สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ซึ่งเริ่มมาหลายเดือนได้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างนอกจาก 2 ประเทศคู่ค้าอย่างเห็นได้ชัด เพียงแต่ว่าระดับของความเสียหายแตกต่างกันขึ้นอยู่กับโครงสร้างของเศรษฐกิจ ทรัพยากรและรูปแบบการค้า ของแต่ละประเทศ
ขณะที่จีนยังดูเหมือนจะเงียบไม่ร้องเอะอะโวยวายว่าผลกระทบเป็นอย่างไร ไม่อยากป่าวร้องให้คู่ค้า คู่แค้น อย่างโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำทำเนียบขาว ได้รู้ และไม่ต้องการเปิดเผยจุดอ่อนให้ฝ่ายตรงข้ามได้รุกไล่ด้วยมาตรการที่รุนแรงกว่าที่เป็นอยู่
ที่เห็นได้ชัดก็คือจีนพยายามรับมือด้วยการปรับค่าเงินหยวนเพื่อชดเชยกับราคาสินค้าเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ ในราคาที่ยังไม่แพงเกินไป เมื่อต้องเจอกับภาษีขาเข้าที่สูงขึ้น ซึ่งจะทำให้คนอเมริกันซื้อสินค้าน้อยลง
ทำให้โดนัลด์ ทรัมป์โวยวายว่าจีนใช้วิธีปั่นค่าเงินหยวนและตราหน้าว่าจีนเป็นนักปั่นค่าเงินซึ่งก็มีผลทำให้จีนปรับท่าทีใหม่เพื่อไม่ให้ค่าของเงินหยวนตกลงมากจนเกินไป
ขณะที่คนอเมริกันก็เริ่มรู้สึกถึงผลกระทบอย่างแรงจากค่าครองชีพที่ต้องจ่ายแพงขึ้น และในภาคเกษตร ชาวนาต้องเสี่ยงกับภาวะที่ไม่สามารถชำระหนี้คืนสถาบันการเงินได้เพราะจีนงดสั่งซื้อสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะถั่วเหลือง ข้าวสาลี ข้าวฟ่างและเนื้อสัตว์ ทำให้รัฐบาลต้องจ่ายเงินอุดหนุนชดเชยความเสียหายแล้วหลายหมื่นล้านดอลลาร์
คนอเมริกันชอบผู้นำสไตล์โดนัลด์ ทรัมป์ก็มี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มพวกผู้นิยมคนผิวขาวแบบสุดโต่ง และรังเกียจคนต่างสีผิวรวมทั้งผู้ลี้ภัย คนอยากเข้ามาอาศัยในสหรัฐฯ แต่ฐานะไม่ดี จนเป็นภาระต่อรัฐบาลในการเข้าไปช่วยอุ้ม
ครั้งล่าสุด ผู้นำทำเนียบขาวประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าจีนอีก 10% มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน ครอบคลุมสินค้ามูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งจะทำให้คนอเมริกันต้องจ่ายแพงสำหรับสินค้าทุกประเภทที่ใช้ในชีวิตประจำวัน
ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนประเภทอุตสาหกรรมซึ่งยังไม่มีผลกระทบต่อครัวเรือนมากนัก ทั้งการส่งออกและนำเข้าวัตถุดิบ โดยที่ทรัมป์หวังว่าบริษัทที่เข้าไปลงทุนในจีนจะโยกย้ายกลับคืนบ้านเกิด
แต่ผลก็ยังเห็นไม่ชัดเจนเพราะต้องวางแผนการลงทุน และใช้เวลาเงินลงทุนมาก
ดูเหมือนว่าผู้นำทำเนียบขาวรับรู้ถึงผลกระทบซึ่งมีต่อคนอเมริกันในช่วงก่อนจะถึงเทศกาลเฉลิมฉลองคริสต์มาสและปีใหม่ และอาจส่งผลกระทบต่อคะแนนเสียงในการสู้ศึกเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ดังนั้น จึงได้ปรับเปลี่ยนประกาศการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนเป็นการผ่อนผันชั่วคราว
