xs
xsm
sm
md
lg

จีนกับปัญหาม็อบ 2 ม็อบ

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

กลุ่มผู้ประท้วงคัดค้านการตัดสินใจของรัฐบาลอินเดียที่ยกเลิกสถานะพิเศษของรัฐจัมมูและแคชเมียร์
จะเป็นเพราะอิทธิพลดวงดาว อิทธิพลจากภายนอก-ภายใน หรือภายใต้ขอบเขตใดๆ ก็แล้วแต่...ที่ทำให้ประเทศคุณพี่จีนช่วงนี้ ต้องถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้อง พัวพันกับปัญหา “การประท้วง” ถึง 2 จุด 2 พื้นที่ด้วยกัน ซึ่งล้วนแล้วแต่ก่อให้เกิดความปวดเศียรเวียนเกล้าต่อ “พญามังกร” ระดับเหินฟ้า มุดบาดาลไม่ค่อยจะออก แถมหนวดพันกันไป-พันกันมา ชนิดไม่อาจพ่นไฟได้ถนัดถนี่มากมายสักเท่าไหร่...

สำหรับการประท้วงในจุดแรก...คงหนีไม่พ้นไปจากการลุกขึ้นมาสำแดงของบรรดา “งูเขียว” หรือ “งูดิน” หรือของบรรดา “กุมารฮ่องกง” ทั้งหลายนั่นเอง ที่ยืดเยื้อ คาราซัง ไม่รู้กี่ต่อสัปดาห์มาแล้ว ก็ยังไม่อ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปสักกะที แถมยังออกอาการแรงขึ้น เกรียนขึ้นในทุกขณะ โดยเฉพาะเมื่อได้แรงยุ แรงเชียร์จากคุณพ่ออเมริกา ที่ถึงขั้นส่งเจ้าหน้าที่ทูตระดับหัวหน้าที่ปรึกษาทั่วไปประจำฮ่องกง “นางJulie Eadeh” ผู้เคยมีประวัติเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ “ปฏิวัติสี” (Color Revolution) มาแล้วในหลายต่อหลายประเทศ ไปเยี่ยมเยือนให้คำปรึกษา แนะนำต่อผู้นำกุมารฮ่องกงกันถึงที่ จนเกิดแรงฮึด แรงเฮี้ยว ถึงขั้นล่าสุด...พร้อมรวมพลังบุกสนามบินฮ่องกงกันไปแล้ว...

แต่งานนี้...คงไม่ถึงกับ “ตึงมือ” และไม่ถึงกับสลับซับซ้อนอะไรมากมายนัก เพราะความพยายามแทรกแซง ออกแรงยุ แรงเชียร์ ให้เกิดความปั่นป่วนภายในประเทศจีน ของคุณพ่ออเมริกันนั้น ถือเป็นสิ่งที่เคยมีมาโดยปกติมาตลอด อีกทั้งลักษณะลีลาของการประท้วงโดยบรรดาพวกเด็กๆ ชาวฮ่องกง นับวัน...ออกจะหนักไปทาง “สามัคคีทุกฝ่าย-ทำลายตัวเอง” ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ คือไม่ได้คิดจะทำ “แนวร่วม” กับบรรดาชาวจีน หรือแม้แต่จีนฮ่องกงเอาเลยแม้แต่น้อย หนักไปทางมุ่งทำแนวร่วมกับพวกฝรั่ง กับประเทศตะวันตก หรือคุณพ่ออเมริกาซะเป็นหลักใหญ่ คว้าเอาธงชาติอเมริกา ธงชาติอังกฤษขึ้นมาโบกสะบัด พร้อมการเปล่งคำขวัญว่าด้วยเสรีภาพและประชาธิปไตย โดยไม่ได้มี “เป้าหมาย-ขั้นตอน-วิธีการ” ที่เหมาะสมสอดคล้องกับ “ความเป็นจริง” แต่อย่างใด พูดง่ายๆ ว่า...นับวันมีแต่จะ “ทำลายความชอบธรรม” ของตัวเองลงไปเรื่อยๆ...

