประเทศ โดยเฉพาะในช่วงที่กำลังเผชิญกับภาวะความผันผวนของค่าเงินและสงครามการค้า พร้อมทั้งตอบสนองทิศทางดอกเบี้ยนโยบาย จึงได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อ MOR และ MRR ลง 0.25% ต่อปี เพื่อช่วยเหลือและแบ่งเบาภาระให้กับผู้ประกอบการ SME รวมทั้งลูกค้ารายย่อย ให้ประคองตัวและฟื้นตัวจากผลกระทบของสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2562 เป็นต้นไป ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ย MOR และ MRR ของธนาคารเหลือ 6.87% ต่อปี

ขณะที่ BBL ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อเอ็มโออาร์ (MOR) หรืออัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (Minimum Overdraft Rate) และปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อเอ็มอาร์อาร์ (MRR) หรืออัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี (Minimum Retail Rate) ลง 0.25%

ส่วน KBANK ปรับลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อ MOR และ MRR ลง 0.25% เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและแบ่งเบาภาระให้กับลูกค้ารายย่อย เนื่องจากเป็นอัตราดอกเบี้ยที่กลุ่มลูกค้าดังกล่าวใช้เป็นส่วนใหญ่ จากปัจจุบัน MOR และ MRR อยู่ที่ 7.12%

สำหรับ SCB กล่าวว่า ธนาคารมีเจตนารมย์ที่จะช่วยลดภาระต้นทุนในการดำเนินธุรกิจของลูกค้าเอสเอ็มอี และลูกค้ารายย่อย เพื่อสนับสนุนการปรับตัวต่อความท้าทายจากสภาวะเศรษฐกิจไทยที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า จึงขานรับทิศทางนโยบายดอกเบี้ยของคณะกรรมนโยบายการเงิน (กนง.) ด้วยการประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย MRR ลง 0.25% มาอยู่ที่ 7.12% และปรับลดอัตราดอกเบี้ย MOR ลง 0.125% มาอยู่ที่ 6.745%

ภายหลังจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้แล้วจะทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MOR ของธนาคารลดลงมาอยู่ที่ 6.745% และ อัตราดอกเบี้ย MLR ยืนอยู่ที่ 6.025%

หวั่นกำไรทรุดแห่ทิ้งหุ้นกลุ่มแบงก์

จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ๋ ทั้ง 4 แห่ง ทำให้นักลงทุนทิ้งกลุ่มแบงก์ เพราะการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จะกระทบส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM) ให้แคบลง ทำให้กำไรลดลง โดราคาหุ้น KBANK ปิดที่ 155 บาท ลดลง 9 บาท หรือ 5.49% มูลค่าการซ์้อขายติดอันดับหนึ่งกว่า 4,247.01 ล้านบาท, SCB ปิดที่ 123.50 บาท ลดลง 5 บาท หรือ 3.89% มูลค่าการซื้อขาย 2,428.98 ล้านบาท, BBL ปิดที่ 165 บาท ลดลง 6 บาท หรือ 3.51% มูลค่าการซื้อขาย 1,971,33 ล้านบาท และ KTB ปิดที่ 17.50 บาท ลดลง 0.50 บาท หรือ 2.78% มูลค่าการซื้อขาย 1,409,50 ล้านบาท


กำลังโหลดความคิดเห็น