การเปลี่ยนครั้งนี้มีผลต่อเครื่องเล่น ของเด็กเล่น เครื่องเล่นเกมต่างๆ และโทรศัพท์มือถือ โดยให้เลื่อนการขึ้นภาษีสำหรับสินค้าเหล่านี้จาก 1 กันยายนไปเป็น 15 ธันวาคม เพื่อลดแรงเสียงโอดครวญของประชาชนอเมริกัน
แต่สินค้าอย่างอื่น เช่น รองเท้าจากจีน ซึ่งครองตลาดสหรัฐฯ อยู่ยังต้องเผชิญกับภาษีสูงขึ้น 10% เหมือนเดิมจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง
ตัวแทนการค้าของสหรัฐฯ มีแผนจะเริ่มเจรจาการค้ากับฝ่ายจีนอีกรอบซึ่งยังไม่กำหนดวันที่ชัดเจน แต่ดูแนวโน้มแล้วโอกาสที่ทั้งสองประเทศจะบรรลุข้อตกลงด้านการค้าและยกเลิกการตั้งกำแพงภาษีหรือมาตรการตอบโต้อื่นๆ ยังคงเป็นไปได้ยากแน่นอนไม่มีใครไม่เจ็บตัวในสงครามการค้าครั้งนี้ที่สหรัฐฯ เป็นฝ่ายเปิดฉากก่อนกับประเทศคู่ค้าสำคัญ เช่น กลุ่มประชาคมยุโรป ญี่ปุ่น เม็กซิโก แคนาดา ทำให้เกิดผลกระทบไปทั่วโลก
ในบรรดากลุ่มประเทศอาเซียนสิงคโปร์มีความรู้สึกฉับไวต่อผลกระทบด้านลบ ได้เร็วกว่าเพื่อนบ้าน เพราะเป็นศูนย์กลางการเงินเป็นตัวกลางขายสินค้าและบริการต่างๆ และที่สำคัญ จีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับหนึ่งของสิงคโปร์
เมื่อจีนมีปัญหาในการส่งสินค้าเข้าสู่ตลาดของสหรัฐฯ ก็ทำให้สิงคโปร์ต้องสะเทือนไปด้วย
ที่เห็นได้ชัดก็คือสิงคโปร์เริ่มกังวลว่าจะต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจแทบไม่ปรากฏ และเป็นที่คาดการณ์ว่าในไตรมาสที่สามของปีนี้การขยายตัวอาจจะเป็นเพียงศูนย์หรือ 1% เท่านั้น
เศรษฐกิจของสิงคโปร์ต้องพึ่งพาสภาพของความเป็นพ่อค้าคนกลาง การท่องเที่ยวเป็นศูนย์การขนถ่ายสินค้า ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติเป็นของตัวเอง
ในช่วงปี 2009 สิงคโปร์ก็สะเทือนหนักเมื่อเกิดปัญหาสถาบันการเงิน อุตสาหกรรม การค้าล่มในสหรัฐฯ ปี 2008 ต้องใช้เวลาฟื้นตัว ครั้งนี้ก็เช่นกันถ้าสงครามระหว่างสหรัฐฯ กับจีนยืดเยื้อโอกาสที่เศรษฐกิจของสิงคโปร์จะมีปัญหาถดถอยซึมลึกนาน และยากต่อการฟื้นตัวก็มีความเป็นไปได้สูง
ผู้ได้รับผลกระทบทางตรงและทางอ้อมจากสงครามการค้าครั้งนี้ต่างก็รอสัญญาณที่ชัดเจนว่าจะบรรเทาหรือหยุดเมื่อไหร่ ที่เห็นชัดก็คือผู้นำทำเนียบขาวเป็นผู้คุมเกมไม่ว่าผลที่จะตามมาขั้นสุดท้ายจะเป็นอย่างไร แต่เริ่มมีเสียงทำนองโยนหินถามทางออกมาแล้ว
ทางเลือกคือ ต้องหาหนทางไม่ให้โดนัลด์ ทรัมป์เป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกัน เป็นคู่ชิงประธานาธิบดีอีกหนึ่งสมัย ซึ่งเท่ากับเป็นการไม่ไว้วางใจในตัวผู้นำรัฐบาลซึ่งมีทั้งปัญหาสารพัดด้านส่วนตัว สมาชิกครอบครัว วิกฤตต่างๆ ในประเทศ เช่นการสร้างบรรยากาศของการเหยียดผิว เชื้อชาติ ต่อต้านผู้ลี้ภัย
ที่น่ากังวลคือ การสร้างสภาวะเป็นปฏิปักษ์ระดับสากลกับรัสเซีย จีน เกาหลีเหนือ อิหร่าน และเวเนซุเอลา เป็นต้น
แต่คนอย่างทรัมป์ ทั้งหนา ด้านทนต่อแรงเสียดสี ไม่ยอมง่ายๆ แน่ ประชาคมโลกยังคาดเดาไม่ได้ว่า ผู้นำทำเนียบขาวจอมห้าวจะสร้างความวิบัติอย่างไรต่อไปเท่านั้น