“สมคิด” ผุด กก.การเงินการคลัง ดูแลค่าเงินบาท วอนภาคเอกชน-รัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ใช้จังหวะเงินบาทแข็งลงทุนในประเทศกระตุ้นเศรษฐกิน พร้อมเร่งยกระดับศึกษา-เกษตร-อุตสาหกรรม หวั่นอินโดฯ-เวียดนาม ชิงธงนำอาเซียน
วานนี้ (8 ส.ค.) นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลจะตั้งคณะกรรมการร่วมเพื่อดูแลด้านการเงินการคลังของประเทศ โดยคณะกรรมการประกับด้วย กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เพื่อดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ หลังจากที่ผ่านมาค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง กระทบกับการส่งออกและการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยอย่างรุนแรง ประกอบกับสงครามการค้าของโลก และกำลังมีสงครามค่าเงินเพิ่มขึ้นมาอีก จะส่งผลกระทบให้ค่าเงินบาทผันผวนรุนแรงขึ้นไปอีก กระทบการส่งออกให้ขยายตัวต่ำกว่าที่คาดไว้ และส่งผลต่อการชะลอเศรษฐกิจมากขึ้น จึงต้องมีการตั้งคณะกรรมการร่วมเพื่อดูแลด้านการเงินการคลังของประเทศ ขึ้นมาเพื่อเตรียมพร้อมรับมือความผันผวนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
“ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ กระทรวงการคลัง ประสานกับ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา อยู่ระหว่างการหารือสรุปรายละเอียดให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐกิจ และ ครม. ชุดใหญ่ เห็นชอบภายใน 2 สัปดาห์นี้” นายสมคิด ระบุ
ก่อนหน้านั้น นายสมคิด ได้กล่าวในระหว่างชี้แจงนโยบายรัฐบาลที่สำคัญต่อผู้บริหารระดับสูงตอนหนึ่งว่า คนไทยต้องมีความมั่นใจในประเทศของเรา หรือถ้าเงินบาทแข็งนักลงทุนต้องชิงจังหวะลงทุนให้มากขึ้น ไม่ใช่บอกว่ามีความไม่แน่นอนแล้วไปลงทุนต่างประเทศ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นถือว่าไม่ได้ช่วยกันเลย ส่วนรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ต้องถือโอกาสนี้ลงทุน อะไรที่ช่วยกันได้อยากให้ช่วยกัน สำหรับการบริหารประเทศจะทำในระยะสั้นจนเกินไป ก็เหมือนกับรถที่ต้องคอยปะอยู่ตลอด ดังนั้นการฟื้นฟูและปฏิรูปโครงสร้างในระยะยาวจึงถือเป็นเรื่องสำคัญ ที่ต้องต่อยอดโครงการที่รัฐบาลชุดที่แล้วทำอยู่ และแสวงหาความร่วมมือจากต่างประเทศ ทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางให้เกิดการมาลงทุน อย่างอีอีซี ที่เราดึงประเทศจีนและญี่ปุ่นมาร่วมแล้ว พร้อมกับทำให้เกิดความมั่นใจเรื่องความมั่นคง เรื่องเกษตรอุตสาหกรรม การขนส่ง และบริการอื่นๆ และเตรียมพร้อมนำอุตสาหกรรมไปสู่ดิจิทัล มีการค้าขายสินค้าเกษตรทางอีคอมเมิร์ซได้
“สิ่งที่เราจะเผชิญไปข้างหน้า ไม่ใช่เรื่องตลก เพราะเศรษฐกิจข้างนอกไม่ดีจริงๆ ที่บอกว่าจะให้กระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทั้งระบบการศึกษา เรื่องเศรษฐกิจ แล้วจะไปเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร ขอให้มองไปที่ประเทศอินโดนีเซีย เวียดนาม เขาจะชิงธงมาเป็นผู้นำอาเซียน ถ้าเราไม่แข่งกับเขา ก็จะไปยาก”นายสมคิด กล่าว
วานนี้ (8 ส.ค.) นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลจะตั้งคณะกรรมการร่วมเพื่อดูแลด้านการเงินการคลังของประเทศ โดยคณะกรรมการประกับด้วย กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เพื่อดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ หลังจากที่ผ่านมาค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง กระทบกับการส่งออกและการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยอย่างรุนแรง ประกอบกับสงครามการค้าของโลก และกำลังมีสงครามค่าเงินเพิ่มขึ้นมาอีก จะส่งผลกระทบให้ค่าเงินบาทผันผวนรุนแรงขึ้นไปอีก กระทบการส่งออกให้ขยายตัวต่ำกว่าที่คาดไว้ และส่งผลต่อการชะลอเศรษฐกิจมากขึ้น จึงต้องมีการตั้งคณะกรรมการร่วมเพื่อดูแลด้านการเงินการคลังของประเทศ ขึ้นมาเพื่อเตรียมพร้อมรับมือความผันผวนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
“ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ กระทรวงการคลัง ประสานกับ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา อยู่ระหว่างการหารือสรุปรายละเอียดให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐกิจ และ ครม. ชุดใหญ่ เห็นชอบภายใน 2 สัปดาห์นี้” นายสมคิด ระบุ
ก่อนหน้านั้น นายสมคิด ได้กล่าวในระหว่างชี้แจงนโยบายรัฐบาลที่สำคัญต่อผู้บริหารระดับสูงตอนหนึ่งว่า คนไทยต้องมีความมั่นใจในประเทศของเรา หรือถ้าเงินบาทแข็งนักลงทุนต้องชิงจังหวะลงทุนให้มากขึ้น ไม่ใช่บอกว่ามีความไม่แน่นอนแล้วไปลงทุนต่างประเทศ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นถือว่าไม่ได้ช่วยกันเลย ส่วนรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ต้องถือโอกาสนี้ลงทุน อะไรที่ช่วยกันได้อยากให้ช่วยกัน สำหรับการบริหารประเทศจะทำในระยะสั้นจนเกินไป ก็เหมือนกับรถที่ต้องคอยปะอยู่ตลอด ดังนั้นการฟื้นฟูและปฏิรูปโครงสร้างในระยะยาวจึงถือเป็นเรื่องสำคัญ ที่ต้องต่อยอดโครงการที่รัฐบาลชุดที่แล้วทำอยู่ และแสวงหาความร่วมมือจากต่างประเทศ ทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางให้เกิดการมาลงทุน อย่างอีอีซี ที่เราดึงประเทศจีนและญี่ปุ่นมาร่วมแล้ว พร้อมกับทำให้เกิดความมั่นใจเรื่องความมั่นคง เรื่องเกษตรอุตสาหกรรม การขนส่ง และบริการอื่นๆ และเตรียมพร้อมนำอุตสาหกรรมไปสู่ดิจิทัล มีการค้าขายสินค้าเกษตรทางอีคอมเมิร์ซได้
“สิ่งที่เราจะเผชิญไปข้างหน้า ไม่ใช่เรื่องตลก เพราะเศรษฐกิจข้างนอกไม่ดีจริงๆ ที่บอกว่าจะให้กระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทั้งระบบการศึกษา เรื่องเศรษฐกิจ แล้วจะไปเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร ขอให้มองไปที่ประเทศอินโดนีเซีย เวียดนาม เขาจะชิงธงมาเป็นผู้นำอาเซียน ถ้าเราไม่แข่งกับเขา ก็จะไปยาก”นายสมคิด กล่าว