ดังนั้น...เมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจฮ่องกง หรือหน่วยปราบจลาจลที่อาจถูกส่งมาจากแผ่นดินใหญ่ก็แล้วแต่ ย่อมสามารถ “เผด็จศึกขั้นสุดท้าย” ได้ไม่ยากส์ส์ส์ เพียงอย่าถึงกับทำให้ต้องเลือดตกยางออก หรือโหดเหี้ยมอำมหิตจนเกินไป ก็น่าจะสามารถคลี่คลายปัญหาลงไปได้อย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ ง่ายซะยิ่งกว่าครั้งการแก้ปัญหา “จัตุรัสเทียนอันเหมิน” เมื่อยุคอดีต ไม่รู้กี่สิบเท่า ขึ้นอยู่กับว่า เมื่อไหร่ ตอนไหน และอย่างไรเท่านั้นเอง...

แต่สำหรับการประท้วงอีกจุด อีกพื้นที่ นี่สิ!!!...แม้ไม่ได้เกิดขึ้นในแผ่นดินจีน แถมไม่ใช่การประท้วงจีนอีกซะด้วย หันไปประท้วงอินตะระเดียกันแทนที่ แต่สุดท้าย...หนีไม่พ้นต้องไปเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของจีนแบบเน้นๆ เนื้อๆ นั่นคือการประท้วงที่เมืองศรีนาคาในแคว้น “จัมมูและแคชเมียร์” ซึ่งเริ่มระเบิดขึ้นในช่วงวันศุกร์ (9 ส.ค.) ที่ผ่านมา เริ่มใช้แก๊สน้ำตา กระสุนยาง กระสุนจริงกันบ้างแล้ว หลังจากที่รัฐสภาอินเดียซึ่งมีพรรคชาตินิยมฮินดู หรือพรรค “ภราติยะ ชนะตะ” (BJP) เป็นเสียงข้างมาก ได้ผ่านมติแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 370 ด้วยคะแนนเสียง 370 ต่อ 70 เสียง อันนำไปสูการ “ยกเลิกสิทธิพิเศษ” ในการปกครองตนเองของชาวจัมมูและแคชเมียร์ ที่เคยมีมากว่าครึ่งศตวรรษหรือนำไปสู่การแปรสภาพดินแดนแห่งนี้ ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของประเทศอินเดียแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด...

อันนี้นี่แหละ...ที่ไม่เพียงแต่สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับคุณพี่จีน ในฐานะประเทศที่มีพรมแดนติดต่อกับพื้นที่แห่งนี้ นอกเหนือไปจากอินเดีย-ปากีสถาน-และอัฟกานิสถาน แต่ยังต้องเจอกับความสลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนเพื่อนทรยศ ในการหาทางคลี่คลายปัญหาดังกล่าว ชนิดยากเย็นแสนเข็ญกว่าปัญหา “ม็อบฮ่องกง” ไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยเท่า คือถ้าบุ่มๆ บ่ามๆ ไม่คิดหน้า คิดหลัง ไม่คิดให้ละเอียดรอบคอบกันจริงๆ โอกาสที่จะก่อให้เกิดผลกระทบทางการเมือง เศรษฐกิจ ไปจนการทหารโน่นเลย ย่อมมีความเป็นไปได้ไม่ยากส์ส์ส์ เผลอๆ...อาจส่งผลให้อภิมหาโครงการ อย่าง “Belt and Road” เกิดอาการ “เดี้ยง” หรือ “ด้วน” ไปไม่ออก ไปไม่เป็น เอาง่ายๆ...

อย่างที่พอทราบๆ กันไปแล้วนั่นแหละว่า...ดินแดนที่เรียกๆ กันในนาม “จัมมูและแคชเมียร์” แห่งนี้ ได้ก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศอินเดียและปากีสถานมาร่วมๆ กว่าครึ่งศตรวรรษ หรือตั้งแต่ทั้งสองประเทศเพิ่งได้รับเอกราชจากอังกฤษด้วยกันทั้งคู่ แม้จะมีการเปิดโอกาสให้ชาวมุสลิมและชาวฮินดูมีเสรีภาพที่จะย้ายสำมะโนครัวไปอยู่อินเดียหรืออยู่ปากีสถานก็ได้ตั้งแต่เริ่มแรก แต่สำหรับแคว้น หรือรัฐ อย่างจัมมูและแคชเมียร์แล้ว เมื่ออดีตผู้ปกครองที่เป็นชาวฮินดูไม่ยอมยกดินแดนไปอยู่กับปากีสถานขณะที่ชาวมุสลิมที่มีอยู่ในดินแดนแห่งนี้ถึง 75 เปอร์เซ็นต์ ไม่อยากอยู่กับอินเดีย “ปัญหา” มันเลยมีมาตั้งแต่บัดนั้น และยิ่งนานวันยิ่งสลับซับซ้อนซ่อนเงื่อน เพื่อนทรยศหนักขึ้นไปใหญ่ ถึงขั้นทำให้ปากีสถานและอินเดียต้องยกพหลพลโยธาไล่บด ไล่บี้ สาดอาวุธใส่กันและกันมาไม่ต่ำกว่า 3 ครั้ง ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1948-1965-และ 1971 ตามลำดับ โดยที่ ณ ขณะนั้น...ต่างฝ่ายต่างก็ยังไม่ได้มีอาวุธมหาประลัย อย่าง “นิวเคลียร์” ด้วยกันทั้งคู่...

และเมื่อต่างฝ่ายต่างก็มีอาวุธนิวเคลียร์ไปแล้วด้วยกันทั้งนั้น...เฉพาะปัญหาความขัดแย้งในดินแดนจัมมูและแคชเมียร์นี่เอง ที่ทำให้เอกสารรายงานของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เคยหยิบเอาไปตั้งข้อสังเกต ข้อสมมติฐาน ถึงความเป็นไปได้อันจะนำมาซึ่ง “สงครามนิวเคลียร์” ระหว่างทั้งสองฝ่ายขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ไม่แน่!!! การตัดสินใจรวบหัว รวบหางของรัฐบาลอินเดียภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี “นเรนทรา โมดี” แห่งพรรค “BJP” ให้ดินแดนแห่งนี้ต้องกลายเป็นส่วนหนึ่งของอินเดียโดยไม่มีสิทธิพิเศษใดๆ ต่อไปอีก จนส่งผลให้รัฐบาลปากีสถาน ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี “อิมรอน ข่าน” ต้องตอบโต้ในขั้นแรกด้วยการลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต ระงับการค้าขายระดับทวิภาคี ทบทวนข้อตกลงทวิภาคี และนำเรื่องเข้าสู่สหประชาชาติ โดยที่จะบานปลาย ปลายบานไปสู่ขั้นตอนต่อไป ในระดับไหน อย่างไร ก็ยังมิอาจคาดคะเนได้...

แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...น่าจะส่งผลให้ “โครงการความร่วมมือ 3 เหลี่ยมเศรษฐกิจ” ระหว่างจีน-อินเดีย-ปากีสถาน ที่ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญเอามากๆ ต่ออภิมหาโครงการ “Belt and Road” ในพื้นที่แถบเอเชียใต้ อาจต้องยักตื้นติดกึก-ยักลึกติดกัก ไปอีกนาน หรือแม้แต่โครงการ “ระเบียงเศรษฐกิจ BCIM” (Bangladesh-China-India-Myanmar) ที่จะเชื่อมท่าเรือกัลกัตตาในอินเดียเข้ากับท่าเรือจิตตะกองในปากีสถาน อาจต้อง “ซวย” ไปด้วย แถมถ้าหากจีนดันเลือกข้างผิด ข้างถูก โอกาสที่อินเดียซึ่งเคยไล่ยิงกับจีนมาก่อน ในปัญหาพรมแดนด้านแคว้นจัมมูร์และแคชเมียร์นี่แหละ อาจต้องหันไปรับอาสาเป็นแกนนำ ใน “ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก” ของคุณพ่ออเมริกา ที่มุ่งจะ “ปิดล้อมจีน” กันโดยเฉพาะเอาเลยก็ไม่แน่!!!...

อันนี้นี่เอง...ที่ยากส์ส์ส์ซะยิ่งกว่า “ม็อบฮ่องกง” ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า ขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศปากีสถาน “นายShah Qureshi” ได้เดินทางไปเยือนจีนเพื่อหารือเรื่องราวเหล่านี้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา โดยรัฐมนตรีต่างประเทศอินเดีย “นายSubrahmanyam Jaishankar” ก็มีกำหนดการไปเยือนจีนในวันอาทิตย์ที่ 11 ก.ค.ในเรื่องเดียวกันนี้ “พญามังกร” จะหาทางเลื้อยในแบบไหน จะเหินฟ้า มุดบาดาลกันในลักษณะใด จึงเป็นสิ่งที่น่าจับตา น่าสนใจ เอามากๆ...


กำลังโหลดความคิดเห็น